ตอนที่ 2745 สิ้นท่าซ้ำแล้วซ้ำอีก
ฉีหลิงเจิ้นยังอึ้งไปครู่หนึ่ง กล่าวตามจิตใต้สำนึกว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหรือ”
เสียงเผยแววยากจะเชื่อ
นี่เป็นคำพูดที่ ‘คนใหม่’ คนหนึ่งซึ่งเพิ่งเหยียบย่างระดับอมตะกล้าพูดหรือ
“ใช่คู่ต่อสู้หรือไม่ รอสู้กันเดี๋ยวก็รู้”
กล่าวพลางหลินสวินทอดสายตามองทางจงหลีหรัน กู้เซ่าอิ้น ฟู่เจาเซิงที่อยู่ไกลออกไป เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ทั้งสาม ในเมื่อตอบรับการนัดสู้แล้ว ตอนนี้ก็เข้าสนามรบพิพาทสวรรค์มาเถอะ”
พวกจงหลีหรันต่างมีสีหน้าพิกล พลันรู้สึกถูกดูหมิ่นยิ่งยวด ต่างโมโหจัดจนหัวเราะออกมา
หนึ่งต่อสี่หรือ
นี่ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาสักนิด!
เวลานี้ในที่สุดผู้คนก็ตระหนักแล้วว่าหลินสวินหาใช่ล้อเล่น เขาจริงจังนัก
“เจ้าแน่ใจหรือ”
จงหลีหรันยังคงเอ่ยถามเหมือนไม่เชื่อ
“เจ้าไม่กล้าหรือ”
หลินสวินย้อนถาม
เพียงไม่กี่คำเช่นกัน แต่การย้อนถามของหลินสวินราวกับดาบคมกริบเล่มหนึ่ง กรีดแทงจนสีหน้าจงหลีหรันยังอึมครึม
“ดี วันนี้ศิษย์พี่จะสนองความต้องการของเจ้า ให้เจ้าได้ตายดุเดือดเลือดพล่าน!”
จงหลีหรันกระโจนมาถึงกลางสนามรบพิพาทสวรรค์ในคราวเดียว
กู้เซ่าอิ้นและฟู่เจาเซิงเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง ทะยานตัวพุ่งเข้าสนามรบพิพาทสวรรค์ พวกเขาไม่ยอมถอยในเรื่องนี้เด็ดขาด
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินสวินจึงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เช่นนี้ดีนัก”
“หลินสวิน เหตุใดเจ้าต้องยืนกรานขนาดนี้ด้วย”
เสวียนเฟยหลิงอดเอ่ยปากอีกครั้งไม่ได้ เขาไม่สามารถเข้าใจการกระทำของหลินสวินจริงๆ สิ้นคิดเกินไป ผลีผลามเกินไป
สายตาทุกคู่ล้วนมองทางหลินสวิน
การนัดสู้ครั้งนี้เดิมก็ไม่เอื้อต่อเขาอย่างที่สุด แต่เขายังให้พวกจงหลีหรันสามคนเข้าสนามมาพร้อมกัน นี่บ้าคลั่งเกินไปแล้วชัดๆ
พวกเขาต่างก็แคลงใจ เหตุใดหลินสวินถึงยืนกรานเช่นนี้
สำหรับเรื่องนี้ คำตอบของหลินสวินง่ายดายยิ่ง กล่าวง่ายๆ ว่า “ข้ากังวลว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาจะยอมแพ้ ไม่รับการท้าประลอง”
หนึ่งประโยคที่แผ่วเบาทำเอาทั่วลานฮือฮา
“เฮอะ เจ้านี่คิดหรือว่าแจ้งมรรคอมตะแล้วจะเมินทุกสิ่งได้”
“เท่าที่ข้าดู เขาแค่อยากตายอย่างสมเกียรติสักหน่อย ถึงอย่างไรเมื่อแพร่ออกไปก็จะเป็นตายใต้น้ำมือของศิษย์พี่สี่คน ไม่ใช่ใต้เงื้อมมือของศิษย์พี่คนเดียว”
พวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นต่างหัวเราะหยัน
ท่าทีที่ดูเหมือนเรียบเฉย แต่ความจริงเดือดคลั่งหาใดเปรียบของหลินสวินนั่น ทำให้พวกเขาเห็นแล้วไม่พอใจยิ่ง รู้สึกเหลวไหลหาใดเปรียบ
“พี่หลินเขายังเหมือนที่ผ่านมาจริงๆ… ไม่เคยเปลี่ยนแปลงใดๆ”
เสวียนจิ่วอิ้นนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ยามได้รู้จักหลินสวินตอนข้ามฟ้าดาราบนยานลมกรดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สายตาเต็มไปด้วยแววหวนความหลัง
“จิตใจดั้งเดิมของคุณชายก็เป็นเช่นนี้ ถูกผู้อื่นหัวเราะหาว่าเขาบ้าเกินไป แต่ใครจะรู้ว่าในใจเขาเดิมก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว รอยามที่การต่อสู้สิ้นสุด เชื่อว่าไม่มีใครกล้าคิดเช่นนี้อีกแน่นอน”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าวเสียงเบา นัยน์ตากระจ่างสุกใสทอประกายพราวระยับ
ตอนที่ผู้คนฮือฮา หลินสวินก็ก้าวทะยานห้วงอากาศมาหยุดอยู่ในสนามรบพิพาทสวรรค์แล้ว ดึงดูดความสนใจทั่วลานโดยพลัน
ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าหลินสวินหรือพวกฉีหลิงเจิ้นสี่คน ต่างไม่มีโอกาสถอยอีก และยิ่งไม่มีทางมีโอกาสนึกเสียภายหลังแล้ว
เว้นแต่ผู้กำชัยจะเป็นฝ่ายเหลือทางรอดให้อีกฝ่ายเอง
หาไม่นี่ก็คือศึกชี้เป็นชี้ตายอย่างหนึ่ง!
“พวกเจ้าสามคนชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ ก่อน ให้ข้าชี้แนะศิษย์น้องหลินสวินสักหน่อยว่าพลังของระดับอมตะควรดึงมาใช้อย่างไร”
ฉีหลิงเจิ้นเอ่ยปากราบเรียบ
ไอสังหารที่เขากดข่มไว้ในใจเนิ่นนานจวนจะระงับไม่อยู่แล้ว
พวกจงหลีหรันย่อมไม่ปฏิเสธ ล้วนกอดอก ถอยออกไปไกลๆ สีหน้าเจือแววเย้ยหยันและเวทนา
เพิ่งก้าวสู่อมตะ เกรงว่ายังไม่ทันควบหลอมกฎเกณฑ์อมตะ ยังไม่ทันครอบครองพลังใหม่เอี่ยมนั่นได้ทั้งหมด ยังไม่ทันสร้างความมั่นคงให้พลังระดับใหม่นั่น
เวลานี้กลับมาต่อสู้ตัดสินกับคนหน้าเก่าที่อยู่ระดับนี้มาหลายปีอย่างพวกเขา ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
พวกเขามองไม่ออกจริงๆ ว่าหลินสวินจะมีความเป็นไปได้ในการรอดชีวิตสักกี่มากน้อย!
ตูม!
บนตัวฉีหลิงเจิ้น กฎเกณฑ์อมตะสีดำพุ่งออกมา โอบพิทักษ์เขาเอาไว้ราววงแหวนเทพ กฎเกณฑ์โคจร แปลงเป็นนรกหายนะ ปั่นป่วนพังทลาย น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด
“พลังระเบียบโกลาหลของตระกูลฉีไม่ใช่ของธรรมดาสามารถเทียบได้ดังคาด ด้วยเหตุนี้กฎเกณฑ์อมตะที่ควบรวมออกมาล้วนเรียกได้ว่ามีคุณภาพชั้นเลิศในระดับสวรรค์ขั้นเก้า อานุภาพของมันย่อมไม่เหมือนของทั่วไปแน่นอน”
ฝูเหวินหลีทอดถอนใจ
ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะฝึกปราณ จำเป็นต้องหยั่งถึงและควบรวมกฎเกณฑ์อมตะแห่งตนจากพลังระเบียบ
เหมือนอย่างกฎเกณฑ์อมตะของฉีหลิงเจิ้น ก็ควบรวมมาจาก ‘ระเบียบโกลาหล’ ระเบียบพิทักษ์ตระกูลฉี ฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่หายาก
อานุภาพระดับนั้น สามารถกดข่มกฎเกณฑ์อมตะที่อยู่ต่ำกว่าระดับนี้ได้โดยธรรมชาติ!
กล่าวง่ายๆ คือ ผู้แข็งแกร่งขั้นอายุขัยเทียมฟ้าที่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับปฐพี ต้องถูกคนระดับเดียวกันอย่างฉีหลิงเจิ้นบดขยี้อย่างแน่นอน!
จุดสำคัญของพลังระเบียบก็อยู่ตรงนี้
เหตุที่สิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดครองอานุภาพที่ส่งผลต่อโลกยอดนิรันดร์ได้ ก็เพราะพลังระเบียบที่พวกเขามีน่าสะพรึงเกินไป!
สีหน้าพวกเสวียนเฟยหลิงล้วนผุดแววหวั่นวิตกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หลินสวินเพิ่งจะทะลวงระดับ เกรงว่ายังไม่ทันควบรวมกฎเกณฑ์อมตะด้วยซ้ำ จะเอาอะไรไปสู้กับฉีหลิงเจิ้น
“ศิษย์น้อง ศึกตัดสินเป็นตายระดับนี้ ข้าคงไม่ออมมือให้เด็ดขาด และไม่ปรานีด้วย เจ้ารู้ใช่หรือไม่”
ฉีหลิงเจิ้นเอ่ยปากเสียงเรียบ
เงาร่างเขาปิดครอบด้วยกฎเกณฑ์อมตะ ดุจดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุมเภทภัยและความโกลาหล อานุภาพน่าสยดสยอง
“ข้าเองก็เช่นกัน”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ กลิ่นอายทั่วร่างเขาคลุมเครือยากพรรณนา ประหนึ่งแรกกำเนิด ไม่อาจนิยาม
“ดี!”
ฉีหลิงเจิ้นไม่ปิดบังไอสังหารในใจอีกต่อไป ปลดปล่อยพลังขับเคลื่อนทั่วร่าง จากนั้นพลันยื่นมือออกไป กระบี่มรรคที่ควบรวมจากกฎเกณฑ์อมตะเล่มหนึ่งปรากฏเบื้องหน้าเขาฉับพลัน
กระบี่มรรคนั่นเผยลักษณ์นรกที่โกลาหล กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้ระดับอมตะบางส่วนยังสะท้านสะเทือน คล้ายคิดไม่ถึงว่าความสำเร็จในระดับนี้ของฉีหลิงเจิ้นจะเยี่ยมยอดถึงขั้นนี้
อย่างกระบี่มรรคเล่มนี้ สามารถสังหารระดับจักรพรรดิทั้งปวงได้โดยง่ายแล้ว และถ้าอยู่โลกภายนอก พวกขั้นอายุขัยเทียมฟ้าทั่วไปคงต้านอานุภาพของมันไม่ไหวสักนิด
เพราะนั่นคือกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่หายาก!
“ไป!”
ฉีหลิงเจิ้นสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
ฟุ่บ!
ห้วงอากาศระหว่างเขากับหลินสวินพลันฉีกแหวกเป็นรอยแยกตรงสายหนึ่ง และกระบี่มรรคเล่มนั้นก็ฟันไปทางหัวของหลินสวินแล้ว
เร็วจนน่าเหลือเชื่อ
และน่าสะพรึงจนถึงขั้นทำให้คนหนังหัวชาหนึบ!
ผู้สืบทอดระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้นถึงขั้นมองร่องรอยของกระบี่เล่มนี้ไม่ชัดด้วยซ้ำ จิตใจล้วนเจ็บปวด
ยามนี้คนใหญ่คนโตอย่างพวกเสวียนเฟยหลิง รวมถึงพวกเสวียนจิ่วอิ้น จินเทียนเสวียนเยวี่ย ในใจล้วนหดเกร็งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เคร้ง!!
เสียงกระแทกสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น คนมากมายแก้วหูปวดแปลบ
ภาพเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นแล้ว
กระบี่มรรคอมตะเล่มนั้นถูกสกัดอยู่เบื้องหน้าหลินสวิน หยุดค้างอยู่กลางทาง สั่นกึกรุนแรง ปลดปล่อยกลิ่นอายดับผลาญปั่นป่วนที่น่าสะพรึงออกมา
แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่เป็นผล
และเมื่อหลินสวินงอนิ้วดีดออกไป กระบี่มรรคที่ควบรวมขึ้นจากระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าเล่มนี้พลันระเบิดกลางอากาศเป็นเสี่ยงๆ เหมือนพบเจอแรงกระแทกของพลังไพศาล กลายเป็นละอองแสงสาดพรมไร้สิ้นสุด
นี่ทำให้คนไม่รู้เท่าไหร่ปากอ้าตาค้าง พวกเขามองไม่ถนัดว่าหลินสวินทำได้อย่างไร
ส่วนคนใหญ่คนเหล่านั้นต่างเผยแววตกใจแกมสงสัยออกมา
พวกเขามองเห็นการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ในสายตา ตระหนักได้อย่างฉับไว ว่ากระบี่นี้ของฉีหลิงเจิ้นถูกกลิ่นอายกฎเกณฑ์อมตะที่แผ่ออกมาจากตัวหลินสวินขวางเอาไว้!
เพียงแต่นี่ทำให้พวกเขายากจะเชื่อ
เพิ่งจะทะลวงระดับก็ควบรวมกฎเกณฑ์อมตะออกมาได้แล้วหรือ
ซ้ำยังสามารถต้านกฎเกณฑ์โกลาหลของระดับสวรรค์ขั้นเก้าได้อีกด้วย
ไกลออกไปฉีหลิงเจิ้นเลิกคิ้ว กล่าวด้วยตวามตกใจเช่นกันว่า “ศิษย์น้องควบรวมกฎเกณฑ์อมตะออกมาได้แล้วหรือ”
“ถือโอกาสตอนข้ามด่านเคราะห์หลอมรวมออกมาได้บ้างแล้ว” หลินสวินกล่าวง่ายๆ เห็นชัดว่าใจเย็นยิ่ง
“มิน่าถึงมั่นใจเต็มเปี่ยมขนาดนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ลองกระบี่นี้ดูอีกหน่อย!”
ดวงตาฉีหลิงเจิ้นหรี่ลง จากนั้นแขนเสื้อปลิวตลบ บนปลายนิ้วควบรวมปราณกระบี่สายหนึ่งออกมาอีกครั้ง ความกว้างเพียงสองนิ้วมือ ปราณกระบี่ดุจดั่งแหล่งกำเนิดโกลาหล ฟันออกไปฉับพลัน
ฟุ่บ!
ทุกคนล้วนรู้สึกว่าฟ้าดินเหมือนถูกฉีกทึ้ง สรรพสิ่งประหนึ่งจมสู่นรกโกลาหล เภทภัยวันสิ้นโลกต่างๆ นานาปะทุขึ้นทันที หอบม้วนอยู่ในโลก…
กระบี่เดียวเท่านั้น นัยเร้นลับที่เปี่ยมล้นของมันกลับน่าสะพรึงถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ
นี่คือยอดวิชาแท้จริงของฉีหลิงเจิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นการสำแดงอันสมบูรณ์ต่อกฎเกณฑ์อมตะของเขา
เพียงแต่ภาพที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อกระบี่นี้มาถึงตรงหน้าหลินสวินก็ถูกขวางเอาไว้ เกิดเสียงกึกก้องสะเทือนฟ้าดิน อานุภาพสะเทือนโลก แต่กลับไม่สามารถเข้าใกล้หลินสวินได้ในระยะสามฉื่อ
หลินสวินงอนิ้วดีดออกไปอีกครั้ง ปราณกระบี่แตกออกเสียงดัง
การลงมืออย่างสบายๆ นั่นทำเอาทั่วลานล้วนตกใจ ต่างสบตามองหน้ากันไปมา
ในการคาดเดาของพวกเขา หลินสวินอาจถูกกระบี่นี้สังหาร ไม่ก็ถูกกระบี่นี้ทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ไม่ก็ต้องหลบหลีกอย่างทุลักทุเล
อย่างเดียวที่คิดไม่ถึงก็คือ เขายังคงใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ดีดนิ้วทลายกระบี่!
จิตใจที่ตึงเครียดแต่เดิมของคนใหญ่คนโตอย่างพวกเสวียนเฟยหลิงล้วนค่อยๆ ทุเลาลง ต่างตระหนักได้รางๆ แล้ว รู้ว่าเมื่อครู่วิตกโดยใช่เหตุ แม้หลินสวินเพิ่งทะลวงระดับแจ้งมรรค แต่เขาก็ควบรวมกฎเกณฑ์อมตะที่เป็นของตนออกมาแล้ว!
นี่แม้จะน่าเหลือเชื่อยิ่ง แต่กลับเป็นเรื่องจริง
หาไม่มีหรือจะบดขยี้การโจมตีของฉีหลิงเจิ้นได้ง่ายดายปานนี้
สีหน้าของพวกฝูเหวินหลีล้วนผุดแววอึมครึม ความจริงเช่นนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขา
ฉีหลิงเจิ้นก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่ากระบี่ที่สองของตนจะถูกสลายง่ายๆ เช่นนี้
“ดูท่าคงดูเบาเจ้าไม่ได้จริงๆ ศิษย์น้อง!”
ในดวงตาเขาความกรุ่นโกรธพวยพุ่ง พลังขับเคลื่อนทั่วร่างพุ่งปะทุ ไม่ออมมืออีกต่อไป
ตูม!
เขาเหยียบห้วงอากาศทะยานขึ้นไป วงแหวนเทพอมตะด้านหลังเปล่งแสง กระแสหลากโกลาหลที่เดือดคลั่งนับไม่ถ้วนออกมาพวยพุ่งออกมา ล้วนรวมตัวอย่างบ้าคลั่งที่กลางฝ่ามือเขา
ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงพังถล่ม ดุจดั่งถูกดึงลากอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนฉีหลิงเจิ้นก็ซัดหมัดหนึ่งออกไปแล้ว
ประหนึ่งแหล่งกำเนิดแห่งโกลาหลในยุคแรกเริ่มระเบิดปะทุชัดๆ ฟ้าดินถล่มทลาย หยินหยางปั่นป่วน หนึ่งหมัดนี้มีความน่าสะพรึงยิ่งใหญ่เปี่ยมล้นอยู่ภายใน!
ทว่าห่างออกไปนัยน์ตาหลินสวินกลับวาบประกายเหยียดแคลนเสี้ยวหนึ่ง อีกทั้งยังมีความเย็นเยียบที่ไม่อาจข่มระงับ
เขาสะบัดแขนเสื้อคราเดียว
ตูม!
หนึ่งหมัดที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่น่าสะพรึงของฉีหลิงเจิ้นถูกซัดทลายอย่างง่ายดาย กลายเป็นละอองแสงกระจายแผ่ไม่สิ้น เกิดเสียงดังกระหึ่ม
ยามนั้นเหมือนมหันตภัยโกลาหลถูกลมกรรโชกอันบ้าคลั่งกลบมิด
ทั้งร่างฉีหลิงเจิ้นสั่นสะเทือนรุนแรง ราวเรือกำปั่นที่ถูกกระแสคลื่นโหมซัด เกือบถูกซัดสะเทือนจนถอยหลังไป
เขาหน้าเปลี่ยนสีในทันที
และทั่วลานก็อึกทึกครึกโครมอย่างที่สุด คนไม่รู้เท่าไหร่ปากอ้าตาค้าง สะท้านสะเทือนเพราะพลังอหังการที่หลินสวินสำแดงออกมา
ไม่ใครกล้าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่คนที่เพิ่งทะลวงระดับแจ้งมรรคคนหนึ่งจะมีได้!
ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตเหล่านั้น เวลานี้ก็ยังไม่อาจเยือกเย็นได้
ฉีหลิงเจิ้นแจ้งมรรคอมตะหลายปีแล้ว บรรลุขั้นสัมบูรณ์ของขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นต้นแล้ว ประสบการณ์การต่อสู้ล้นเหลือ รากฐานพลังก็เรียกได้ว่าน่าสะพรึง กฎเกณฑ์อมตะที่เขาครอบครองก็ยิ่งเรียกได้ว่าเป็นของชั้นยอด
เมื่อเทียบกับเขา หลินสวินที่เพิ่งก้าวสู่ระดับนี้ก็คือ ‘คนใหม่’ ในระดับอมตะคนหนึ่งชัดๆ
แต่ในศึกตัดสินครั้งนี้ ฉีหลิงเจิ้นดันสิ้นท่าซ้ำแล้วซ้ำอีก!
อย่าว่าแต่พวกฝูเหวินหลี ต่อให้เป็นพวกเสวียนเฟยหลิงก็คิดไม่ถึงโดยเด็ดขาด ว่าหลินสวินจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้
ในมหาเคราะห์ที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนั้น เขาได้รับประโยชน์ไปมากมายเท่าไหร่กันแน่
——