Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2741 แท่นเคราะห์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2741 แท่นเคราะห์

ตอนที่ 2741 แท่นเคราะห์

เคราะห์มาเยือน

เพียงแค่ไม่กี่คำเบาๆ

จากนั้นภายใต้สายตาจับจ้องสะท้านสะเทือนของทุกคน ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์มานั่นพลันเกิดอสนีบาตขึ้นกะทันหัน

ตูม!

เสียงสายฟ้านั่นดุจดั่งเสียงกึกก้องยามเบิกแรกกำเนิด สะเทือนในหูของทุกคนในที่นี้ ทำเอาหัวใจพวกเขาสั่นไหวรุนแรง ไม่มีใครไม่หน้าเปลี่ยนสี

หลังจากนั้นแสงแปลบปลาบเจิดจ้าเหมือนใยแมงมุมนับไม่ถ้วนตัดสลับอยู่ในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ แปลงเป็นทวนพิพากษาสีดำเล่มหนึ่ง

ทุกคนล้วนรู้สึกเจ็บแปลบ สภาวะจิตล้วนถูกสะท้านสะเทือน

อสนีเคราะห์นั่นเหมือนกับทวนพิพากษาจริงๆ เป็นบทลงทัณฑ์ที่มาจากเบื้องบน เป็นตัวแทนของเจตจำนงมหามรรคสูงสุดอย่างหนึ่ง น่าสะพรึงเหนือจินตนาการของทุกคน

เหล่าคนใหญ่คนโตพวกนั้นต่างสูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้

ในอดีตยามพวกเขาข้ามด่านเคราะห์ ก็ไม่เคยพบเจอลักษณ์ประหลาดอสนีเคราะห์เช่นนี้มาก่อน!

ตูม!

ในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ จู่ๆ ทวนพิพากษาก็หายไป

ครู่ต่อมาก็เห็นร่างสูงโปร่งที่ยืนนิ่งใต้เวิ้งฟ้าของหลินสวินถูกทวนสีดำแทงทะลุ แตกระเบิด ฝนเลือดสาดเซ็น

ภาพนองเลือดที่เกิดขึ้นปุบปับนี้ทำเอาคนมากมายในที่นั้นตกใจจนร้องออกมา

“หา!”

“นี่…”

“ตายแล้วหรือ”

เคราะห์สวรรค์เพิ่งเริ่ม การโจมตีแรกก็โจมตีหลินสวินกลางอากาศ ร่างกายแหลกลาญ นี่เหนือความคาดหมายและเกินกว่าความคิดของทุกคนอย่างสิ้นเชิง

พวกคนใหญ่คนโตเหล่านั้นยังถือว่าสงบนิ่ง แต่ยามเห็นภาพนองเลือดนี้ในใจก็ยังสั่นไหว อานุภาพของทวนพิพากษานี่ออกจะกร้าวแกร่งเกินไปแล้ว!

กลางห้วงอากาศ หลังจากร่างหลินสวินแหลกละเอียด ก็ถูกอสนีเคราะห์น่าสะพรึงกระหน่ำโจมตีอีก ประหนึ่งทำลายล้างสิ้นซากอย่างไรอย่างนั้น

“ตายไปเช่นนี้แล้วจริงๆ หรือ”

พวกฉีหลิงเจิ้นดวงตาวาบประกาย ภายในใจผุดความสะท้านไหวและปิติยินดีอย่างอธิบายไม่ถูก

คนอื่นๆ ในที่นี้ก็ทั้งตกใจและสงสัยเช่นกัน

ส่วนพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ย เวลานี้ในใจล้วนรัดเกร็ง ใบหน้าซีดขาว แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง

เสวียนจิ่วอิ้นเพิ่งตั้งท่าจะพูดอะไรก็ถูกเสวียนเฟยหลิงห้ามไว้ “รูปแตกซ่านเท่านั้น รอดูต่อไป”

เสวียนจิ่วอิ้นฝืนข่มความกังขาและพรั่นพรึงในใจเอาไว้ จับจ้องโดยละเอียด

ดังคาด ไม่ทันไรก็พบว่าใต้เมฆาเคราะห์นั่นเหมือนเกิดชีวิตขึ้นกลางความว่างเปล่า มุกเลือดเม็ดแล้วเม็ดเล่าปรากฏ จากนั้นรวมตัวเข้าด้วยกัน ผสานกันไม่หยุด แทบจะในพริบตาเดียวก็ก่อร่างของหลินสวินขึ้นมาใหม่ ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าราบเรียบดังเดิม

เห็นภาพนี้ ทั่วลานแทบจะแตกระเบิด

นี่เป็นสถานการณ์อะไรเนี่ย!?

หลุดกรอบความเข้าใจของคนส่วนใหญ่อย่างสิ้นเชิง เสมือนหลินสวินตายแล้วเกิดใหม่ นิพพานระหว่างความเป็นตายก็ไม่ปาน น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

ส่วนพวกฉีหลิงเจิ้นที่ภายในใจยังยากจะปิดบังความยินดีก่อนหน้านี้ ต่างอึ้งงันอย่างอดไม่ได้ สีหน้าเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ

ปีนั้นพวกเขาก็เคยแจ้งมรรคอมตะ แต่ยังไม่เคยผ่านเรื่องชวนพิศวงเช่นนี้มาก่อน

“สรรสร้างจากความว่างเปล่า!”

นัยน์ตาตู๋กูยงวาบประกาย สีหน้าเต็มไปด้วยแววตะลึงพรึงเพริด

“เป็นขอบเขตนี้จริงๆ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเขา ถึงกับหยั่งถึงและสัมผัสขอบเขตพลังเช่นนี้ได้ด้วย…”

ฟางเต้าผิงพึมพำ

“ท่านเทียด อะไรคือสรรสร้างจากความว่างเปล่าหรือ” เสวียนจิ่วอิ้นอดเอ่ยถามไม่ได้

“เป็นขอบเขตที่รวมการรังสรรค์และดับทำลายอย่างหนึ่ง อยู่ระหว่างมีและไม่มี เป็นตายวนเวียน ขอบเขตนี้เกี่ยวข้องกับจิตมรรค มีเพียงหยั่งถึงขอบเขตนี้เท่านั้น ในอนาคตจึงจะสามารถแปรสภาพตามความหมายอย่างแท้จริงได้ในขั้นหลุดพ้น”

เสวียนเฟยหลิงดกล่าวต่อ “เจ้าสามารถมองว่านี่คือพลังสภาวะจิตอย่างหนึ่งก็ได้ ผู้ที่จิตมีเอกภพ จะสามารถควบคุมฟ้าดิน หากจิตหลุดพ้น กลับก็จะได้มหาอมตะ อิสระแท้จริง…”

น้ำเสียงเจือความทอดถอนใจและสั่นไหว

สรรสร้างจากความว่างเปล่า นี่คือพลังลับแห่งสภาวะจิตที่ระดับอมตะขั้นหลุดพ้นต่างวิงวอนขวนขวาย มีเพียงทองทะลุขอบเขตนี้เท่านั้น จึงจะสามารถหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง

เสวียนเฟยหลิงก็เป็นระดับอมตะขั้นหลุดพ้นเช่นกัน มีหรือจะไม่เข้าใจนัยเร้นลับนี้

แต่เขากลับคิดไม่ถึงขอบเขตพลังเช่นนี้ จะถึงกับปรากฏขึ้นบนตัวระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างหลินสวิน นี่เห็นชัดว่าน่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

“เหตุใดข้าฟังเข้าใจแล้ว แต่กลับมองความลับภายในนั้นไม่ออกสักนิด”

เสวียนจิ่วอิ้นกังขา

“หากเจ้าสามารถหยั่งถึงได้ ป่านนี้คงมานั่งถกมรรคกับเทียดอย่างข้านานแล้ว”

เสวียนเฟยหลิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“กล่าวเช่นนี้ หลินสวินทำได้แล้วหรือ”

เสวียนจิ่วอิ้นพูดอย่างตกใจ

“เขายังไม่ได้ครอบครองพลังของสรรสร้างจากความว่างเปล่าอย่างแท้จริง แต่หยั่งรู้ถึงนัยเร้นลับบางส่วนในขอบเขตนี้แล้ว ช่าง… ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

เสวียนเฟยหลิงทอดถอนใจ

เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนที่ทะลวงด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยกในดินแดนรกร้างโบราณ หลินสวินก็มองทะลุขอบเขตนี้ได้แล้ว ทำเอาซียังตกใจ เสียอาการอย่างหาได้ยาก

ต่อมาหลังจากชายหนุ่มจักจั่นทองได้รู้เรื่องนี้ ก็อุทานตกใจไม่หยุดเช่นกัน!

และในเวลานี้ คนใหญ่คนโตอย่างพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นต่างเผยสีหน้าตกใจแกมสงสัยออกมา สรรสร้างจากความว่างเปล่าหรือ

พวกเขาเป็นเหมือนพวกเสวียนเฟยหลิง ถูกสิ่งนี้ซัดโจมตีจนไม่อาจสงบนิ่งได้

เพราะว่าขอบเขตนี้ เป็นขอบเขตที่สามารถหยั่งรู้ได้ในระดับอมตะขั้นที่สามอย่างขั้นหลุดพ้น!

แต่ตอนนี้กลับปรากฏอยู่บนตัวหลินสวิน นี่จะไม่ให้คนตกใจคงยาก

เพียงแต่สำหรับผู้สืบทอดส่วนใหญ่ในที่นี้ล้วนมึนงง เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความหมายของสรรสร้างจากความว่างเปล่าสักนิด

นี่ปกติยิ่ง

ทว่าเมื่ออยู่บนตัวหลินสวิน กลับผิดปกติยิ่งยวด

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่คนใหญ่คนโตพวกนั้นสะท้านสะเทือน

ตูม!

ใต้เวิ้งฟ้าทวนพิพากษาปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มองข้ามพันธนาการแห่งห้วงอากาศ โจมตีใส่หลินสวินอีกครั้งในชั่วพริบตา กลิ่นอายพิบัติเคราะห์สยดสยอง

เพียงแต่ครั้งนี้หลินสวินเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว ซัดหมัดจู่โจม

ปึง!

ทั้สองปะทะกัน ชั่วอึดใจร่างของหลินสวินก็ถูกแทงทะลุแตกระเบิดอีกครั้ง ภาพเลือดชุ่มโชกทำเอาคนมองจนใจเต้นเนื้อกระตุกไประลอกหนึ่ง

แต่มีประสบการณ์ครั้งแรกแล้ว ทุกคนต่างไม่ได้เสียอาการเหมือนก่อนหน้านี้อีก

ดังคาด ไม่ทันไรเงาร่างของหลินสวินก็ควบรวมขึ้นใหม่อีกครั้ง เข้าปะทะกับทวนพิพากษา ร่างดุจเหวใหญ่ปลดปล่อยถึงขีดสุด อานุภาพที่แข็งแกร้าวนั่นทำให้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิทั้งหมดในที่นี้ล้วนอึ้งค้างไประลอกหนึ่ง

พวกเขาเคยเห็นว่าหลินสวินโจมตีลี่จงหย่วนพ่ายแพ้อย่างไร และโจมตีเสิ่นไจ้เต้าพ่ายแพ้อย่างไร เดิมคิดว่านั่นเป็นพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของหลินสวินแล้ว

แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นอานุภาพที่หลินสวินปลดปล่อยออกมายามข้ามด่านเคราะห์ พวกเขาถึงเพิ่งเข้าใจตอนนี้ ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไม่รู้สักนิดว่าหลินสวินแข็งแกร่งขนาดไหน!

อานุภาพระดับนี้ทำให้พวกเขาล้วนมีความรู้สึกสิ้นหวังที่ถูกทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นอย่างหนึ่ง…

แม้แต่คนใหญ่คนโตระดับอมตะจำนวนหนึ่งก็ยังตกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่พวกเขาได้เห็นหลินสวินปลดปล่อยมรรควิถีแห่งตนโดยไม่เก็บงำ!

นี่ทำให้คนใหญ่คนโตของขุมอำนาจศัตรูอย่างพวกฝูเหวินหลียังอดรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาไม่ได้ คราวนี้จึงตระหนักได้อย่างลึกซึ้ง ว่าเหตุใดหลินสวินจึงถูกมองว่าเป็นคนที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเฝ้ารอมาหมื่นกาล

รากฐานพลังระดับนั้นน่าสะพรึงเกินไปจริงๆ!

มีอานุภาพเหนือระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิงชัดๆ!

และที่ทำให้พวกเขาค่อยๆ วางใจก็คือ มหาเคราะห์ครั้งนี้น่าสะพรึงหาใดปรียบ น่ากลัวเหนือจินตนาการ เมื่อครู่เพิ่งจะเริ่มต้นหลินสวินก็ถูกทวนพิพากษาแทงทะลุไม่หยุด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมีหรือจะมีโอกาสข้ามด่านเคราะห์สำเร็จ

คิดอยากก้าวสู่มรรคาอมตะยิ่งเพ้อฝันเข้าไปใหญ่!

ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้

ปึง!

ใต้เวิ้งฟ้าเงาร่างหลินสวินถูกโจมตีแหลกอีกครั้ง เลือดสดสาดกระเซ็น

นี่เขาถูกโจมตีร่างสลายเป็นครั้งที่สี่แล้ว!

ภาพที่ดุจดั่งความตายครั้งแล้วครั้งเล่านั่น ทำเอาหัวใจคนมากมายต่างเริ่มแขวนลอย กังวลอย่างบอกไม่ถูก

แต่ที่เหนือความคาดหมายของผู้คนคือ ทุกครั้งหลังจากหลินสวินถูกโจมตีร่างทลาย กลิ่นอายบนตัวก็แข็งแกร่งขึ้นส่วนหนึ่ง ดุจดั่งนิพพานและแปรสภาพท่ามกลางการแตกดับและเกิดใหม่

และในครั้งที่เก้าที่ถูกซัดโจมตี หลินสวินก็ครอบครองอานุภาพที่สามารถต่อกรกับทวนพิพากษาได้แล้ว!

ทั้งหมดนี้ทำเอาผู้คนมองจนปากอ้าตาค้าง

นี่เสมือนหลินสวินไม่ตายไม่แตกดับอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งหลังจากดับทลายก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งส่วน สั่นคลอนความคิดของผู้คนอย่างสิ้นเชิง

จนกระทั่งครั้งที่สิบสาม

ตูม!

หลินสวินในครั้งนี้ซัดโจมตีทวนพิพากษาทั้งอย่างนั้น ละอองแสงอสนีสีดำระฟ้าสาดพรม ขับเน้นจนเงาร่างสูงโปร่งของเขาดุจดั่งเทพมาร!

“ดี!”

เสวียนจิ่วอิ้นตื่นเต้นจนตะโกนเสียงดัง กลับถูกเสวียนเฟยหลิงตบท้ายทอยไปหนึ่งฉาด “อย่าส่งเสียง!”

ถึงจะเจ็บจนสูดปาก แต่เสวียนจิ่วอิ้นกลับยิ้มหน้าบาน

เวลานี้คนที่ตื่นเต้นเหมือนกับเขาก็มีอยู่ไม่น้อย

แน่นอน สำหรับขุมอำนาจศัตรูพวกนั้นนี่ย่อมทำให้พวกเขาผิดหวัง แต่ละคนสีหน้าอึมครึม คล้ายกับกินแมลงวันตายไม่มีผิด

ตูม โครม!

บนเวิ้งฟ้า เมฆาเคราะห์เป็นชั้นๆ เสียงสายฟ้าดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์นั่น กลิ่นอายพิบัติเคราะห์ที่ประหนึ่งทำลายล้างไหลทะลัก ปลดปล่อยลำแสงอสนีที่เจิดจ้าบาดตาออกมา

หลินสวินที่ยืนนิ่งใต้เคราะห์สวรรค์สีหน้าราบเรียบดังเดิม มีเพียงกลิ่นดายที่แข็งกร้าวขึ้นกว่าที่ผ่านมา แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งช่วงใหญ่!

นี่คือการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่ได้รับจากการข้ามด่านเคราะห์!

และเวลานี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจนัยยะของ ‘ระเบียบนิพพาน’ แล้ว

หากปราศจากพลังแห่งนิพพาน ยามเมื่อเผชิญหน้ากับเคราะห์สังหารน่าสะพรึงเช่นนี้ อย่าว่าแต่เขา ต่อให้เปลี่ยนเป็นระดับอมตะ เกรงว่ายังไร้เรี่ยวแรงต่อต้านด้วยซ้ำ!

เพราะว่าเคราะห์นี้ เรียกได้ว่าไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ อดีตปัจจุบันไม่เคยมี พลังพิบัติเคราะห์นั่น ไม่ใช่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจะสามารถต่อต้านสักนิด

“ยอดหนทางสู่อมตะ แดนปรินิพพาน…”

หลินสวินพึมพำในใจ ความรู้ความเข้าใจที่เขามีต่อมรรคคาถาบทนี้ที่ท่านอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเหลือทิ้งไว้ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ตูม!

ทันใดนั้น บริเวณส่วนลึกของเมฆาเคราะห์เกิดเสียงสายฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นจิตวิญญาณดังก้องขึ้น ดุจดั่งเทพอสนีลั่นตีกลองสงคราม สั่นสะเทือนจนฟ้าดินไหวโคลง หมื่นชีวิตร้องโอดครวญ

ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครไม่ใจสั่นสะท้าน ทั่วร่างแข็งทื่อ

ผู้สืบทอดมากมายต่างอดถอยร่นทิ้งระยะห่างไกลโพ้นขึ้นไปอีกโดยสัญชาตญาณไม่ได้

แม้แต่พวกคนใหญ่คนโตเหล่านั้น ก็ยังขนลุกทั่วร่าง กลิ่นอายของพิบัติเคราะห์นี้ สยดสยองยิ่งกว่าพิบัติเคราะห์จำนวนหนึ่งที่พวกเขาพานพบในระดับอมตะชัดๆ!

พวกเขาล้วนไม่สามารถจินตนาการได้ว่านี่จะเป็นเคราะห์มรรคอมตะที่เล่นงานระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง!

“แท่นมรรคแท่นหนึ่ง?”

“นี่เป็นเคราะห์อะไรกัน”

“สวรรค์!!”

เสียงอุทานระลอกหนึ่งดังขึ้นในลาน คนมากมายอดไม่ได้ เพราะอสนีเคราะห์ที่ปรากฏขึ้นในเวลานี้ แปลกพิศวงและน่าสะพรึงเกินไปจริงๆ

สายฟ้าสีม่วงนับไม่ถ้วนเกี่ยวรัด หล่อหลอมขึ้นเป็นแท่นมรรคเก่าแก่เรียบง่ายแท่นหนึ่ง บนแท่นมรรคถึงกับประทับด้วยลายมรรคคลุมเครือที่ชัดเจนจนสามารถมองเห็นได้ชัด ให้กลิ่นอายแน่นหนา เก่าแก่สามัญ และดั้งเดิมแก่ผู้คน

แวบแรกที่แต่ละคนมองเห็นล้วนเกิดความรู้สึกหายใจติดขัด สภาวะจิตดุจดั่งถูกข่มระงับแน่นหนา เพราะกลิ่นอายของแท่นมรรคสายฟ้าสีม่วงนั่น มีอานุภาพต้องห้ามอยู่รำไร!

ตูม!

ภายใต้สายตาจับจ้องด้วยความตกใจนับไม่ถ้วน แท่นมรรคสีม่วงร่วงหล่นลงมา เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก็บดทับ ผลาญทำลายเงาร่างของหลินสวินแหลกละเอียด

หนำซ้ำแท่นมรรคนี้ส่งเสียงดังอึกทึก เสมือนว่าหมายจะกวาดกำจัดสภาวะวิญญาณเฉพาะตนของหลินสวินให้สิ้นซาก!

ภาพที่เผด็จการไร้ปรานีนี้ ทำให้พวกฟางเต้าผิง เสวียนเฟยหลิงล้วนหนังตากระตุก จากองค์ความรู้ของพวกเขา ล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่เคยได้ยินว่าบนโลกใบนี้เหตุใดถึงยังมีอสนีเคราะห์ที่แปลกพิศวงและต้องห้ามขนาดนี้อยู่ด้วย

นี่ล้มล้างความรู้ความเข้าใจของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง!

และคนที่มองหลินสวินเป็นศัตรูอย่างพวกฝูเหวินหลี เวลานี้ก็อดเกิดอารมณ์ตั้งหน้าตั้งตาคอยไม่ได้ ครั้งนี้ เขาหลินสวินยังจะเกิดใหม่ในความตายได้อีกหรือไม่

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท