Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2763 งานใหญ่ใกล้มาเยือน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2763 งานใหญ่ใกล้มาเยือน

ตอนที่ 2763 งานใหญ่ใกล้มาเยือน

เฉาเป่ยโต้วอัดอั้นจนเกือบกระอักเลือดช้ำในออกมา เหมือนถูกคนซัดด้วยกระบองหนักหน่วง

เขาเพิ่งกล่าวว่าจินจงเยวี่ยไม่มีคุณสมบัติมากพอจะบงการแดนเร้นนภาได้ หลินสวินก็ฉวยโอกาสบอกว่าเบื้องหลังจินจงเยวี่ยมีผู้บงการอื่นอีก ความรู้สึกที่มอบให้ก็เหมือนหลินสวินกำลังโยนอิฐล่อหยก[1] ไม่มีผิด…

เขามองฝูเหวินหลีปราดหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ฝ่ายหลังหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้ว่าสีหน้าจะสงบนิ่ง แต่ภายใต้ความสงบนั้นกลับแฝงพลังที่ทำให้คนใจสะท้าน

บรรยากาศในโถงใหญ่เงียบงันยิ่ง

อันที่จริงในใจคนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนรู้ดีว่าจินจงเยวี่ยเป็นเพียงหมากตัวเล็กๆ แต่นึกไม่ถึงว่าหลินสวินหมายจะใช้ตัวหมากเล็กๆ ในสายตาพวกเขามาลากพวกตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง!

“เรื่องนี้หอแรกนภาของพวกเราย่อมจะตรวจสอบให้ชัดเจนเอง”

บรรยากาศเงียบกริบถูกเสียงของฝูเหวินหลีทำลายลง ประโยคเดียวทำให้คนเดาไม่ออกว่าในใจเขาคิดอย่างไร

เสวียนเฟยหลิงก็พยักหน้ากล่าวเช่นกัน “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ให้รองหัวหน้าหอฝูเป็นผู้รับผิดชอบ ต้องให้คำชี้แจงที่น่าพอใจแก่สำนักและหลินสวิน”

หลินสวินเพิ่งหมายจะพูดอะไร ข้างหูก็มีเสียงสื่อจิตของเสวียนเฟยหลิงดังขึ้น ‘หยุดแต่เพียงเท่านี้ก็พอ หากหาเรื่องต่อไปกลับจะกระตุ้นให้คนบางส่วนเจ็บแค้นเจ้ายิ่งกว่าเดิม’

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ

เขาก็รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นก็ยังอดจนปัญญาน้อยๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้

ในวันนั้นเรื่องที่เกิดในโถงใหญ่อาญาหอแรกนภาก็แพร่กระจายไปทั่วลัทธิแรกกำเนิดทั้งบนล่าง เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วน

“ความขัดแย้งระหว่างหลินสวินและศัตรูคู่แค้นเหล่านั้นนับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…”

คนมากมายล้วนตระหนักได้ว่ามือสังหารแดนเร้นนภาเป็นเพียงเรื่องเล็ก ว่ากันถึงที่สุดยังคงเป็นเพราะหลินสวินผงาดเร็วเกินไป ทำให้คนใหญ่คนโตที่มองเขาเป็นศัตรูเหล่านั้นรู้สึกถึงภัยคุกคามแล้ว

เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครโง่งมจนพูดออกมา

แม้แต่คนใหญ่คนโตเหล่านั้นก็เป็นเช่นนี้ รู้อยู่เต็มอกแต่กลับไม่อาจเผยแพร่

“แม้แต่สี่มารยังฆ่าหลินสวินไม่ตาย รากฐานพลังของเขาน่ากลัวเพียงใดกันแน่”

“เพราะเป็นเช่นนี้จึงทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นรู้สึกเกรงกลัว”

“ต่อไปข้อพิพาทและความขัดแย้งเช่นนี้เกรงว่าจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าหลินสวินจะสามารถแคล้วคลาดปลอดภัยอย่างครั้งนี้ได้ตลอดหรือไม่”

“จินจงเยวี่ยคนนี้ดวงซวยชะมัด ครั้งนี้เกรงว่าต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยแล้ว”

ขณะที่ทั่วบนล่างลัทธิแรกกำเนิดต่างวิพากษ์วิจารณ์คลื่นลมครั้งนี้ หลินสวินก็กลับถ้ำสถิตแดนมงคลของตน

เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวันสั้นๆ

เถาเหลิ่งก็มุ่งหน้ามาเยือนพร้อมนำข่าวดีมาด้วย

“จินจงเยวี่ยจบสิ้นแล้ว”

เมื่อเห็นหลินสวิน เถาเหลิ่งกล่าวเสียงต่ำ “วันนี้รองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีมีคำสั่งลงมา โดยให้ผู้อาวุโสเฉาเป่ยโต้วประกาศด้วยตัวเองว่าเมื่อคืนวานจินจงเยวี่ยรู้ตัวว่าความผิดร้ายแรงจึงฆ่าตัวตายไถ่บาป”

หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ในใจเริ่มหนาวเยือกน้อยๆ

“ฆ่าตัวตายไถ่บาปดีนี่!”

นัยน์ตาเขาลุ่มลึก “วิธีการของเฒ่าชราเหล่านี้ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ!”

เถาเหลิ่งกล่าวถอนใจยาว “นี่เป็นค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเมื่อทำเรื่องผิด หาไม่เจ้าจะพอใจหรือ คนใหญ่คนโตในสำนักเหล่านั้นจะพอใจหรือ”

หลินสวินถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ข้าเพียงแต่ไม่คิดว่าผู้แข็งแกร่งขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์อย่างจินจงเยวี่ย คิดอยากฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ”

เถาเหลิ่งเอ่ยแก้อย่างจริงจัง “ฆ่าตัวตายไถ่บาป”

หลินสวินหัวเราะหยันขึ้นมา “ต่างกันหรือ”

เถาเหลิ่งก็หัวเราะเช่นกัน “มองทะลุแต่ไม่พูดจึงจะเป็นผู้มากปัญญา”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “นอกจากนี้รองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงสั่งการลงมาแล้ว เฟิงซีซี หลิวอวิ๋นเฟิงสองคน รวมถึงผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้าฮวงมู่จี้ ผู้สืบทอดยอดเขาที่เจ็ดเซี่ยงเสี่ยวหยวนที่ถูกขังในคุกสำนึกผิด ล้วนจะได้รับการปล่อยตัวในวันนี้”

หลินสวินฮึกเหิมทันที นี่เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย

“ฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นจะยอมหรือ” เขาถาม

“เวลานี้ต่อให้พวกเขาไม่อยากยอมก็ต้องบีบจมูกยอมรับแล้ว”

เถาเหลิ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็เอ่ยแก้ให้หลินสวินอย่างจริงจัง “ต่อไปไม่อาจเรียกชื่อรองหัวหน้าหอทั้งสองตรงๆ ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่าไม่เห็นผู้อาวุโสในสายตา ปีนเกลียวข้ามขั้น”

หลินสวินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “วางใจเถิดขอรับ ไม่แน่นอน”

ไม่นานนักเถาเหลิ่งก็กล่าวลา

และบ่ายวันนั้นหลินสวินก็ได้พบกับเฟิงซีซีและหลิวอวิ๋นเฟิง

ในถ้ำสถิตแดนมงคล หลินสวินจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ต้อนรับการกลับมาของทั้งคู่ด้วยตัวเอง

“ทำให้ทั้งสองคนต้องอดสูแล้ว”

หลินสวินชูจอกสุราขึ้น กล่าวเจือแววขอโทษ

เฟิงซีซียังคงสวมชุดนักรบสีดำ มัดหางม้า อาอาจผ่าเผย สดใสสง่างาม เมื่อได้ยินก็กล่าวถอนใจยาว “เรื่องอดสูไม่อดสูหรอก เพียงแต่ไม่ได้เห็นภาพที่พี่หลินแจ้งมรรคทะลวงระดับด้วยตาตัวเอง ก็อดเสียดายน้อยๆ ไม่ได้”

“คราแรกเป็นเฉาเป่ยโต้วออกคำสั่ง ให้พวกฉีหลิงเจิ้น จงหลีหรันลงมือจับพวกเราสองคนไปขังที่คุกสำนึกผิด”

หลิวอวิ๋นเฟิงกล่าว “แต่ตอนนี้สี่คนนี้ล้วนถูกพี่หลินสังหาร ในใจข้ายังดีใจไม่ทันด้วยซ้ำ มีหรือจะอดสู”

กล่าวพลางดื่มคารวะหลินสวินหนึ่งจอก “หากเห็นข้าและแม่นางเฟิงเป็นสหายก็อย่าพูดเรื่องอื่นอีก ดื่มสุรากัน”

“ดี ดื่มสุรากัน”

หลินสวินยกจอกอย่างขันแข็ง

คืนนั้นหลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุด หลินสวินก็ไปยอดเขาที่เก้าเพื่อเยี่ยมเยียนเหล่าศิษย์พี่อย่างเย่ฉุนจวิน ฮวงมู่จี้ ฉินรั่วหลิง

พวกเย่ฉุนจวินต่างรู้แล้วว่าที่หลินสวินออกไปนอกสำนักก่อนหน้านี้เพื่อไปล้างแค้นแทนเย่ฉุนจวินโดยเฉพาะ ทั้งยังสังหารสี่มารตายเรียบ ในใจล้วนซาบซึ้งไม่หยุด

หลินสวินปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเป็นคนในครอบครัวอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังออกจากยอดเขาที่เก้า หลินสวินก็ไปเยี่ยมเซี่ยงเสี่ยวหยวนที่ยอดเขาที่เจ็ด ฝ่ายหลังก็ตื่นเต้นยิ่งเช่นกัน

ทั้งคู่พูดคุยกันเนิ่นนานหลินสวินถึงค่อยจากมา

กระทั่งกลับถึงถ้ำสถิตของตน เขารู้สึกเพียงผ่อนคลายไปทั้งตัว

‘ขาดแค่ขั้นเล็กๆ ก็สามารถก้าวสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลาย ถึงตอนนั้นก็สามารถไปช่วงชิงตำแหน่งผู้ดูแลได้แล้ว…’

หลินสวินใคร่ครวญ

คิดอยากเป็นผู้ดูแล เงื่อนไขเข้มงวดอย่างยิ่ง

แต่สำหรับหลินสวิน ต่อให้เงื่อนไขเข้มงวดเพียงใดก็ต้องทุ่มสุดกำลังไปไขว่คว้า

และเงื่อนไขข้อแรกของการขึ้นเป็นผู้ดูแล คือต้องมีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลาย

อันที่จริงในบรรดาสิบสองผู้ดูแลของหอแรกนภา ส่วนใหญ่ล้วนทะลวงขั้นถึงขั้นดับเทพกันหมด

มีเพียงประปรายเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในขั้นอายุขัยเทียมฟ้า แต่ก็เป็นมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นสัมบูรณ์

หลินสวินสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งแล้วเริ่มสงบจิตนั่งสมาธิ

หลังจากรู้ข่าวที่พวกศิษย์พี่ใหญ่ถูกขังในแดนยอดจักรวาล ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความรู้สึกรีบร้อนอย่างหนึ่ง

ว่ากันถึงที่สุด แม้ว่าเขาจะเหยียบย่างมรรคาอมตะแล้ว แต่เทียบกับคนใหญ่คนโตที่ยืนมั่นในขั้นหลุดพ้นเหล่านั้น สุดท้ายก็ห่างกันไกลโพ้น

มีเพียงพัฒนาความแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยเหลือบรรดาศิษย์พี่คีรีดวงกมลเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง!

หนึ่งเดือนให้หลัง

เถาเหลิ่งมุ่งหน้ามาเยือนอีกครั้ง และบอกหลินสวินว่าอีกหนึ่งเดือนงานถกมรรคเก้ายอดเขาที่มีทุกๆ หนึ่งพันปีจะเปิดม่านแล้ว จึงสอบถามหลินสวินว่าจะมาเข้าร่วมหรือไม่

แน่นอนว่าไม่ใช่เข้าร่วมการถกมรรค หากแต่เป็นการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของงานใหญ่ครั้งนี้

หลินสวินใคร่ครวญเนิ่นนาน ตั้งใจจะปฏิเสธ

งานถกมรรคเก้ายอดเขาเป็นการประลองและวัดฝีมือกันระหว่างผู้สืบทอดแกนหลักของเก้ายอดเขาใหญ่

สำหรับเขา ไม่ได้มีแรงดึงดูดอะไรนานแล้ว

“ถึงตอนนั้ ลัทธิวิญญาณ ลัทธิฌานและลัทธิพ่อมดล้วนจะส่งทูตมุ่งหน้ามา อีกทั้งขุมอำนาจระดับปลายยอดของสิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่เจ็ดและน่านฟ้าที่แปดก็จะส่งคนใหญ่คนโตมุ่งหน้ามาชมงานเช่นกัน เจ้าไม่คิดจะไปดูหน่อยจริงๆ หรือ”

เมื่อเถาเหลิ่งเอ่ยประโยคนี้ออกมา หลินสวินพลันเปลี่ยนความคิด ตอบตกลงทันที

เถาเหลิ่งยกยิ้มกล่าวว่า “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางพลาดงานใหญ่เช่นนี้แน่”

ไม่นานเถาเหลิ่งก็จากไป

ส่วนหลินสวินอดตั้งตาคอยน้อยๆ ไม่ได้ ในบรรดาทูตที่หอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณส่งมาครั้งนี้ จะมีพวกศิษย์พี่คีรีดวงกมลหรือไม่

เวลาผ่านไปไวว่อง

วันงานถกมรรคเก้ายอดเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ระยะนี้ศิษย์แกนหลักในเก้ายอดเขาใหญ่ล้วนบากบั่นฝึกปราณ เคี่ยวกรำอย่างหนัก สะสมกำลังเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงานใหญ่ที่ใกล้มาเยือนในครั้งนี้

ติดสิบอันดับแรก จะมีโอกาสเข้าไปฝึกปราณในสามหอ

ติดสามอันดับแรก ยิ่งจะได้รับการบ่มเพาะเต็มกำลังจากสำนัก ได้รับทรัพยากรฝึกปราณแจ้งมรรคอมตะ! ยิ่งสามารถเลือกเข้าหอได้ตามอัธยาศัย

สำหรับศิษย์แกนหลักคนใดก็ตาม งานถกมรรคเก้ายอดเขาเกี่ยวโยงถึงชื่อเสียงและหนทางในอนาคตของพวกเขา!

“แต่น่าเสียดาย ศิษย์น้องหลินสวินเลื่อนขั้นเร็วเกินไป หาไม่หากมีเขาอยู่ อันดับหนึ่งในงานถกมรรคเก้ายอดเขาครั้งนี้ต้องตกเป็นของยอดเขาที่เก้าของพวกเราแน่!”

ยอดเขาที่เก้า ฉินรั่วหลิงถอนใจเบาๆ

ประโยคเดียวทำเอาศิษย์แกนหลักอย่างพวกเย่ฉุนจวิน ฮวงมู่จี้ เมิ่งเฮ่าเฉินล้วนทอดถอนใจไม่หยุด

พวกเขาฝึกปราณในยอดเขาที่เก้านานหลายปี แต่เมื่อเทียบกับหลินสวินล้วนดูไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

เพียงหนึ่งปีเศษเขาก็เลื่อนขั้นจากศิษย์สืบทอดแท้จริง ศิษย์แกนหลัก ศิษย์หอแรกนภา จนถึงรองผู้ดูแลหอแรกนภาในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง!

ความเร็วในการเลื่อนขั้นเช่นนี้ทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนรู้สึกตกตะลึงและสะเทือนไหว

และเป็นเพราะเช่นนี้ ทำให้หลินสวินไม่มีโอกาสเข้าร่วมงานถกมรรคเก้ายอดเขาได้อีก

“พวกเจ้ายังติว่ายอดเขาที่เก้าของพวกเราไม่เฉิดฉายพออีกหรือ มีหลินสวินคนเดียวก็สามารถทำให้ทุกสายตาทั่วลัทธิแรกกำเนิดไม่อาจมองข้ามยอดเขาที่เก้าของพวกเราได้แล้ว”

ไกลออกไปผู้นำยอดเขาฉินอู๋อวี้เอ่ยปาก “งานถกมรรคเก้ายอดเขาครั้งนี้ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอันดับ ใช้ความสามารถของตนไปประลองก็พอ”

“ก็จริง ตราบใดที่หลินสวินยังอยู่ ไม่ว่าภายหน้าเขาจะมีฐานะอะไร ถึงอย่างไรก็มาจากยอดเขาที่เก้าของพวกเรา ใครหน้าไหนยังจะกล้าดูเบาพวกเราอีก”

เย่ฉุนจวินกล่าวกลั้วหัวเราะ

นึกถึงครานั้นที่หลินสวินเพิ่งเข้าสำนัก ผู้นำยอดเขาค่อนข้างต่อต้านหลินสวิน

ตอนนี้เล่า ยามที่เอ่ยถึงหลินสวิน แม้ว่าผู้นำยอดเขาจะพยายามปกปิดอารมณ์ภายในใจ แต่แววภาคภูมิใจและลำพองจากสีหน้า และน้ำเสียงในคำพูดที่ดูเหมือนหัวเสียแต่อันที่จริงปลาบปลื้มและดีใจนั่น ล้วนทรยศความคิดภายในใจของเขาอย่างลึกซึ้ง

หนึ่งวันก่อนที่งานถกมรรคเก้ายอดเขาจะเปิดม่าน หลินสวินได้รับข่าวที่แน่นอนจากมือเถาเหลิ่ง

ทูตที่หอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณส่งมาในครั้งนี้มีทั้งสิ้นเก้าคน

โดยจอมวิญญาณชิงอวิ๋นหนึ่งในสิบจอมวิญญาณใหญ่เป็นผู้นำขบวน จอมวิญญาณเป็นคำเรียกอย่างหนึ่ง ตำแหน่งเทียบเท่ากับรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด

ส่วนแปดคนที่เหลือ สี่คนเป็นเจ้าวิญญาณ ตำแหน่งเทียบเท่ากับผู้อาวุโสสามหอของลัทธิแรกกำเนิด

สี่คนที่เหลือ ก็คือราชันวิญญาณ ตำแหน่งเทียบเท่ากับผู้ดูแลสามหอของลัทธิแรกกำเนิด

หลินสวินได้รับรายชื่อคนของลัทธิวิญญาณเก้าคนนี้จากมือเถาเหลิ่ง เพียงแวบเดียวก็มองเห็นชื่อแสนคุ้ยเคยชื่อหนึ่ง

เฉิงอวี๋!

ศิษย์พี่เฉิงอวี๋ที่อยู่ลำดับที่สิบหก!

ในหัวหลินสวินหวนนึกถึงภาพหนึ่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

ปีนั้นตอนอยู่ทางเดินโบราณฟ้าดารา ในการประชันหมากครั้งใหญ่เพื่อจัดการจอมจักรพรรดิไร้นาม ตอนนั้นศิษย์พี่คีรีดวงกมลทั้งหมดลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนต่างสำแดงอภินิหารของตนที่สะเทือนฟ้าดิน

หนึ่งในนั้นก็มีศิษย์พี่เฉิงอวี๋

นางรูปร่างอรชร ผมสั้นเสมอหู สวมกระโปรงผ้าเรียบทั้งชุด ดวงตากลมโตเป็นประกายดุจดวงดารา ใบหน้าน่ารักยิ่งยวด

ความงามของนางเป็นความงามที่ละเอียดอ่อนและเก็บงำ คนที่ไม่รู้ยังเข้าใจว่าเป็นเด็กสาวข้างบ้านที่ใสซื่อและน่ารักคนหนึ่ง

แต่ยามต่อสู้ นางก็เผยประกายคมอันน่าสะพรึงพร่างตาถึงขีดสุดออกมา สามารถใช้คำว่าดุร้ายและอหังการมาบรรยายได้ ทำให้คนไม่อาจจินตนการว่ารูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางจะระเบิดพลังกร้าวแกร่งเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร

และเพราะความแตกต่างอย่างมากจึงทำให้ภาพจำของหลินสวินชัดเจนยิ่ง

——

[1] โยนอิฐล่อหยก หมายถึงการใช้สิ่งที่มีค่าน้อยนิดมาหลอกล่อเพื่อให้ได้ของที่มีค่ามากว่า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท