Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2761 ทำให้เป็นเรื่องใหญ่

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2761 ทำให้เป็นเรื่องใหญ่

ตอนที่ 2761 ทำให้เป็นเรื่องใหญ่

ใต้เวิ้งฟ้า

หลินสวินยังสงสัยอยู่ในใจ ขั้นหลุดพ้นเหมือนอย่างจอมมุนีชื่อเย่จะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

“ลาหัวโล้นเฒ่านี่ถึงกับหนีไปทั้งอย่างนี้จริงๆ หรือ”

เสวี่ยหยาก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน

“หากเขาไม่หนี แท่นบัวสามสิบหกชั้นที่ใช้เวลาควบรวมเป็นแสนปีจะเสียหายรุนแรง นี่เป็นรากฐานแจ้งมรรคนิรันดร์ของเขา บางทีอาจซ่อมแซมได้ แต่กลับต้องเสียโอกาสแจ้งมรรคนิรันดร์เพราะเหตุนี้ เพื่อเลือกทางที่เสียหายน้อยกว่า เขามีแต่ต้องหนีเท่านั้น”

ขณะสนทนา รูปจำลองเจตจำนงหักพังที่อยู่ไกลออกไปของเหยียนจี้เคลื่อนย้ายเข้ามา

ประโยคเดียวทำเอาพวกหลินสวินล้วนกระจ่าง

“รีบออกจากที่นี่เร็ว”

ยังไม่ทันสิ้นประโยคนี้ รูปจำลองเจตจำนงที่เดิมเสียหายร้ายแรงของเหยียนจี้ก็อันตรธานหายไป

“ไป”

ผู่เจินพาหลินสวินและเสวี่ยหยาหายตัวไปในอากาศ

เพียงครู่เดียวสั้นๆ จิตรับรู้น่าสะพรึงเป็นสายๆ หอบม้วนเข้ามาทางเมืองจันทร์เหมันต์

การต่อสู้ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะเกิดในโลกธรรมแสงทอง แต่เมื่อพลังระดับนี้ปรากฏก็ยังน่าตกใจเกินไปอยู่ดี คนทั่วไปสัมผัสไม่ได้ แต่กลับทำให้เฒ่าดึกดำบรรพ์ไม่น้อยที่กบดานอยู่ในเขตแดนใจกลางแห่งนี้แตกตื่น

ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นน่านฟ้าที่เจ็ด เผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายกระจายตัวอยู่ เฒ่าชราที่เหยียบย่างระดับอมตะก็มีไม่ใช่น้อยๆ

แต่หลังจากจิตรับรู้เหล่านี้แผ่เข้ามาสำรวจกลับไม่พบอะไร

ไม่ว่าจะเป็นจอมมุนีชื่อเย่ หรือพวกหลินสวินก็ออกจากฟ้าดินแถบนี้นานแล้ว

สามวันให้หลัง

ส่วนลึกของภูเขาสูงใหญ่ที่แทบไม่เห็นร่องรอยผู้คนแถบหนึ่ง

“ศิษย์น้อง ข้าและเสวี่ยหยาล่วงหน้าไปก่อน”

ผู่เจินยิ้มซื่อๆ

สามวัน อาการบาดเจ็บบนตัวเขาและเสวี่ยหยาฟื้นฟูได้ไม่ถึงสามส่วน นี่ทำให้หลินสวินค่อนข้างเป็นกังวล “ศิษย์พี่ทั้งสองพักฟื้นอีกสักระยะดีหรือไม่ ตอนนี้พวกท่าน…”

“เวลากระชั้นชิด จะชักช้าไม่ได้ พวกศิษย์พี่สามล้วนยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในแดนยอดจักรวาล”

เสวี่ยหยายิ้มสดใส “ยิ่งกว่านั้น อาการบาดเจ็บพวกนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง เจ้าวางใจเถอะ”

“ก็ได้ ภายหน้าหากศิษย์พี่พบปัญหาวุ่นวายต้องรีบบอกข้าในทันที หลายปีนี้ข้าอยู่ที่ลัทธิแรกกำเนิดตลอด”

หลินสวินกล่าวอย่างจริงจัง

“ได้”

ผู่เจินและเสวี่ยหยาพยักหน้าพร้อมเพรียงกัน

หลังผ่านการต่อสู้สามวันก่อน ทำให้พวกเขาล้วนตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าศิษย์น้องเล็กที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ไม่ใช่อินทรีน้อยที่ต้องให้พวกเขาปกป้องในปีนั้นนานแล้ว

พลังที่เขามีถึงขั้นสามารถช่วยพลิกกระแสน้ำโหมซัดให้คนเป็นศิษย์พี่อย่างพวกเขาได้!

หลินสวินยิ้มทันที

ท่าทีของศิษย์พี่ทั้งสอง เป็นการยอมรับต่อมรรควิถีในตอนนี้ของเขามากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

และตอนนี้ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือศิษย์พี่ร่วมสำนักได้ ทำให้ในใจหลินสวินเบิกบานไม่หยุดเช่นกัน

วันนั้นผู่เจินและเสวี่ยหยาจากไปพร้อมกัน

ส่วนหลินสวินก็เดินทางกลับลัทธิแรกกำเนิดเพียงลำพัง

เขาออกเดินทางครั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็เพื่อแก้แค้นให้ศิษย์พี่เย่ฉุนจวิน

แต่กลับนึกไม่ถึงว่าตลอดทางนี้จะผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนี้

แต่ก็ถือว่าได้ผลเก็บเกี่ยวมากทีเดียว หลังสังหารสี่มารภูตผีพรายสางแห่งแดนเร้นนภา ทำให้มรรควิถีของเขามีโอกาสทะลวงขั้น ก้าวสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลางในคราวเดียว

และเมื่อกลับมาที่เรือนเมฆปรก ก็พบกับสองศิษย์พี่อย่างผู่เจินและเสวี่ยหยา ทั้งยังร่วมต่อสู้เคียงข้างพวกเขา สังหารสี่จอมธรรมอย่างหงเคอ หงจิ่ง หงอี้และหงหย่วน ทำให้จอมมุนีชื่อเย่นั่นยังหมดสภาพจนเผ่นหนี!

นี่เป็นแรงโจมตีต่อหอบรรพจารย์ลัทธิฌานอย่างหนึ่งแน่นอน

ถึงอย่างไรจอมธรรมก็เทียบเท่ากับตำแหน่งผู้อาวุโสสามหอของลัทธิแรกกำเนิด ล้วนมีมรรควิถีขั้นดับเทพ ต้องสูญเสียไปสี่คนในคราวเดียว แรงสะเทือนต่อลัทธิฌานมีหรือจะน้อย

ขณะเดียวกันการต่อสู้นี้ก็ทำให้หลินสวินได้สัมผัสความน่าสะพรึงของขั้นหลุดพ้น พลังที่ครอบครองบรรลุถึงขั้นน่าเหลือเชื่อไปแล้ว

ครั้งนี้หากไม่เพราะมีรูปจำลองเจตจำนงของหัวหน้าหอเหยียนจี้อยู่ ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจคาดคิดอย่างแน่นอน

ขั้นหลุดพ้นห่างไกลเกินไป สำหรับหลินสวิน พลังต่อสู้ขั้นดับเทพกลับมีโอกาสเร่งไล่ล่าและทะลวงผ่านได้

ในการฝึกปราณช่วงสามวันนี้ เขาได้รู้จากปากศิษย์พี่ทั้งสองแล้ว

สี่จอมธรรมนั่นล้วนแจ้งมรรคนานแล้ว หงเคอที่แข็งแกร่งที่สุดมีมรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ หงหย่วนที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังปราณขั้นดับเทพขั้นกลาง

พวกเขาแต่ละคนล้วนอยู่ในขั้นดับเทพหลายปี ไม่ใช่คนที่ระดับเดียวกันทั่วไปจะเทียบชั้นได้

นี่ทำให้หลินสวินไม่ได้สิ้นหวังขนาดนั้นในที่สุด

เดิมเขายังคิดว่าความแตกต่างระหว่างขั้นอายุขัยเทียมฟ้าและขั้นดับเทพจะมากขนาดนี้ได้อย่างไร

ตอนนี้จึงเข้าใจว่าสี่จอมธรรมนี้ล้วนเป็นคนระดับปลายยอดในบรรดาเฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นดับเทพ ด้วยมรรควิถีในปัจจุบันของเขาย่อมต่อต้านได้ยากยิ่ง

ส่วนศิษย์พี่ทั้งสองอย่างผู่เจินและเสวี่ยหยาล้วนมีมรรควิถีขั้นดับเทพขั้นปลายและขั้นกลางตามลำดับ

จากที่เสวี่ยหยาว่ามา หากอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ด้วยความสามารถของศิษย์พี่ผู่เจิน ภายในสามหมัดต้องสามารถสังหารหงเคอที่อยู่ขั้นดับเทพสัมบูรณ์ได้แน่นอน!

จากจุดนี้จะเห็นว่ารากฐานพลังของศิษย์พี่ผู่เจินน่าสะพรึงเพียงใด

แน่นอนว่าศิษย์พี่เสวี่ยหยาก็ไม่อ่อนด้อย แม้ว่าเขาจะถ่อมตนมาก แต่ในวาจาก็เผยความเชื่อมั่นและมั่นใจว่าสามารถโจมตีผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกันได้

ว่ากันถึงที่สุด ครั้งนี้ที่พวกเขาถูกไล่ล่าสังหารจนหมดสภาพเช่นนั้น ประเด็นหลักอยู่ที่ในบรรดาศัตรูมีจอมมุนีชื่อเย่อยู่ด้วย

หาไม่แค่พลังของสี่จอมธรรมนั่นล้วนไม่พอให้เหลือบแล

แดนแรกเริ่ม บริเวณใกล้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ

ในเรือนแห่งหนึ่ง จินจงเยวี่ยกำลังจิบชา ท่าทางผ่อนคลาย

หนึ่งเดือนก่อนหลินสวินออกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ เขาก็ส่งข่าวให้ผู้อาวุโสหอแรกนภาเฉาเป่ยโต้วทันที

จากนั้นเฉาเป่ยโต้วก็ส่งข่าวต่อไปให้รองหัวหน้าหอฝูเหวินหลี

และก็เป็นวันนั้นที่จินจงเยวี่ยได้รับคำชมจากเฉาเป่ยโต้ว และรับรองว่าขอเพียงครั้งนี้หลินสวินไม่สามารถย้อนกลับมายังลัทธิแรกกำเนิดได้อีก ก็จะใช้พลังทั้งหมดช่วยเขากลับสู่ตำแหน่งรองผู้ดูแลดังเดิม

ถึงอย่างไรหากหลินสวินตายไป ตำแหน่งรองผู้ดูแลหอแรกนภาเท่ากับขาดไปหนึ่งคน ไม่ต้องแย่งชิงก็สามารถเข้าแทนที่ได้!

นี่ย่อมทำให้จินจงเยวี่ยฮึกเหิมและตั้งตาคอยยิ่ง

โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่เห็นหลินสวินกลับมาเสียที ภายในใจจินจงเยวี่ยยิ่งเบิกบานขึ้นเรื่อยๆ ในหัวมักผุดภาพนองเลือดที่หลินสวินถูกดาบมากมายฟันตาย

เป็นผลให้ในเวลานี้เขาที่ตกต่ำเป็นคนเฝ้าประตู ความเดือดดาลและอดสูภายในใจล้วนจางหายไปไม่น้อย

วู้ม!

ทันใดนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณเกิดคลื่นระลอกหนึ่ง

จินจงเยวี่ยไม่ต้องเดาก็รู้ทันทีว่ามีคนที่ออกไปนอกสำนักกลับมาแล้ว

เพียงแต่ยามเขายกถ้วยชาขึ้นละเลียดช้าๆ ดวงตาพลันเบิกถลนออกมาทันที

พรูด!

ครู่ต่อมาเขาพ่นน้ำในปากออกมาทั้งหมด ถ้วยชาในมือยังเกือบถือไม่มั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยแววไม่อยากเชื่อ

ในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมีเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินออกมา จินจงเยวี่ยคุ้นเคยยิ่งแล้ว ระยะนี้แม้แต่ในฝันเขายังฝันเห็นภาพที่อีกฝ่ายถูกสังหาร

แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายถึงกับรอดชีวิตกลับมา!

ทันใดนั้นดุจดั่งความฝันในใจมอดดับลง ทำให้จินจงเยวี่ยรู้สึกสิ้นหวังและไม่ยินยอมอย่างที่สุด เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?!

ขณะที่เขาสีหน้าวูบไหวไปมา หลินสวินที่อยู่ไกลออกไปเดินเข้ามาแล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “จินจงเยวี่ย เจ้ารู้ความผิดหรือไม่”

ท่าทางซักไซ้ที่เหยียดหยันของหลินสวินทำให้ภายในใจจินจงเยวี่ยอึดอัดสุดขีด เขาหยัดตัวลุกจากเก้าอี้ กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ขอบังอาจถามรองผู้ดูแลหลินว่าข้ามีความผิดอันใด”

“ข้าออกไปข้างนอกครั้งนี้พบเจอกับการลอบสังหารจากแดนเร้นนภา สงสัยอย่างยิ่งว่าในสำนักจะมีคนทรยศเปิดเผยข้อมูลของข้า”

นัยน์ตาดำหลินสวินลุ่มลึก จ้องมองจินจงเยวี่ย “และเจ้าน่าสงสัยที่สุด!”

คำพูดเย็นเยียบ อานุภาพชวนสยอง

ชั่วอึดใจนี้คนหน้าเก่าขั้นอายุขัยเทียมฟ้าอย่างจินจงเยวี่ยรู้สึกถึงแรงกดดันที่ปะทะเข้ามา ถึงกับมีความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกรางๆ

ร่างกายเขาแข็งทื่อ ในใจดุจธารพลิกสมุทรคว่ำ มรรควิถีของเจ้าหมอนี่เหมือนจะทะลวงระดับแล้ว!?

นี่เป็นไปได้อย่างไร

แม้ในใจจะหวาดผวา แต่ปากเขากลับกล่าวเสียงกร้าว “รองผู้ดูแลหลิน เจ้าอย่าใส่ความกันลอยๆ ไม่มีหลักฐาน เจ้าก็แค่ใส่ความและทำให้เสื่อมเสีย!”

เขามั่นใจเต็มเปี่ยม

กลับเห็นหลินสวินยิ้มกล่าวเรียบๆ “เจ้าได้ยินไม่ชัดหรือ ข้าบอกว่ามีแต่เจ้าที่น่าสงสัยที่สุด ส่วนเจ้าจะเป็นคนทรยศหรือไม่ มอบให้ผู้ดูแลเถาเหลิ่งมาสอบสวนด้วยตัวเองก็รู้แล้ว เช่นนี้ก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้าได้”

รอยยิ้มนั้นเมื่อเข้าสู่สายตาจินจงเยวี่ย กลับทำให้ในใจเขาหนักอึ้ง

หลินสวินไม่มีหลักฐานพิสูจน์เรื่องทั้งหมดนี้จริงๆ แต่หลินสวินกลับสามารถสงสัยเขา สอบสวนเขาในฐานะรองผู้ดูแลได้!

“อาศัยอะไรถึงใช้คำพูดแค่ไม่กี่คำของเจ้าก็สามารถสงสัยว่าข้าเป็นคนทรยศได้ ข้าสงสัยนักว่าเจ้ากำลังใช้ประโยชน์จากตำแหน่งตัวเองมาแก้แค้นข้าเช่นกัน!”

กล่าวพลางจินจงเยวี่ยก็เบือนหน้าจากไป “ข้าจะไปพบผู้อาวุโสเฉาเป่ยโต้ว!”

แต่เขาเพิ่งก้าวเท้าก็ถูกหลินสวินคว้าคอหมับ แล้วลากมาอยู่ข้างๆ “รอหลังจากสอบสวนเจ้าเสร็จ เจ้าก็สามารถไปแหกปากร้องว่าไม่เป็นธรรมกับผู้อาวุโสเฉาเป่ยโต้วได้แล้ว ตอนนี้เจ้ามากับข้าก่อน”

“แก้แค้น นี่เจ้าจงใจแก้แค้น…!”

จินจงเยวี่ยตะโกนลั่น พยายามสร้างความเคลื่อนไหว ดึงดูดคนอื่นๆ ในสำนักมาขัดขวางเรื่องทั้งหมดนี้

กลับเห็นหลินสวินกล่าวยิ้มๆ “บริเวณนี้ล้วนถูกข้าใช้พลังผนึกไว้หมดแล้ว ต่อให้เจ้าร้องจนคอแตกก็ไม่มีประโยชน์ ตามข้าไปแต่โดยดีดีกว่า อีกอย่างหากเจ้าไม่ใช่คนทรยศ ไยต้องตระหนกลนลานและหวาดกลัวด้วยเล่า ในแดนแรกเริ่มของพวกเรา ข้าไม่อาจเอาชีวิตเจ้าได้ นั่นเป็นความผิดร้ายแรง”

กล่าวพลางยัดจินจงเยวี่ยเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งโดยไม่ฟังคำทัดทาน

ภาพนี้ถูกผู้สืบทอดบางส่วนในพื้นที่ใกล้เคียงเห็นเข้าล้วนอดแปลกใจไม่ได้ เพียงแต่ยามที่พวกเขาตอบสนอง เงาร่างของหลินสวินก็อันตรธานหายไปนานแล้ว

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้ผู้สืบทอดเหล่านี้ตระหนักได้ว่า วันนี้เกรงว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

“เร็ว รีบส่งข่าวออกไปว่ารองผู้ดูแลหลินสวินกลับมาแล้ว!”

“เขาจับตัวจินจงเยวี่ย พาไปหอแรกนภา!”

“ไม่เจอหนึ่งเดือน มาดรองผู้ดูแลหลินยังเหมือนเดิม…”

…ข่าวต่างๆ เริ่มแพร่กระจายไปยังสถานที่ต่างๆ ของแดนแรกเริ่มอย่างว่องไว

หอแรกนภา

โถงใหญ่อาญา

“เจ้าสงสัยว่าเจ้าหมอนี่คือคนทรยศหรือ”

หลังรู้จุดประสงค์การมาของหลินสวิน สีหน้าเถาเหลิ่งอดแปลกไปไม่ได้

หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ “หากผู้ดูแลเถาคิดว่าข้าจงใจโจมตีเพื่อแก้แค้นจินจงเยวี่ย เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว ข้ากล้ารับรองว่าเขาน่าสงสัยที่สุด ยังขอให้ผู้ดูแลเถาโปรดสอบสวนด้วยตัวเอง”

เถาเหลิ่งกล่าวอย่างใคร่ครวญ “หากเจ้าไม่มีหลักฐาน เป็นไปได้สูงว่าเรื่องนี้จะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ และจะส่งผลกระทบไม่ดีบางอย่างต่อตัวเจ้าด้วย ถึงอย่างไรในสำนักใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าเจ้าและจินจงเยวี่ยมีแค้นบาดหมางกัน ทำเช่นนี้ยากจะรับรองว่าผู้คนจะไม่คาดเดาไปว่าเจ้าตั้งใจโจมตีอีกฝ่าย”

“ปล่อยไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือทำให้เป็นเรื่องใหญ่ หาไม่หากภายหน้าข้าออกเดินทางไปข้างนอกอีก มีหรือจะไม่ถูกคนเปิดเผยที่อยู่ล่วงหน้าทุกครั้ง”

หลินสวินกล่าว

“ทำให้เป็นเรื่องใหญ่หรือ” เถาเหลิ่งคล้ายขบคิดทำท่าครุ่นคิด

“ใช่แล้ว ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ในมือข้ามีของบางอย่าง เชื่อว่าหลังจากทุกคนทั้งบนล่างในสำนักเห็นแล้ว ต้องไม่มีทางคิดว่าข้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แน่”

หลินสวินกล่าวเสียงเบา

………………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท