Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2742 เจตจำนงสายหนึ่ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2742 เจตจำนงสายหนึ่ง

ตอนที่ 2742 เจตจำนงสายหนึ่ง

ตูม โครม!

บริเวณใกล้เคียงยอดเขาที่เก้าปรากฏพลังระเบียบคลุมเครือ กำลังต้านพลังน่าสะพรึงของอสนีเคราะห์นั่น

หาไม่ภูผาธาราแถบนี้ต้องถูกบดขยี้อย่างแน่นอน

แท่นมรรคที่แปลงมาจากอสนีสีม่วงดุจภูเขาเทพที่ไม่อาจสั่นคลอน เปล่งแสงกลางห้วงอากาศ กลิ่นอายพิบัติเคราะห์น่าสะพรึงแผ่กระจายครึกโครม

นี่เป็นภาพที่สามารถทำให้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนใดก็ตามสิ้นหวัง

มหาเคราะห์เช่นนี้ใครจะไปต้านไหวกัน

แต่ไม่นานผู้คนต่างพบว่าใกล้ๆ แท่นมรรคสีม่วงนั่นมีรอยเลือดเป็นสายๆ ร้อยรัดควบรวม ไม่ทันไรก็ก่อเค้าโครงร่างของหลินสวินออกมา

“นี่ยังไม่ตายอีก!?”

ฉีหลิงเจิ้นโพล่งออกมาอย่างแทบควบคุมไม่อยู่

ครั้งมองไปทางคนอื่นๆ ต่างก็เบิกตากว้าง เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้นเงาร่างของหลินสวินก็ถูกทำลายอีกครั้ง เหมือนกับการต่อสู้กับทวนพิพากษานั่นก่อนหน้านี้ เข้าสู่วังวนแห่งการดับสิ้นและเกิดใหม่อย่างหนึ่ง

ทุกครั้งล้วนทำให้ผู้อื่นนึกว่าเขาสิ้นชีพไปแล้ว แต่ทุกครั้งล้วนฟื้นคืนกลับมาอีกดุจดั่งปาฏิหาริย์

นี่ทำให้คนใหญ่คนโตอย่างพวกฝูเหวินหลีมองจนสีหน้าวูบไหวไม่นิ่ง

เพียงแต่พวกเขาที่เป็นคนนอก ถึงแม้จะเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่กลับไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกยามหลินสวินข้ามด่านเคราะห์ได้สักนิด

ถูกโจมตีสังหารครั้งหนึ่ง ก็เหมือนพบเจอการลงทัณฑ์ทารุณอย่างหนึ่ง ร่างสังขารถูกผลาญดับ ประหนึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ท่ามกลางความตาย

หากเปลี่ยนเป็นคนที่สภาวะจิตอ่อนแอหน่อย เกรงว่าคงถูกการโจมตีสังหารครั้งแล้วครั้งเล่านั่นทรมานจนสภาวะจิตทลายไปนานแล้ว!

หลินสวินเองก็รับมือยากลำบากเช่นเดียวกัน

แต่สภาวะจิตและเจตจำนงของเขาไม่เคยถูกสั่นคลอน!

เขาเฝ้ารอมานานแล้ว ขาดเพียงโอกาสแจ้งมรรคครั้งนี้ ต่อให้ด่านเคราะห์นี้จะน่าสะพรึงและวิปริตปานใด ก็ไม่มีทางทำให้เขาถอยร่นแม้เพียงเสี้ยว!

อันที่จริงทุกครั้งที่ถูกดับทำลาย ล้วนเหมือนผ่านการทรมานที่โหดร้ายทารุณที่สุดในโลก แต่ทุกครั้งหลังจากนิพพาน ก็ทำให้อุปสรรคพลังปราณของหลินสวินถูกทุบทำลายลงส่วนหนึ่ง ทำให้เขาได้รับการแปรสภาพอันไร้รูปอย่างหนึ่ง!

หากบอกว่าระดับมกุฎบรรพจารย์ก็เหมือนสระที่เติมน้ำจนเต็ม เช่นนั้นพิบัติเคราะห์ในเวลานี้ ก็เหมือนค้อนยักษ์ที่ทุบทำลายและสั่นคลอนขอบกั้นของสระน้ำ

นี่ก็คือการทะลวงระดับ

กำจัดอุปสรรคที่ขวางกั้นพลังปราณแห่งตน จึงจะสามารถเหยียบย่างบนมรรคาที่สูงยิ่งขึ้น!

พร้อมกับเวลาเคลื่อนคล้อย

ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินถูกแท่นมรรคสีม่วงนั่นทำลายกี่แล้วครั้ง ร่างของเขาพริบไหวหายไปทันใด ก่อนจะปรากฏตัวนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นมรรคสีม่วงนั่น!

เขาเหมือนนั่งสมาธิ ทั่วร่างทั้งบนล่างแผ่กลิ่นอายกลืนกินอันน่าสะพรึงออกมา กลายเป็นเหวใหญ่ที่ลึกสุดหยั่ง กำลังหลอมแท่นมรรคสีม่วงนั่น

ตูม!

พลังของทั้งสองเริ่มประชันและฟาดฟันอย่างดุเดือดยิ่งยวด ทำให้ฟ้าดินแถบนั้นล้วนปั่นป่วน พลังที่บ้าคลั่งหอบม้วนอาละวาด แผ่กระจายไปทั่วสิบทิศ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแท่นมรรคสีม่วงจะดิ้นรนอย่างไร เงาร่างของหลินสวินราวกับหินแกร่ง ไม่ไหวติงแม้แต่เสี้ยว

และพร้อมๆ กับการต่อต้านไม่หยุด แท่นมรรคสีม่วงถึงกับถูกหลอมพังถล่มทีละน้อย กลิ่นอายพิบัติเคราะห์ที่เปี่ยมล้นบนนั้นล้วนถูกดับมอดทีละนิด

ทั่วบริเวณล้วนสะท้านสะเทือน ไร้ซึ่งสรรพเสียง

ความสามารถของหลินสวินในยามนี้ ในสายตาพวกเขาก็เหมือนเทพศักดิ์สิทธิ์ เหยียดหยัน แข็งกร้าว ไม่อาจสั่นคลอน ไม่ตายไม่แตกดับ!

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ หรือสภาวะจิตของเขาไม่ได้รับผลกระทบใด”

พวกฉีหลิงเจิ้นสีหน้าเปลี่ยนสี เผยแววขุ่นเคืองอย่างบอกไม่ถูก อึดอัดยิ่ง

ความสามารถของหลินสวินตระการตาเกินไปแล้ว ถูกโจมตีร่างสลายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็เกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าอีก จนตอนนี้ยิ่งคิดจะหลอมมหาเคราะห์ นี่จะให้พวกเขารับไหวได้อย่างไร

คนส่วนมากถูกหลินสวินทำให้สะท้านสะเทือน

เคาะใจถามตน หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา ใครจะสามารถผ่านการดับทำลายแต่ไม่พ่ายแพ้เหมือนหลืนสวินได้บ้าง

เปรี๊ยะ!

สุดท้ายแท่นมรรคสีม่วงก็แตกร้าว จากนั้นระเบิดออกสนั่นหวั่นไหว ละอองแสงอสนีเคราะห์ที่มันวิวัฒน์ขึ้นถูกหลินสวินกลืนกินเกลี้ยงไม่มีเหลือ

สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กลิ่นอายบนตัวหลินสวินไต่ทะยานขึ้นประหนึ่งบ้าคลั่ง กลิ่นอายที่เป็นของระดับอมตะเป็นสายๆ พวยพุ่งออกมารำไร!

ยามนี้พวกฝูเหวินหลีไม่อาจสงบได้อย่างสิ้นเชิง ในใจทั้งตกลึงทั้งโมโห สภาวะจิตของเจ้าหมอนี่ไม่ได้รับผลกระทบสักนิดจริงๆ หรือ

นี่ทำให้พวกเขาทำตัวไม่ถูก

มองเห็นหลินสวินยิ่งล้มยิ่งแกร่งกล้า ยิ่งเปลี่ยนแปลงยิ่งกร้าวแกร่งระหว่างข้ามด่านเคราะห์ ทำให้พวกเขาหมายลงมือไปขัดขวางอยู่หลายต่อหลายครั้ง

แต่ท้ายที่สุดก็ยังฝืนใจระงับเอาไว้

ที่นี่อย่างไรก็เป็นลัทธิแรกกำเนิด กฎระเบียบไม่อาจเหยียบย่ำ!

และเวลานี้คนใหญ่คนโตอย่างพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงล้วนลอบถอนหายใจโล่งอก

เคราะห์แรก เป็นมหาเคราะห์ที่ดุจดั่งทวนพิพากษาเล่มหนึ่ง แม้จะน่าสะพรึงแต่ก็ยังถูกหลินสวินสลายไปได้

เคราะห์ที่สอง ดุจดั่งแท่นมรรคอสนี แข็งกร้าวยิ่งกว่าทวนพิพากษา ทำเอาพวกเขายังขวัญหาย แต่ก็ยังไม่อาจเอาชนะหลินสวินได้ดังเดิม

ทั้งหมดนี้ราวกับปาฏิหาริย์ ทำเอาผู้ชมอย่างพวกเขาเกิดความมั่นใจเพิ่มพูน

ทว่าก็เป็นตอนนี้เองที่ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์นั่นปรากฏอสนีเทพที่ประหนึ่งแรกกำเนิด คลุมเครือยากอธิบาย พลิกม้วนโหมซัด พริบตานั้นทุกคนในที่นี้ไม่ว่าพลังปราณสูงหรือต่ำ สภาวะจิตล้วนเกิดสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม ดุจดั่งถูกความน่าสะพรึงยิ่งใหญ่ปิดครอบ หมายจะรุกรานสภาวะจิต

“โอม!”

ทันใดนั้นเสวียนเฟยหลิงเปล่งเสียงมรรคออกมา ดังก้องทั่วลาน “ศิษย์ทุกคนปิดผนึกสัมผัสทั้งหก ห้ามทำการสัมผัสอีก หาไม่จะทำให้สภาวะจิตประสบเคราะห์!”

คนมากมายหน้าเปลี่ยนสี ล้วนปิดผนึกจิตรับรู้และประสาทสัมผัสตามจิตใต้สำนึก

มีเพียงเหล่าพวกคนใหญ่คนโตพวกนั้นที่ยังสามารถต้านสิ่งนี้ได้ เพียงแต่สีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

ส่วนลึกของเวิ้งฟ้า

สายฟ้าที่เหมือนแรกกำเนิดควบรวม แปลงเป็นลักษณ์ประหลาดน่าเหลือเชื่อนับไม่ถ้วน มีทิวทัศน์ดึกดำบรรพ์ที่เบิกฟ้าแยกดิน มีสรรพสิ่งผันเปลี่ยน ทิวทัศน์จักรวาลลวงตา มีสรรพวิญญาณลอยล่องท่ามกลางความเป็นตาย มีหมื่นมรรคพังถล่ม วันสิ้นโลกที่ทำลายล้างหมื่นกาล…

ภาพเหตุการณ์ต่างๆ นั้นทำเอาคนใหญ่คนโตเหล่านั้นขนลุกขนพอง หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

นี่เป็นเคราะห์อะไรกัน!?

และเวลานี้หลินสวินสีหน้าคงเดิม สงบนิ่งไม่ไหวติง เฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ

ในใจเขาเกิดลางสังหรณ์ นี่น่าจะเป็นเคราะห์มรรคครั้งสุดท้าย และเป็นเคราะห์มรรคที่น่าสะพรึงและน่ากลัวที่สุดอีกด้วย หากข้ามด่านเคราะห์ไปได้ นับแต่บัดนี้เขาจะก้าวสู่อมตะ อายุขัยเทียมฟ้า

หากข้ามไม่ได้ ก็จะพบจุดจบร่างดับมรรคสลาย วิญญาณแตกซ่าน!

‘มรรคก่อเกิดหนึ่ง หนึ่งก่อเกิดสอง สองก่อเกิดสาม สามก่อเกิดหมื่นชีวิต เคราะห์นี้มีสามด่าน ซ้ำยังสื่อถึงอดีต ปัจจุบัน อนาคต นัยเร้นลับที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้นล้วนน่าสะพรึงยิ่งกว่าเคราะห์ที่ผ่านมาพวกนั้นไม่รู้เท่าไหร่ บางทีคงมีเพียงทุบทำลายทั้งหมดนี้ จึงจะสามารถแจ้งพลังที่ประหนึ่งยอดหนทางสู่อมตะได้อย่างแท้จริงกระมัง…’

หลินสวินใคร่ครวญ สภาวะจิตยิ่งว่างเปล่าและนิ่งสงบขึ้นเรื่อยๆ

และเหนือเวิ้งฟ้า ลักษณ์ประหลาดที่แปลกพิสดารนับไม่ถ้วนรวมตัวอยู่กลางสายฟ้าที่ประหนึ่งแรกกำเนิดนั่น สุดท้ายควบรวมเป็นเจตจำนงสายหนึ่งอยู่ในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ สาดแสงหมื่นจั้ง บนนั้นปรากฏอักษรมหามรรคที่อัศจรรย์สุดพรรณนานับไม่ถ้วนอยู่รางๆ แต่เมื่อมองอย่างละเอียดกลับเห็นอะไรไม่ชัดเจน

ระดับอมตะขั้นหลุดพ้นเหล่านั้นต่างอดอึ้งงันไม่ได้ ถูกเจตจำนงพิบัติเคราะห์อันลึกลับสายนั้นทำให้ตกใจ ต่อให้ทุบกะโหลกจนแตกพวกเขาก็คิดไม่ถึง ว่าเคราะห์มรรคอมตะครั้งหนึ่งเหตุใดถึงกลายเป็นเจตจำนงสายหนึ่งไปได้!

พวกเขาใช้พลังทั้งหมดไปสัมผัส พยายามหยั่งถึงอักษรมหามรรคกลางเจตจำนงนั่น ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่สามารถมองทะลุได้

นั่นเหมือนตำราสวรรค์ในตำนาน บรรจุเจตจำนงแห่งฟ้าเบื้องบน ไม่อาจขนานนาม ไม่อาจอธิบาย ไม่อาจไตร่ตรอง!

น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตที่มองหลินสวินเป็นศัตรูเหล่านั้นก็ยังอึ้งค้างอยู่กับที่ ถูกอสนีเคราะห์ที่เรียกได้ว่าตะลึงโลกสายนี้ทำให้สะท้านสะเทือน จิตใจไหวสั่น

เจตจำนง!

นี่คือพลังสูงสุดที่สื่อถึงมหาเคราะห์หรือ

ยามนี้หลินสวินเองก็ขนพองสยองเกล้าเช่นนี้ สัมผัสถึงภัยคุกคามถึงชีวิต เรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่ซ่อนอยู่กลางฝ่ามือโดยตลอดออกมาอย่างไม่ลังเล มันลอยเด่นเหนือศีรษะ สาดแสงมรรคไพศาล

ภายในเตากระบี่ ระเบียบนิพพานถึงกับไหวกระเพื่อมขึ้นมาอย่างหาได้ยาก ราวถูกกระตุ้นจากพลังบางอย่าง

ตูม!

บริเวณส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ ภายในเจตจำนงที่ประดุจแรกกำเนิด พลันทะลักอักษรมรรคที่สุดพรรณนานับไม่ถ้วนขึ้นมา ทันทีที่ปรากฏ ก็แปลงเป็นกลีบดอกไม้ที่ไอขุ่นใสสายแล้วสายเล่าร้อยประสานกัน คลุมเครือเลือนรางโปรยพรมลงมา

ผู้ชมการต่อสู้ไม่ได้รู้สึกว่าน่าสะพรึงเท่าใด

ทว่ายามเมื่อกลีบดอกไม้เป็นกลีบๆ นั่นหล่นร่วง ก็ไม่สามารถฝืนต้านได้สักนิด ติดหนึบอยู่บนตัวหลินสวิน ทันใดนั้นเหมือนเพลิงเคราะห์ที่ร้อนแรงที่สุดในโลก ผลาญเผาร่างของเขา กลายเป็นเถ้าธุลีในชั่วพริบตา

ในใจผู้คนต่างบีบรัด ลมหายใจติดขัด

น่าสะพรึงนัก!

กลีบดอกไม้เกาะหนึบอยู่บน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ฝ่ายหลังร้องโหยหวนรุนแรง ผิวภายนอกถูกกัดกร่อน หลุดร่อนปลิวร่วงออกมาเป็นชิ้นใหญ่ๆ

ดูท่าเหมือนจะแบกรับไม่ไหวแล้ว

แผนภาพดอกบัวแผ่นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทันที ปลดปล่อยพลังลึกลับออกมา กักขังกลีบดอกไม้กลับแล้วกลีบเล่านั่นเอาไว้

ทว่ากลีบดอกไม้เหล่านั้นมากมายเกินไปจริงๆ ไอขุ่นใสไหลเวียน คลุมเครือเลือนราง ไม่นานก็ปิดครอบเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งและระเบียบนิพพานที่เสียหายุรนแรงเอาไว้อีกครั้ง

ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเหนือจิตนาการของทุกคนในที่นี้ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ที่สามารถฟันธงได้คือ หลินสวินกำลังประสบพิบัติเคราะห์ที่น่าสะพรึงที่สุดอยู่!

จนกระทั่งเนิ่นนาน เงาร่างของเขาเพิ่งจะควบรวมปรากฏขึ้นทีละนิด อย่างไรก็ตามยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่างสมบูรณ์ ก็ถูกกลีบดอกไม้เหล่านั้นแผดเผามลายสิ้นไปอีก

นี่ทำให้พวกเสวียนเฟยหลิงมองดูจนจิตใจหนาวเหน็บ พิบัติเคราะห์ที่แปลกพิสดารและต้องห้ามระดับนี้ ทำให้เฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างพวกเขาเหล่านี้ล้วนเกิดความรู้สึกหวาดสะพรึง

พวกเขาไม่เคยรู้สึกถึงรสชาติเช่นนี้มานานเหลือเกินแล้ว

ย้อนมองทางพวกฝูเหวินหลี แม้จะถูกภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ตกใจจนจิตใจชาหนึบเช่นกัน ทว่าภายในใจกลับเกิดความยินดีและฮึกเหิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

มหาเคราะห์เช่นนี้ หลินสวินมีหรือจะไม่ตาย

และแก้วตาดวงใจที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลรอคอยมาหมื่นกาล จะต้องถูกทำลายในบัดดลอย่างแน่นอน!

ในเวลานี้ ต่อให้เป็นเหล่าผู้สืบทอดสามหอเก้ายอดเขาก็ยังตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของหลินสวินคับขันอันตราย ไม่เหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว

เพราะในเวลาต่อมา ทุกครั้งที่เงาร่างของเขาเพิ่งจะควบรวมปรากฏขึ้น ก็จะถูกกลีบดอกไม้กลางเจตจำนงแรกกำเนิดสายนั้นแผดเผา แม้แต่พื้นที่ขัดขืนก็ยังไม่มี!

ถึงตอนท้าย เวลาที่เงาร่างของเขารวมตัวกันก็ยิ่งยาวนานขึ้นเรื่อยๆ…

“เฮ้อ ตกม้าตายตอนจบชัดๆ!”

ฉีหลิงเจิ้นเอ่ยปาก ดูคล้ายกำลังอัดอั้นเสียดาย ความจริงแล้วภายในใจสดชื่นถึงขีดสุด

“ถ้าไม่อยากตาย ก็หุบปากให้ข้าอย่างว่าง่ายซะ!”

บริเวณไกลๆ เสวียนเฟยหลิงสีหน้าเย็นเยียบจนน่ากลัว ประโยคเดียวทำเอาฉีหลิงเจิ้นสีหน้าซีดขาวเหลือบเขียวคล้ำ อดสูหาใดเปรียบ

“พี่เสวียน ถือสาอะไรกับผู้ด้อยอาวุโสคนหนึ่ง ตอนนี้ใครยังดูไม่ออกบ้างว่าหลินสวินใกล้จะข้ามด่านเคราะห์ล้มเหลว ต่อให้พวกเขาไม่อยากเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ แต่ความจริงเป็นเช่นนี้ จะโวยวายไปไย”

ฉีเซียวอวิ๋นเอ่ยปากกล่าวอย่างเย็นชา

ในใจเขาก็ยินดีไม่หาย จงใจยกประเด็นมายั่วโทสะเสวียนเฟยหลิง

“น่าเสียดายหลินสวินเจ้าหมอนี่ โดดเด่นเฉิดฉายปานใด ไม่เคยคิดว่ากลับต้องมาด่วนจากเช่นนี้”

ฝูเหวินหลีที่อยู่ข้างกันส่งเสียงแสร้งสะอื้น

“รอพิบัติเคราะห์ฉากนี้สิ้นสุดลง ไปดูหน่อยว่าพอจะหาของต่างหน้าและเถ้ากระดูกส่วนหนึ่งพบหรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้สืบทอดของพวกเราลัทธิแรกกำเนิด ต้องจัดพิธีฝังศพให้ดีๆ หน่อย”

ชือเวินถอนหายใจเฮือกยาว

ขณะนี้ คนใหญ่คนโตของกองกำลังศัตรูเหล่านี้ต่างเอ่ยปาก เจตนาเปิดเผยแจ่มชัด เห็นได้ชัดว่าจงใจซ้ำเติมพวกเสวียนเฟยหลิง!

แน่นอน ยังถือโอกาสแสดงความสุขใจและชื่นมื่นภายในใจพวกเขาด้วย

ถึงตอนท้าย ในที่สุดหลินสวินก็ใกล้ตาย

ก็สมกับที่ระยะนี้พวกเขาทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายเพื่อสิ่งนี้อยู่บ้าง!

…………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท