Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2747 แตกระเบิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2747 แตกระเบิด

ตอนที่ 2747 แตกระเบิด

ตูม!

ในสนามรบพิพาทสวรรค์ ศาสตรามรรคทั้งหลายและวิชาลับร่วงลงมา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเช่นหลินสวินก็ยังถูกล้อม

ไม่ทันไรสถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นถูกบุกขึ้นมาทันที

ผู้คนมองเห็นเพียงว่าพวกฉีหลิงเจิ้นพลานุภาพไพศาล เย้ยฟ้าท้าดิน สำแดงมรรคเข่นฆ่าเต็มกำลัง กลิ่นอายอมตะพวยพุ่ง แข็งกร้าวไร้ทัดเทียม

ส่วนหลินสวินจนถึงเวลานี้ยังคงมือเปล่า รับศัตรูสี่ทิศ ถึงขั้นไม่อาจฝ่าวงล้อมเป็นชั้นๆ นั่นได้ ทำได้เพียงเป็นฝ่ายรับ

“ทุท่านดูสิ หลินสวินเหมือนจะไม่ไหวแล้ว!”

ผู้ดูแลซวีเหวินคล้ายระงับความตื่นเต้นในใจไม่อยู่ ส่งเสียงร้องออกมา

นี่เรียกสายตาและการโจมตีที่ไม่สบอารมณ์มากมาย

“อะไรที่เรียกว่าไม่ไหว หลินสวินเพิ่งทะลวงระดับก็สามารถต้านการโจมตีของศิษย์ระดับอมตะสี่คนด้วยพลังแห่งตนทั้งหมดแล้ว ทอดสายตามองทั่วหล้า ใครทำได้บ้าง”

“ศึกนี้ถึงหลินสวินจะแพ้ ก็ฝากชื่อในประวัติศาสตร์ เป็นที่เชิดชูแก่คนรุ่นหลัง!”

“เสียแรงเจ้าซวีเหวินเป็นถึงผู้ดูแล แต่ดันสุขใจบนคราวเคราะห์ผู้อื่นเช่นนี้ น่าละอาย!”

ทันใดนั้นซวีเหวินถูกด่าทอจนใบหน้าชราเริ่มดำทะมึน ตั้งท่าแย้งแต่จนวาจา โมโหจนแทบระเบิด

เขาไม่สามารถโต้แย้งได้จริงๆ

หลินสวินหาใช่แค่เพิ่งทะลวงระดับ และหาใช่เพียงสู้หนึ่งต่อสี่ จนถึงตอนนี้เขายังคงสู้ศึกด้วยมือเปล่า!

เมื่อหันดูพวกฉีหลิงเจิ้น ใครบ้างไม่เรียกศาสตรามรรคอมตะที่ฟูมฟักหล่อหลอมนานหลายปีออกมา

“ช่างน่าขายหน้า!”

ตู๋กูยงในฐานะรองหัวหน้าหอหอแรกมายา เวลานี้ก็เหลือบมองซวีเหวินอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง ความเย็นชาในแววตาทำให้ฝ่ายหลังสั่นเทิ้มทั่วร่าง ตัวสั่นสะท้าน

และในเวลานี้

ฉัวะ!

กลางสนามรบกระบี่ของฉีหลิงเจิ้นแหวกทลายพลังป้องกันของหลินสวิน สาดพรมดอกไม้โลหิต ทำให้ทุกคนสะดุ้งโหยงในใจทันที

ตอนที่หลินสวินกำลังหลบหลีก แม้หลบพ้นจุดตาย แต่ยังคงถูกคมกระบี่ฟันใส่แขน หยาดโลหิตแดงฉานร่วงหล่น อาการบาดเจ็บไม่ได้ร้ายแรงมาก แต่ปราณกระบี่ท่วมท้นบรรจุเจตจำนงบริสุทธิ์เอาไว้ หมายจะบดทำลายร่างกายของเขา

“ทลาย!”

หลินสวินตะโกน แสงมรรคอมตะทั่วร่างเดือดพวยพุ่งดุจเตาหลอม สั่นสะเทือนรุนแรงคราหนึ่ง บดขยี้อานุภาพของกระบี่นี้จากภายใน

ตูมโครม!

ทวนสีเหลืองทองของจงหลีหรันพุ่งโจมตีมา ซัดใส่หลินสวิน ฟาดจนห้วงอากาศถล่มทลาย เสียงกระแทกดังเคร้งๆ ดังก้องเหมือนฟ้าระเบิด สะเทือนจนผู้คนหวาดกลัว

ปึง!

ขณะที่หอกศึกสีม่วงของกู้เซ่าอิ้นร่วงลงมา หลินสวินกลับโจมตี ฝ่ามือฟาดใส่ขอบหอกศึก เสียงเคร้งสะเทือนหู สะเก็ดไฟกระเด็นสี่ทิศ

ยังไม่รอให้ทั้งหมดนี้สิ้นสุด กระบี่มรรคของฉีหลิงเจิ้น ดาบศึกของฟู่เจาเซิงก็แทงเข้ามา กลิ่นอายอมตะคละคลุ้ง แสงมรรคพลุ่งพล่าน ปะทุคลั่งไร้ขอบเขต

พวกเขาร่วมมือกันอย่างเงียบๆ โจมตีสุดกำลัง ทำให้หลินสวินตกสู่สภาพอันตราย

ต่อสู้ดุเดือดกับคนจำนวนมากกว่า ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งยิ่งยวดในหมู่คนรุ่นหนุ่ม เป็นยอดอัจฉริยะอมตะที่อยู่แนวหน้าของหอแรกนภา ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นเหล่าบุคคลที่แกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ สถานการณ์ย่อมไม่สู้ดีอยู่แล้ว

ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งทะลวงระดับ!

ทั้งหมดนี้ล้วถูกทึกคนจับจ้องโดยละเอียด ล้วนรู้สึกกังวลแทนหลินสวินมากขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าหลินสวินที่อยู่กลางวงล้อมกลับสงบนิ่ง สีหน้าไม่ทุกข์ไม่สุข

การที่เพิ่งได้ครอบครองพลังระดับใหม่ทำให้เขารู้สึกติดๆ ขัดๆ อยู่บ้างจริงๆ หาไม่ตอนแรกสุดยามต่อสู้กับฉีหลิงเจิ้น คงไม่ยั้งมือไว้เช่นนั้น

แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ ในระหว่างข้ามด่านเคราะห์ ทั้งร่างเขาถูกทำลายไปไม่รู้กี่ครั้ง และได้รับการแปรสภาพและพัฒนาขึ้นด้วยเหตุนี้เช่นกัน

โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย เลือดพิสุทธิ์ต้นกำเนิดหยดหนึ่งดูดซับพลังระเบียบนิพพาน ใช้พลังชีวิตกลางมหาเคราะห์ก่อร่างมรรคขึ้นใหม่ ทำให้มรรควิถีทั่วร่างเขาได้รับพลังระเบียบนิพพานท่ามกลางการเคี่ยวกรำไม่หยุด หล่อหลอมกฎเกณฑ์อมตะออกมาได้แล้ว!

นี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถทำลายแสงเคราะห์สายนั้น ผ่าฟันส่วนสำคัญของเมฆาเคราะห์ทั่วฟ้าได้

เช่นเดียวกัน ไม่มีใครรู้ว่าพลังต่อสู้ที่เขาครอบครองในเวลานี้เย้ยฟ้าปานใด ดุจดั่งสิ่งต้องห้าม เหนือกว่าในอดีต

ต่อให้ยามสู้ศึกตัดสินกับระดับอมตะสี่คนในเวลานี้ ต่อให้ตกอยู่ในสภาพถูกบุก ทว่าหลินสวินกลับไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามมากเท่าใดนัก!

เหตุที่ถูกกดข่มถึงขั้นบาดเจ็บ ก็แค่เพราะเขายังควบคุมการโคจรของพลังอมตะไม่ได้ดั่งใจเท่านั้น

และตอนนี้เมื่อการต่อสู้ยืดยาวไปเรื่อยๆ การโคจรพลังแห่งตนของเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ!

“หืม?”

คนใหญ่คนโตบางส่วนสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าพลังต่อสู้และอานุภาพที่หลินสวินปลดปล่อยออกมา เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น ต่อให้ถูกกดข่มก็ไม่สามารถกำราบอานุภาพที่กร้าวแกร่งขึ้นนั้นได้

และคนที่รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณและชัดเจนที่สุดก็คือพวกฉีหลิงเจิ้น

ตั้งแต่ต่อสู้จนถึงตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน พวกเขาล้วนโคจรอานุภาพทั้งหมด สำแดงไพ่ตาย พยายามโจมตีสังหารหลินสวินหลายต่อหลายครั้ง

ทว่าทุกครั้งมักถูกหลินสวินสลายเคราะห์พ้นภัยอยู่ร่ำไป

ที่ยิ่งทำให้พวกเขาตกใจคือ หลินสวินที่อยู่ในการต่อสู้เหมือนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง อานุภาพต่อสู้ของเขาแทบจะเปลี่ยนแปลงไปในเวลานี้!

ตูม!

หลินสวินยังคงใช้มือเปล่าต่อสู้กับศัตรู

ซัดทวนศึกกระเด็น ตวัดหอกยาวออกไป เขาห้าวหาญไม่อาจต้าน ต้องการฝ่าวงล้อม นี่ทำให้สีหน้าพวกฉีหลิงเจิ้นคร่ำเคร่ง พลันโจมตีพร้อมกัน

ด้วยพลังของพวกเขาสี่คน หากวันนี้ฆ่าหลินสวินไม่ตาย เช่นนั้นก็ขายหน้าเกินไปแล้ว!

หลินสวินควบรวมประทับวิชา ท่วงท่าเปลี่ยนฉับพลัน อหังการเหนือหล้า โจมตีไปเบื้องหน้า

ยามนี้เขาเดือดคลั่ง วิชามรรคตัดสลับจนเกิดแสง พุ่งโจมตีออกไป อานุภาพน่าสะพรึงไร้เทียมทานม้วนตลบแผ่กว้าง เสมือนคลื่นพายุซัดกระทบฝั่ง

พริบตานั้นศาสตรามรรคที่กรูเข้ามาจากสี่ทิศแปดทางล้วนถูกซัดถอยออกไป

ภายใต้เสียงร้องตกใจ การล้อมโจมตีของพวกฉีหลิงเจิ้นถูกทลายออกฉับพลัน!

หลินสวินพุ่งออกจากวงล้อม ดุจดั่งมังกรคืนสมุทร แสงมรรคอมตะทั่วร่างพวยพุ่ง สะท้านสะเทือนทั่วลาน

“ทลายวงล้อมได้แล้ว!”

เสียงฮือฮาระลอกหนึ่งดังขึ้นนอกสนาม แทรกปนกับเสียงสูดหายใจสะท้าน ไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือบรรรดาผู้สืบทอด ไม่มีใครไม่ตกใจกับภาพนี้

นี่หลินสวินจะพลิกสถานการณ์หรือ

“ฆ่า!”

พวกฉีหลิงเจิ้นสีหน้าไม่น่าดูยิ่ง แต่ละคนโจมตีราวกับสู้สุดชีวิต ทุ่มเต็มกำลัง

“ตอนนี้ควรถึงตาข้าบุกโจมตีบ้างแล้ว”

ยามนี้เองหลินสวินก็เหมือนศาสตราเทพแห่งยุคที่หลอมตีมาพันหมื่นครั้ง พลันส่งเสียงคำรามยาวสายหนึ่งแล้วกระโจนตัวไปข้างหน้า

เขาฟันฝ่ามือออกเป็นปราณกระบี่สายหนึ่ง แรกสุดดูคลุมเครือเลือนรางราวยามแรกกำเนิด ทว่ายามฟันออกไปแสงเทพกลับลุกโชติช่วง ส่องสว่างทั่วหล้า

เคร้ง!

หอกศึกสีม่วงในมือกู้เซ่าอิ้นถูกฟันขาดสะบั้น สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ถูกทำลาย

แสงกระบี่วาบกะพริบ ถึงขั้นเกือบฟันแขนของกู้เซ่าอิ้นขาด เขารีบถอยร่นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยแววปวดใจยากจะทนรับ

ศาสตรามรรคอมตะของเขาพินาศแล้ว ถูกคนฟันขาดด้วยกระบี่เดียว นี่ถึงขั้นทำให้เขาไม่สามารถรับได้!

หลินสวินยังคงใช้มือเปล่าต่อสู้ สิ่งที่ฟันออกมาก็เป็นเพียงปราณกระบี่ แต่กลับทำลายสมบัติล้ำของเขาย่อยยับ นี่น่าสะพรึงขนาดไหนกัน

ทุกคนนอกสนามล้วนมองจนจิตใจสั่นไหว นัยน์ตาหดรัด

หลินสวินในเวลานี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั่วร่างทั้งบนล่างเต็มไปด้วยความอหังการเหนือโลกหล้า มีอานุภาพดั่งข้าไร้ศัตรู

แข็งแกร่งจนผู้คนใจสะท้าน!

ตูม โครม!

สถานการณ์การต่อสู้ในสนามรบยิ่งดุเดือนขึ้นเรื่อยๆ

เพียงแต่สภาพการณ์กลับแตกต่างไป หลินสวินเป็นฝ่ายรุกโจมตี ทุกครั้งที่พวกฉีหลิงเจิ้นล้อมโจมตีเข้ามา ก็จะถูกพลังมหาศาลที่ประหนึ่งครอบจักรวาลไร้ศัตรูซัดถอยร่นไป

ไม่สามารถกดข่มเขาเหมือนก่อนหน้านี้ได้อีก!

นี่ทำให้พวกฉีหลิงเจิ้นทั้งตกใจทั้งเดือดดาล สีหน้าเขียวคล้ำ

หนึ่งต่อสี่ เขายังสามารถพลิกสถานการณ์ได้อีก!?

เคร้ง!

ไม่นานตอนที่ดาบศึกของฟู่เจาเซิงฟันเข้ามา ก็ถูกหนึ่งหมัดของหลินสวินกระแทกใส่กลางตัวดาบจนหักเป็นสองท่อน!

พลังน่าสะพรึงที่อันแน่นในหมัดนั้นซัดจนฟู่เจาเซิงปากจมูกกบเลือด ทั้งตัวล้วนลอยคว่ำออกไป ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

เขาสีหน้าหวาดกลัว ดวงตาเบิกกว้าง ไม่อาจทำใจเชื่อ

หลินสวินในยามนี้สำแดงอานุภาพประหนึ่งไร้ศัตรูออกมาจริงๆ กระตุ้นวงแหวนเทพอมตะ เคลื่อนขวางโจมตี ซัดจนคนพวกนี้หน้าเปลี่ยนสี ตกเป็นฝ่ายถูกบุก

“นี่ก็แข็งแกร่งเกินไปแล้วกระมัง”

นอกสนามคนมากมายตะลึงงัน ถูกทำให้สะท้านสะเทือนอย่างที่สุด

ใครจะกล้าเชื่อว่าในสภาพการณ์หนึ่งต่อสี่ หลินสวินที่สู้มือเปล่ายังสามารถพลิกสถานการณ์ เริ่มโจมตีกลับได้

น่าเหลือเชื่อเกินไป!

“เขาขัดเกลาพลังใหม่ระหว่างการต่อสู้ และตอนนี้เชี่ยวชาญการใช้อานุภาพของระดับอมตะแล้ว เพียงแต่… พลังที่เขาครอบครองออกจะเย้ยฟ้าเกินไปหน่อยแล้ว…”

ตู๋กูยงยังอึ้งไป รู้สึกสะท้านสะเทือนไม่อาจจินตนาการ

“บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเฝ้ารอมาหมื่นกาล มรรคาอมตะระดับนี้ไม่มีทางเป็นสิ่งที่คนระดับเดียวกันสามารถเทียบได้อย่างแน่นอน”

เสวียนเฟยหลิงถอนหายใจเบาๆ

ในที่สุดเขาก็เข้าใจเสียทีว่าหลินสวินเอาความมั่นใจมาจากไหน มีพลังแห่งมรรคาอมตะที่เรียกได้ว่าประหนึ่งยอดอมตะเช่นนี้ แล้วไยต้องเกรงกลัวศัตรูในระดับเดียวกันอีก

คนใหญ่คนโตอย่างพวกฟางเต้าผิง ฉินอู๋อวี้สีหน้าก็เจือแววตกใจเช่นกัน

พวกเขานึกถึงตอนที่ตนเพิ่งทะลวงระดับอมตะ เมื่อเทียบกับหลินสวินก็เห็นได้ชัดว่าไม่น่าดูอย่างสิ้นเชิง

และสีหน้าของพวกฝูเหวินหลีก็เริ่มเขียวคล้ำขึ้นมารำไร

การตอบโต้กลับของหลินสวิน จะให้พวกเขายอมรับได้อย่างไร

เดิมทียังวาดหวังว่าภายใต้สถานการณ์หนึ่งต่อสี่จะสามารถสังหารหลินสวินได้ แต่ดูจากตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเปลี่ยนเป็นไม่แน่นอนถึงเพียงนั้นแล้ว

กลางสนามรบ

ฉัวะ!

เลือดแดงสดพุ่งออกจากไหล่ของฉีหลิงเจิ้น เขาเกือบถูกปราณกระบี่สายหนึ่งของหลินสวินฟันตายทั้งเป็น

เมื่อเห็นว่าหลินสวินจะโจมตีอีกครา ฉีหลิงเจิ้นพลันสำแดงอภินิหารพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา ดุจดั่งทุ่มหมดหน้าตัก…

จักระเทพโกลาหล!

กฎเกณฑ์โกลาหลที่เบียดแน่นตัดสลับ แปลงเป็นจักระเทพที่กลมมนเหมือนแท่นโม่ ภายในปรากฏสัญลักษณ์มหามรรคนับไม่ถ้วน พลิกตลบพลุ่งพล่าน มีเทพมารจมจ่อมอยู่รางๆ ปรากฏลักษณ์โกลาหลที่ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลาย

ทั่วทั้งสนามรบพิพาทสวรรค์ล้วนสั่นโคลงรุนแรง เผยพลังผนึกเข้าสลายระลอกคลื่นของพลังน่าสะพรึงนั่น

“ไป!”

ฉีหลิงเจิ้นคำรามลั่น พลังทั่วร่างเขาราวถูกสูบเกลี้ยง ทั้งหมดล้วนรวมตัวอยู่กลางจักระเทพโกลาหลนี้ ทำให้พลังโจมตีนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างที่ชวนให้ผู้คนสิ้นหวัง

ทุกคนนอกสนามลมหายใจติดขัด ถูกการโจมตีที่สะเทือนโลกเช่นนี้ทำให้ตกใจ

มองเห็นภาพนี้ ร่างของหลินสวินแปลงเป็นเตาหลอมเข้ากำราบโดยไม่ลังเล

ตูม!

จักระเทพโกลาหลและเตาหลอมชนกระแทก ในสนามรบพิพาทสวรรค์สั่นโคลงไปทั้งแถบ กระแสมหามรรคอึงอลปั่นป่วนดุจดั่งเขื่อนกั้นอุทกภัย แสงมรรคน่าสะพรึงพวยพุ่ง สว่างจ้าจนผู้คนลืมตาไม่ขึ้น

ภาพเหตุการณ์ระดับนั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตที่ผู้สืบทอดส่วนใหญ่จะสามารถทำความเข้าใจได้

ส่วนในสายตาของคนใหญ่คนโตทั้งหมด ต่างมองเห็นภาพที่ยากจะลืมไปชั่วชีวิต…

เงาร่างที่ประหนึ่งเตาหลอมกลียุคของหลินสวิน ใช้อานุภาพประหนึ่งไม่มีสิ่งใดที่ทำลายไม่ได้เข้ากดข่มจักระเทพโกลาหลนั่นทั้งอย่างนั้น บดขยี้ทุกกระเบียดจนทรุดทลายกลางห้วงอากาศ!

ละอองแสงที่พุ่งกระเซ็น เสียงครวญก้องระงม ทำให้ฟ้าดินแถบนั้นปั่นป่วน

และภายใต้การโจมตีหนักหน่วงระดับนี้ ร่างของฉีหลิงเจิ้นระเบิดออก ฝนเลือดสาดพรม พลังจิตของเขาเผ่นหนีออกมา ส่งเสียงร้องลั่นอย่างตกใจ “ช่วยข้าด้วย!”

อันที่จริงไม่จำเป็นต้องให้เขาร้องเรียก พวกจงหลีหรันสามคนก็ตระหนักถึงความไม่เข้าทีแต่แรกแล้ว กระโจนเข้ามาในทันใด

ทว่าหลินสวินมีหรือจะให้โอกาสอีกฝ่าย เงาร่างพุ่งทะยาน คว้าพลังจิตที่เดิมจะเผ่นหนีของฉีหลิงเจิ้นเอาไว้ทันที กำแน่นกลางฝ่ามือ

…………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท