Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2737 คลื่นใต้น้ำซัดขึ้นนับไม่ถ้วน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2737 คลื่นใต้น้ำซัดขึ้นนับไม่ถ้วน

ตอนที่ 2737 คลื่นใต้น้ำซัดขึ้นนับไม่ถ้วน

ที่แท้ก็เป็นข่าวที่ศิษย์พี่สามส่งมา!

หลินสวินลอบถอนหายใจโล่งอก

“ส่วนตระกูลลั่ว… ตอนคนพวกนั้นส่งกำลังพลไปเขาเทพหลังมังกรในน่านฟ้าที่หก ที่นั่นก็กลายเป็นบ้านร้างคนหายไปแล้ว”

ตู๋กูยงพูดพลางส่งม้วนหยกม้วนหนึ่งให้หลินสวิน “นี่เป็นข่าวที่ศิษย์พี่จวินหวนผู้นั้นของเจ้าส่งมา”

หลินสวินอึ้งไป นำม้วนหยกมาเปิดดู ในใจก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย

ในม้วนหยกมีคำพูดเพียงประโยคเดียว ‘ตระกูลลั่วปลอดภัย’

“ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้วหรือยัง”

ตู๋กูยงเอ่ยยิ้มๆ

หลินสวินกุมมือคารวะว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่แจ้งเรื่องเหล่านี้”

ตู๋กูยงเอ่ย “คีรีดวงกมลของพวกเจ้ากับลัทธิแรกกำเนิดของพวกเรามีศัตรูร่วมกัน ข้ากับเฒ่าชราบางส่วนไม่อยากเห็นสภาวะจิตเจ้าได้รับผลกระทบในช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญนี้”

เขาหยุดไปแล้วกล่าวต่อ “รอเมื่อเจ้าตัดสินใจทะลวงระดับ ข้าจะคุ้มครองเจ้าด้วยตัวเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัดสินใจทะลวงระดับเมื่อไร”

หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

ตู๋กูยงแปลใจ คล้ายผิดคาดอยู่บ้าง

เจี่ยงเยี่ยที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพลางอธิบายไปด้วยว่า “ก่อนหน้านี้หลินสวินเคยพูดว่าเขาจะแจ้งมรรคที่ไหนเมื่อไรก็ได้”

ปากตู๋กูยงขมุบขมิบเป็นคำว่า ‘ที่ไหนเมื่อไรก็ได้’ อยู่ครู่หนึ่ง แววประหลาดปรากฏขึ้นบนดวงตาเขาเช่นกัน เพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่ความหมายนั้นน่าตะลึงเกินไปแล้ว!

มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิบนโลกหมายจะแจ้งมรรคอมตะ มักจำเป็นต้องหาจุดเปลี่ยนอันเลือนรางอย่างหนึ่ง

จุดเปลี่ยนนี้ก็เหมือนการหยั่งรู้ฉับพลันที่ฉายวาบขึ้นในหัว เป็นความฉุกคิดที่เกิดขึ้นทันที ทั้งยังเหมือนลางสังหรณ์ที่ไม่อาจควบคุม ไม่อาจขบคิดได้

ต่อให้เป็นปีศาจไร้เทียมทานที่รากฐานน่ากลัว โดดเด่นตระการตา ถ้าจุดเปลี่ยนนี้ไม่มา ร้อยพันปีก็ไม่อาจแตะธรณีประตูของมรรคาอมตะได้

เพราะการแจ้งมรรคอมตะไม่เกี่ยวข้องกับมรรควิถี พรสวรรค์และการหยั่งรู้ของตนโดยสิ้นเชิง ทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับความอุตสาหะในการฝึกปราณ สิ่งที่จำเป็นมีเพียงจุดเปลี่ยนเดียวเท่านั้น

แต่จุดเปลี่ยนนี้กลับทำให้อัจฉริยะไร้เทียมทานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่รู้เท่าไรต้องทุกข์ทน!

อย่างในเก้ายอดเขาใหญ่ ปีศาจไร้เทียมทานระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิมีมากมายขนาดไหน แต่ละคนวิปริตเสียยิ่งกว่าอีกคน แต่ส่วนมากในนั้นต่างชะงักอยู่ที่ระดับนี้มาเป็นร้อยปีพันปี ถึงขึ้นว่าหลายพันปียังไม่ได้แจ้งมรรคอมตะ!

เช่นนี้แล้ว หลินสวินที่พูดว่า ‘จะแจ้งมรรคที่ไหนเมื่อไรก็ได้’ ความหมายที่สื่อถึงย่อมน่าตกตะลึง

“เช่นนั้นเจ้าคิดจะแจ้งมรรคที่ไหน”

หลังจากสงบใจลงแล้วตู๋กูยงก็เอ่ยถาม

หลินสวินเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “ยอดเขาที่เก้า”

คำตอบนี้ทำให้ตู๋กูยงกับเจี่ยงเยี่ยรู้สึกประหลาดใจทันที

แต่เมื่อใคร่ครวญดู ทั้งสองต่างพอจะเข้าใจ

ยอดเขาที่เก้าในตอนนี้ ผู้สืบทอดบ้างบาดเจ็บบ้างถูกลงโทษ ผู้นำยอดเขาฉินอู๋อวี้ถูกเหล่าคนใหญ่คนโตที่นำโดยรองหัวหน้าหอฉีเซียวอวิ๋นยื่นเรื่องถอดถอนจากตำแหน่ง สถานการณ์ยากเข็ญบีบคั้น

พูดได้ว่าทั้งยอดเขาที่เก้าอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่น

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินเลือกทะลวงระดับที่นี่เท่ากับแสดงจุดยืนของตนอย่างไม่ต้องสงสัย!

“ใต้เท้า ข่าวที่หลินสวินจะแจ้งมรรคที่ยอดเขาที่เก้าในวันพรุ่งนี้จะต้องปิดไว้ก่อนหรือไม่”

เจี่ยงเยี่ยมองตู๋กูยง

ส่วนตู๋กูยงก็มองไปยังหลินสวิน

“ผู้อาวุโส เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ต้องปิดบังหรอก ข้าอยากให้ศัตรูพวกนั้นเห็นกับตาตัวเอง ว่าข้าหลินสวินแจ้งมรรคอมตะได้อย่างไร!”

ดวงตาดำหลินสวินลุ่มลึก มีแววโอหังที่สามารถกลืนกินใต้หล้าได้รางๆ

“ดี”

ตู๋กูยงพยักหน้าตอบรับ

ทะลวงระดับแจ้งมรรคในลัทธิแรกกำเนิดท่ามสายตาสาธารณะชน เกรงว่าเฒ่าชราที่หมายใจจะฆ่าหลินสวินให้ตายพวกนั้นคงไม่กล้าลงมือขัดขวางอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงเช่นกัน

……

ข่าวที่หลินสวินออกจากเขาตำราหลังจากผ่านไปเจ็ดเดือนถูกคนที่สนใจในลัทธิแรกกำเนิดล่วงรู้ทันที ก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำนับไม่ถ้วน

และเมื่อรู้ว่าหลินสวินจะแจ้งมรรคอมตะที่ยอดเขาที่เก้าในวันพรุ่งนี้ ก็เหมือนสายฟ้าสะท้านโลกสายหนึ่งฟาดลงมาในลัทธิแรกกำเนิด

คนนับไม่ถ้วนสะท้านสะเทือนเพราะเรื่องนี้

“หลินสวินเพิ่งเข้าสำนักได้ไม่ถึงปีก็จะแจ้งมรรคอมตะแล้วหรือ”

ในหมู่ผู้สืบทอดเก้ายอดเขา มีคนตกตะลึงอ้าปากค้างไม่รู้เท่าไร

“ดูท่าการอ่านมรดกอมตะในตำหนักที่เก้าเป็นเวลาเจ็ดเดือนนี้จะทำให้หลินสวินคว้าจุดเปลี่ยนบรรลุระดับอมตะได้แล้ว…”

มีคนวิเคราะห์อย่างใจเย็น

“แต่เจ็ดเดือนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนั้น เขาไม่กังวลว่าสภาวะจิตจะได้รับผลกระทบหรือ”

“รอดูเถอะ ต่อให้คราวนี้เขาอยากบรรลุระดับก็เกรงว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้น”

…เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ดังขึ้นในสามหอเก้ายอดเขา

เรือนน้อย

“โยวหรัน พรุ่งนี้เจ้าตามข้าไปยอดเขาที่เก้า ดูสักหน่อยว่าเจ้านั่นจะแจ้งมรรคอย่างไร ข้าสังหรณ์ว่าด่านเคราะห์ที่เขาต้องเผชิญคราวนี้ต้องไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่ในอดีตและปัจจุบัน”

ตู๋กูยงเอ่ยเสียงเบา

ตู๋กูโยวหรันร้องอืมคราหนึ่ง เนตรดารามีชีวิตชีวา สง่างามยิ่งยวดเหมือนเมื่อก่อน

เพียงแต่เมื่อพูดถึงหลินสวิน ในใจนางกลับเกิดความรู้สึกซับซ้อนบอกไม่ถูกอยู่เสมออย่างเลี่ยงไม่ได้

……

“ผู้อาวุโสเซียว ผู้อาวุโสหลี พรุ่งนี้อยากไปยอดเขาที่เก้ากับข้าสักรอบไหม”

ที่หอแรกพิสุทธิ์ ฟางเต้าผิงเอ่ยถาม

เซียวเหวินหยวนกับหลีเจินสบตากัน ต่างตกลงอย่างดีใจ

ไม่ไกลนักเมื่อรองหัวหน้าหอทังชิวและผู้อาวุโสตงหวงชิงเห็นภาพเช่นนี้ ต่างนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็หมุนตัวจากไปด้วยกัน

“ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปวางแผนอะไรอีก”

คราเห็นเงาร่างทั้งสองหายไป เซียวเหวินหยวนก็ถอนใจเบาๆ

“ย่อมเกี่ยวกับการขัดขวางไม่ให้หลินสวินแจ้งมรรคอมตะ”

ฟางเต้าผิงเอ่ยเสียงเรียบ “อันที่จริงในช่วงเจ็ดเดือนนี้พวกเขาก็ทำไปหลายเรื่องแล้ว เป้าหมายก็ไม่พ้นสร้างผลกระทบให้จิตมรรคของหลินสวิน ขัดขวางไม่ให้เขาทะลวงระดับได้”

“เช่นนั้นหลินสวินแจ้งมรรคคราวนี้จะไม่อันตรายหรือ”

เซียวเหวินหยวนเอ่ย

“พวกเขาไม่กล้าก่อกวนตอนแจ้งมรรคบรรลุระดับหรอก ว่ากันถึงที่สุดก็อยากเห็นนักว่าเจ้าหนุ่มนี่จะฝ่าด่านเคราะห์นี้ได้จริงหรือไม่”

ฟางเต้าผิงเอ่ยเสียงขรึม “หรือพูดได้ว่า มรรคาของเขาไม่เหมือนคนอื่น เขาแข็งแกร่งในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเพียงไหน เคราะห์พิบัติที่ต้องเผชิญยามแจ้งมรรคก็ยิ่งน่ากลัว”

เซียวเหวินหยวนสะท้านในใจ

นึกถึงผลงานการต่อสู้ในอดีตของหลินสวิน คล้ายสามารถเรียกได้ว่าไร้ศัตรูในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ เช่นนี้แล้วเคราะห์พิบัติที่ต้องเผชิญตอนแจ้งมรรคอมตะจะน่าสะพรึงปานไหน

“พรุ่งนี้ก็จะได้รู้แล้ว”

ฟางเต้าผิงเอ่ย “การแจ้งมรรคคราวนี้ ถ้าหลินสวินล้มเหลว ก็หมายความว่าต้นกล้าชั้นดีที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลรอคอยมาหมื่นกาลจะถูกทำลายลงเท่านี้”

“ถ้าสำเร็จ อาจไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ของลัทธิแรกกำเนิดได้ในเวลาสั้นๆ แต่ภายหน้าย่อมไม่มีใครสามารถกดข่มหนทางของหลินสวินคนนี้ได้อีก ถึงตอนนั้นก็มีศัตรูของเขาพวกนั้นล่ะที่จะได้เห็นดี!”

……

หอแรกนภา

เรือนเมฆาคลั่ง

“เสี่ยวจิ่ว พรุ่งนี้เจ้าพาเสวียนเยวี่ยไปยอดเขาที่เก้าพร้อมกับข้า”

รองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงเอ่ย

ตัวเสวียนจิ่วอิ้นล้วนตื่นเต้น ตาเป็นประกาย “ท่านเทียด จู่ๆ คราวนี้ท่านเกิดใจเมตตาขึ้นมาหรือ”

ในช่วงนี้เขาถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนเมฆาคลั่งมาตลอด นอกจากฝึกปราณก็คือฝึกปราณ แทบไม่รู้เรื่องราวในโลกภายนอกเลย ทรมานเพราะความแห้งเหี่ยวเช่นนี้จนเอียนถึงที่สุดมานานแล้ว รู้สึกคล้ายติดคุก

“ข้าอยากให้พวกเจ้าไปดูสักหน่อยว่าหลินสวินคนนี้จะแจ้งมรรคอมตะเช่นไร”

เสวียนเฟยหลิงเอ่ยปากเรื่อยเฉื่อย

แจ้งมรรค… อมตะหรือ!

เสวียนจิ่วอิ้นผงะไป ตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง นี่ผ่านไปไม่เท่าไรเอง เจ้าหลินสวินนี่จะแจ้งมรรคอมตะแล้วหรือ

“รู้สึกกระทบกระเทือนใจหรือไม่” เสวียนเฟยหลิงพอใจกับท่าทางของเสวียนจิ่วอิ้นนัก ถ้ากระตุ้นให้เสวียนจิ่วอิ้นทำตัวดีขึ้นด้วยเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นก็ยิ่งดี

แต่ใครจะไปคิดว่าครู่ต่อมาเสวียนจิ่วอิ้นก็เอ่ยทอดถอนใจว่า “ข้ารู้มานานแล้วว่าไม่มีทางเทียบเจ้าหมอนี่ได้ มิเช่นนั้นต้องถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ดูท่าความคิดเมื่อก่อนของข้าจะหลักแหลมยิ่ง…”

ยังไม่ทันพูดจบท้ายทอยก็ถูบตบไปฉาดหนึ่ง “ไม่ได้เรื่อง!”

เสวียนเฟยหลิงแค้นกับความไม่เอาถ่านนี้นัก เจ้าหมอนี่จะเกียจคร้านไม่เอาการเอางานเกินไปแล้ว ไม่เหมือนบัตรชายตระกูลเสวียนสักนิด!

เสวียนจิ่วอิ้นหัวเราะแหะๆๆ แล้ววิ่งแจ้นออกไป หมายจะบอกข่าวดีนี้กับจินเทียนเสวียนเยวี่ย

……

ยอดเขาที่สาม

ในถ้ำสวรรค์แดนมงคลของหนานป๋อหง

คนใหญ่คนโตอย่างรองหัวหน้าหอแรกนภาฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น รองหัวหน้าหอแรกมายาชือเวิน รองหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ทังชิวนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด

สองด้านเป็นผู้นำยอดเขาที่สองอวิ๋นเทียนหมิง ผู้นำยอดเขาที่สามหนานป๋อหง ผู้นำยอดเขาที่สี่มู่อวิ๋นเจิง รวมถึงคนใหญ่คนโตระดับผู้อาวุโสในสามหอจำนวนหนึ่งอาทิตงหวงชิง

บรรยากาศกดดัน

“พรุ่งนี้เศษเดนคีรีดวงกมลนั่นจะแจ้งมรรคอมตะ ทุกท่านคิดเช่นไร”

ฝูเหวินหลีเอ่ยเสียงต่ำลึก ใบหน้าไร้อารมณ์

“เขาคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเจ็ดเดือนนี้แล้ว แต่กลับยังกล้าเลือกแจ้งมรรคอมตะพรุ่งนี้ ดูท่าคงกังวลเช่นกันว่ายิ่งปล่อยเวลาไปนานปัญหาก็ยิ่งมาก จะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรอีกได้”

ทังชิวที่ผอมแห้งเอ่ยเสียงแหบพร่า

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าสภาวะจิตของเขาจะได้รับผลกระทบหรือไม่” ฝูเหวินหลีถาม

ทังชิวนิ่งเงียบ ส่ายหัวเอ่ยว่า “ประเมินได้ยาก”

“ถ้าสภาวะจิตของเขาไม่ได้รับผลกระทบ จะรีบบรรลุระดับพรุ่งนี้ทำไม มิหนำซ้ำยังเลือกยอดเขาที่เก้าด้วย”

ชือเวินกล่าวเสียงเรียบ “ทั้งหมดนี้ต่างพิสูจน์ว่าเรื่องที่พวกฉินอู๋อวี้ เย่ฉุนจวินประสบ ทำให้สภาวะจิตเจ้าหมอนี่สั่นคลอนไปแล้ว นี่เป็นสิ่งต้องห้ามใหญ่ของการแจ้งมรรค”

“ไม่ เรื่องพวกนี้ยังไม่พอ ไม่อาจรับรองได้ว่าจะทำให้การแจ้งมรรคของเจ้าหมอนี่ล้มเหลวสักนิด”

ฝูเหวินหลีนิ่วหน้าพูด

“ฝั่งหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณหวังอะไรไม่ได้แล้ว พวกเศษเดนคีรีดวงกมลอย่างรั่วซู่ตั้งตัวในลัทธิวิญญาณได้แล้ว ภายในเวลาอันสั้นยากจะสั่นคลอน หากคิดจะอาศัยพวกรั่วซู่มาสร้างผลกระทบให้จิตมรรคของหลินสวิน เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว”

ฉีเซียวอวิ๋นพลันเอ่ยปาก “ส่วนตระกูลลั่ว ตั้งแต่ตอนที่สำนักรับผู้สืบทอดเมื่อปีก่อนก็ย้ายตระกูล หายลับไร้ร่องรอยไปแล้ว จะหาคนตระกูลลั่วในเวลาสั้นๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน”

ประโยคเดียวทำให้คนใหญ่คนโตที่อยู่ที่นั่นต่างปรากฏแววอึมครึมบนหว่างคิ้ว

พวกเขาล้วนรู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นหรือตระกูลลั่ว ขอเพียงจัดการหนึ่งในนี้ได้ย่อมบีบหลินสวินได้ ทำให้เขาไม่อาจแจ้งมรรคบรรลุระดับได้

แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ทั้งหมดแล้ว

ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆ ฝูเหวินหลีก็ถามขึ้นว่า “กำลังพลที่ไปทางเดินโบราณฟ้าดารายังไม่กลับมาหรือ”

ทุกคนนัยน์ตาหดรัด ต่างสบตากันแต่ไร้เสียงตอบกลับ

เมื่อครึ่งปีก่อนพวกเขาเคยส่งกำลังพลไปทางเดินโบราณฟ้าดารา หมายจะจับครอบครัวของหลินสวินมาเป็นตัวประกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะโจมตีหลินสวินถึงชีวิตได้

แต่ผ่านไปครึ่งปีแล้วกลับไร้ข่าวคราว ไม่มีใครรู้ว่ากำลังพลที่ไปทางเดินโบราณฟ้าดาราพวกนั้นทำสำเร็จหรือไม่กันแน่

ฝูเหวินหลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่า “ช่างเถอะ เวลากระชั้นชิด พึ่งพาเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว เรื่องสำคัญตรงหน้าคือคิดหาสักวิธี ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องขวางไม่ให้หลินสวินคนนี้ทะลวงระดับในวันพรุ่งนี้!”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท