ตอนที่ 2765 แล้วแต่เจ้า
นี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่!?
หลินสวินงุนงงอย่างยิ่ง
เป็นผลให้สีหน้าอึ้งงัน ดวงตาแข็งทื่อ
เนิ่นนานก็ไม่เห็นหลินสวินเอ่ยปาก ขณะที่แอบมองสีหน้าวูบไหวไปมาของหลินสวินอย่างระมัดระวัง เฉิงอวี๋พลันกังวลใจขึ้นมาทันที ศิษย์น้องคงไม่ได้ถูกโจมตีหนักหน่วงเกินไปกระมัง
นางอดกล่าวไม่ได้ “ศิษย์น้อง เจ้า… ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ข้าผิดเอง ไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้ตอนที่เพิ่งพบกัน ข้า… ข้าขอโทษเจ้า…”
ใบหน้างามที่ขาวเนียนเกลี้ยงเกลาของนางเต็มไปด้วยความละอายและไม่สบายใจ
หลินสวินดึงสติกลับมาได้ในที่สุด รีบกล่าวเป็นพัลวัน “ศิษย์พี่ ท่านฟังข้านะ ที่ท่านพูดเมื่อครู่… หมายความว่าอย่างไรกันแน่”
แววกังวลบนใบหน้าของเฉิงอวี๋ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์น้องเขาต้องถูกโจมตีหนักหน่วงเกินไปเป็นแน่ เป็นผลให้ไม่อาจยอมรับได้ นี่ควรทำอย่างไรดี
นางกัดริมฝีปากชมพูระเรื่อเบาๆ กล่าวเสียงเบา “ศิษย์น้อง เจ้าใจเย็นๆ ก่อน อันที่จริงข้าไม่ได้ปฏิเสธเจ้า หากแต่กังวลว่าข้าไม่ได้ดีเหมือนที่เจ้าคิด เกรงว่าจะทำผิดต่อน้ำใจของเจ้า เอ่อ… ข้าก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี คือว่า… คือว่าข้าต้องไปคิดทบทวนเรื่องนี้สักหน่อย ไม่อาจตอบตกลงเจ้าในทันที เรื่องนี้เจ้า… น่าจะเข้าใจกระมัง”
สีหน้าหลินสวินยิ่งแปลกพิกลยิ่งกว่าเดิม สมองสับสนยุ่งเหยิงพักหนึ่ง เนิ่นนานกว่าจะนวดใบหน้าที่แข็งทื่อเบาๆ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ นี่คงเป็นการเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดหรือ” เฉิงอวี๋เบิกดวงตางดงามใสกระจ่าง
“ใช่แล้ว”
หลินสวินกล่าวยืนยัน “ศิษย์พี่ ข้าขอบังอาจถามสักประโยค เรื่องที่ท่านพูดถึง ใคร… เป็นคนบอกท่าน”
“ไม่ใช่เจ้าหรือ” เฉิงอวี๋ก็งุนงงเช่นกัน
หลินสวินยิ้มขื่น “ตั้งแต่ข้าเข้าสู่น่านฟ้าที่เจ็ดก็ฝึกปราณที่ลัทธิแรกกำเนิดมาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้ยิน… ว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย”
เฉิงอวี๋อึ้งค้าง กล่าวว่า “แต่ศิษย์น้องจวินหวนบอกต่อมาว่าเจ้ารักและชื่นชมข้ามานานแล้ว แอบรักข้างเดียวมาหลายปี หากไม่สารภาพความในใจต่อข้าอีก เกรงว่าจะกระทบต่อสภาวะจิตมหามรรค เมื่อเป็นเช่นนี้เป็นไปได้สูงว่าอาจกระทบการแจ้งมรรคอมตะของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงให้ศิษย์น้องจวินหวนส่งจดหมายรักมาให้ข้าโดยเฉพาะ”
หลินสวินฟังจบสีหน้าล้วนดำเหมือนก้นหม้อ โมโหจนกัดฟันกรอด
ที่แท้เป็นเรื่องพิเรนทร์จากศิษย์พี่จวินหวน!
รักและชื่นชมอะไร แอบรักข้างเดียวอะไร สารภาพความในใจอะไร จดหมายรักอะไร เรื่องเช่นนี้มีหรือตนจะทำ
ต้องเป็นฝีมือของนางอย่างแน่นอน!
มิน่าเพิ่งพบกับตน ศิษย์พี่เฉิงอวี๋ก็เขินอายขนาดนั้นอย่างเห็นได้ชัด ที่แท้ก็คิดว่าตนเป็นคนที่รักและชื่นชมที่เปิดเผยความในใจต่อนาง!
ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจอย่างถ่องแท้
ชั่วขณะนั้นแทบอยากจับจวินหวนมาอัดสักตั้ง นี่ไม่ใช่จับคู่ซี้ซั้วหรือ!?
เฉิงอวี๋กล่าวอย่างมึนงง “ศิษย์น้อง หรือว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือ”
หลินสวินยิ้มขื่นระลอกหนึ่ง หลังจากพิจารณาเรียบเรียงคำพูดแล้ว คราวนี้จึงเล่าการคาดเดาของตนให้ฟัง
ฟังจบใบหน้างามของเฉิงอวี๋ร้อนผ่าว แดงระเรื่อ นึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่พูดกับหลินสวินก่อนหน้านี้ นางล้วนอยากหาที่แทรกแผ่นดินหนีใจจะขาด
ช่างทำให้คนทำตัวไม่ถูกเกินไปแล้ว!
“ศิษย์น้องจวินหวนนี่จริงๆ เลย น่าโมโหชะมัด”
เฉิงอวี๋กล่าวอย่างอับอาย “รอพบนางครั้งหน้า ข้าจะให้ศิษย์พี่สามสั่งสอนนางสักตั้งอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว ต้องจัดการนางให้ดีๆ สักหน่อย!”
หลินสวินก็โกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เขาและเฉิงอวี๋มองหน้าสบตากันไปมา…
เนิ่นนานทั้งคู่ล้วนอดหัวเราะไม่ได้ สุดท้ายก็หัวเราะจนโยกหน้าโยกหลัง
บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเบิกบานขึ้นมา ไม่ได้ละเอียดอ่อนและอึมครึมเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ทั้งตัวเฉิงอวี๋ผ่อนคลายลงมาก
หลินสวินก็เข้าใจในที่สุดว่าความเขินอายก่อนหน้านี้ของศิษย์พี่เฉิงอวี๋เกิดจากสาเหตุอะไร
เมื่อความจริงเปิดเผย ทั้งคู่ล้วนเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายขึ้นมา
เพียงแต่หลายปีต่อมายามที่จวินหวนรู้เรื่องนี้ ในใจก็อดถอนใจเงียบๆ ไม่ได้ ศิษย์น้องเล็กคนนี้ของตนช่างไม่ได้เรื่องได้ราวจริงๆ!
“ศิษย์พี่ พอจะเล่าเรื่องของพวกท่านในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณในช่วงหลายปีนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่” หลินสวินเปลี่ยนประเด็น
เฉิงอวี๋ร้องอืมคราหนึ่ง ทัดผมสั้นสีดำสนิทไว้หลังหูก่อนเอ่ยปากเสียงเบา
ไม่มีบรรยากาศแปลกประหลาดละเอียดอ่อนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งคู่พูดคุยกันค่อนข้างถูกคอ เวลาถึงกับผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งต่อมาหลินสวินลงมือปรุงอาหารเลิศรสบางส่วนด้วยตัวเอง และหยิบสุราดีกาหนึ่งออกมาดื่มกับเฉิงอวี๋
ส่วนงานถกมรรคเก้ายอดเขาที่กำลังดำเนินไปที่โลกภายนอก หลินสวินไม่สนใจสักนิด
สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงคือ ศิษย์พี่เฉิงอวี๋ที่ดูเหมือนนิสัยเก็บตัวอ่อนโยนถึงกับคอแข็งที่สุด ดื่มจอกแล้วจอกเล่า ไม่ด้อยกว่าผู้ชายสักนิด
เรื่องดื่มสุรา สำหรับคนระดับพลังอย่างพวกเขา เป้าหมายก็เพื่อจรรโลงใจ ดังนั้นจึงไม่เคยใช้พลังปราณทำการกดข่มและสลายทิ้งไป
หลินสวินตระหนักได้ว่ายิ่งศิษย์พี่เฉิงอวี๋ดื่มสุรา ดวงตากลมโตคู่นั้นก็ยิ่งวาววาม ทั้งตัวยิ่งกระปรี้กระเปร่า ผิวพรรณเนียนขาวราวกระเบื้องอมชมพู มีเสน่ห์น่ารัก
ตรงข้ามกับตัวเขาเอง กลับรู้สึกมึนเมาอยู่บ้าง
“ศิษย์พี่ นึกไม่ถึงว่าท่านคอแข็งขนาดนี้” หลินสวินอดอุทานไม่ได้
สุราหมักที่เขาสะสมล้วนเป็นสุราชั้นดีอายุหลายปี ใช้เจตวัตถุชนิดต่างๆ ผลิตขึ้น หากไม่ใช้พลังปราณสลายทิ้งไป จะทำให้คนเมามายได้ง่ายดายสุดขีด
แต่เฉิงอวี๋กลับกระปรี้กระเปร่า ใจคึกฮึกเหิม!
“ศิษย์น้อง ข้าโตมากับศิษย์พี่ใหญ่ตั้งแต่เล็ก เขาชอบดื่มสุราเป็นที่สุด ดังนั้นข้าจึงดื่มสุรากับเขามาตั้งแต่เด็ก อาจารย์ดุศิษย์พี่ใหญ่ว่าทำให้ข้ากลายเป็นหนอนสุรา แต่ข้ารู้สึกว่าสำหรับผู้ฝึกปราณ การดื่มสุราจึงจะเป็นเรื่องที่รื่นรมย์ที่สุด กระทั่งต่อมาบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักของพวกเรา นอกจากศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ในด้านการดื่มสุราก็ไม่มีใครเอาชนะข้าได้”
เฉิงอวี๋ยกจอกสุราขึ้น รอยยิ้มสดใส กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้นานมาแล้ว อาจารย์อาคงเจวี๋ยยังชอบดื่มสุรากับข้า ทุกครั้งที่เจอข้าเป็นต้องแข่งดื่มกับข้า แต่เขามักจะดื่มจนเมาหัวราน้ำเสมอ”
หลินสวินเกิดความรู้สึกเหมือนแหงนมองภูเขาสูงในทันที กล่าวทอดถอนใจว่า “ที่แท้ศิษย์พี่ถึงกับเยี่ยมยอดขนาดนี้”
เฉิงอวี๋หัวเราะชอบใจขึ้นมา งดงามน่ารัก ทำให้คนไม่อาจจินตนาการได้ว่านี่คือราชันวิญญาณระดับอมตะคนหนึ่งของหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ
และเป็นยามนี้ที่ผนึกนอกถ้ำสถิตเกิดคลื่นระลอกหนึ่ง เรียกความสนใจของหลินสวินทันที เมื่อถอนผนึกทิ้งก็ได้ยินเสียงร้อนรนของเถาเหลิ่งดังขึ้น
“หลินสวิน รองหัวหน้าหอเสวียนเรียกหาเจ้า รีบตามข้ามา!”
หลินสวินและเฉิงอวี๋สบตากันปราดหนึ่ง ความรู้สึกมึนเมาทั้งตัวพลันหายเป็นปลิดทิ้ง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
หลินสวินเดินออกมาจากถ้ำสถิตก็เห็นสีหน้าของเถาเหลิ่งเจือแววเดือดดาลและร้อนใจ
เถาเหลิ่งรีบเล่าต้นเหตุให้ฟังอย่างฉับไว
ที่แท้หลังจากการประลองถกมรรคดำเนินไปได้แปดชั่วยาม งานถกมรรคเก้ายอดเขาครั้งนี้ก็ปิดม่านลงเรียบร้อยแล้ว
เดิมทีหลังจากนี้ควรจัดงานเลี้ยงฉลอง หนึ่งเพื่อเฉลิมฉลองให้กับศิษย์แกนหลักที่ติดอันดับต้นๆ เหล่านั้น และสองเพื่อรับรองแขกเหรื่อที่เดินทางมาจากแดนไกล
แต่ใครจะคาดคิดว่างานถกมรรคเก้ายอดเขาเพิ่งสิ้นสุด จู่ๆ จอมเวทคนหนึ่งนามว่าสิงจวิ้นจากลัทธิพ่อมดก็ไปยังกลางลานมรรคเปิดสวรรค์ ประกาศว่าต้องการถกมรรคแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหลินสวิน
ทั่วลานสะท้านสะเทือนในทันที
‘จอมเวท’ แห่งลัทธิพ่อมด เทียบเท่ากับระดับผู้ดูแลและรองผู้ดูแลในสามหอลัทธิแรกกำเนิด พลังปราณล้วนอยู่ระหว่างขั้นอายุขัยเทียมฟ้าถึงขั้นดับเทพ
สิงจวิ้นที่ประกาศท้าสู้ก็คือพวกร้ายกาจที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นจอมเวท
ไม่พูดถึงฐานะ ถึงอย่างไรสิงจวิ้นก็เป็นแขก เขาประกาศว่าต้องการถกมรรคแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหลินสวิน เหล่าคนใหญ่คนโตลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้นก็ไม่สะดวกปฏิเสธ
แต่ตอนนั้นหลินสวินไม่ได้อยู่ที่นั่น
เมื่อเผชิญหน้ากับการท้าสู้ สามหอลัทธิแรกกำเนิดย่อมไม่อาจยอมแพ้ ไม่นานก็มีรองผู้ดูแลคนหนึ่งจากหอแรกพิสุทธิ์ลุกออกมาต่อสู้แทนหลินสวิน
รองผู้ดูแลคนนี้นามว่าเซี่ยอู๋เหมี่ยน มีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ สูงกว่ามรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลายของสิงจวิ้นอยู่ช่วงหนึ่ง อีกทั้งประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนสุดขีด
อันที่จริงผู้แข็งแกร่งลัทธิแรกกำเนิดไม่มีพวกธรรมดาทั่วไปสักคน แต่ละคนล้วนเป็นปีศาจวิปริต
แต่ลัทธิพ่อมดในฐานะหนึ่งในสี่หอบรรพจารย์ ผู้แข็งแกร่งในสำนักก็ย่อมไม่มีผู้อ่อนแอเช่นกัน และสิงจวิ้นคนนี้ยังเป็นคนโดดเด่นที่กร้าวแกร่งยิ่งยวดคนหนึ่ง
ตอนแรกเริ่มเซี่ยอู๋เหมี่ยนยังออมมืออยู่บ้าง คิดว่าพลังปราณสูงกว่าอีกฝ่ายช่วงหนึ่ง หากออกโจมตีเต็มกำลังออกจะชนะไม่ใสสะอาด แม้จะชนะแต่ก็ไม่เฉิดฉาย ซ้ำยังจะทำเสื่อมเสียหน้าตาลัทธิแรกกำเนิดอีกด้วย
แต่ใครจะคาดคิดว่าทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เซี่ยอู๋เหมี่ยนก็ประสบอันตราย แม้จะทุ่มสุดกำลังก็ยังถูกกดข่มจนเงยหัวไม่ขึ้น
ไม่ถึงสามสิบลมหายใจก็ถูกสิงจวิ้นทำร้ายเจ็บหนัก หมัดเดียวซัดกายมรรคเป็นเสี่ยง หากไม่เพราะมีคนใหญ่คนโตลงมือทันเวลา เซี่ยอู๋เหมี่ยนก็เกือบถูกทำลายสิ้นซาก!
ความพ่ายแพ้น่าอนาถเช่นนี้ทำให้สีหน้าทุกคนในลัทธิแรกกำเนิดทั้งบนล่างล้วนไม่น่ามอง
ที่น่ากลัวที่สุดคือสิงจวิ้นยืนอยู่ที่ลานมรรคเปิดสวรรค์ ไม่ปกปิดความดุกร้าวและเหยียดหยันของตนสักนิด ยังคงยืนกรานจะท้าสู้หลินสวินดังเดิม
ลัทธิพ่อมดทั้งบนล่างล้วนไม่นับถือเทพผี ไม่สนใจมารยาท และไม่เคารพกฎเกณฑ์
จุดนี้ปรากฏในตัวสิงจวิ้นอย่างชัดเจนหมดเปลือก
บริเวณใกล้เคียงลานมรรคเปิดสวรรค์ในตอนนั้นยังมีผู้แข็งแกร่งของขุมอำนาจอย่างลัทธิวิญญาณ ลัทธิฌาน รวมถึงสิบยักษ์ใหญ่อมตะอยู่ด้วย ถูกสิงจวิ้นยั่วยุเช่นนี้ ลัทธิแรกกำเนิดทั้งบนล่างมีหรือจะล่าถอย
จากนั้นรองผู้ดูแลจากหอแรกนภารั่วอวิ๋นเหิงเดินออกมา
แต่ยังคงแพ้เช่นเดิม ยังคงถูกสิงจวิ้นซัดทำลายกายมรรคด้วยหมัดเดียว
นี่ทำให้คนใหญ่คนโตในลัทธิแรกกำเนิดปั้นหน้าไม่ติดอยู่บ้าง
เดิมทีงานถกมรรคเก้ายอดเขาเป็นงานใหญ่ของลัทธิแรกกำเนิด แต่กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากให้คนของลัทธิพ่อมดแสดงอำนาจบารมีในอาณาเขตของตน ต่อไปลัทธิแรกกำเนิดจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนในโลกยอดนิรันดร์
แต่ไม่ว่าเป็นใครล้วนไม่อาจไม่ยอมรับ สิงจวิ้นคนนั้นรากฐานพลังน่าสะพรึงและน่ากลัวสุดขีด โดดเด่นเหนือคนทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นคนเย้ยฟ้าในหมู่ปีศาจ
เขากล้าโร่มาท้าสู้ถึงอาณาเขตของลัทธิแรกกำเนิด ย่อมไม่มีทางเป็นพวกธรรมดาทั่วไป
จากนั้นเถาเหลิ่งก็รีบร้อนมุ่งหน้ามาหาหลินสวิน
หลังจากรู้เรื่องเหล่านี้ หลินสวินก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ กล่าวว่า “รองผู้ดูแลสามหอของลัทธิแรกกำเนิดของเรา รวมกันมีเจ็ดสิบสองคน แต่หาคนที่สามารถต่อสู้กับสิงจวิ้นนั่นไม่ได้สักคนหรือ”
เถาเหลิ่งถอนใจยาว “เจ้ายังมองไม่ออกหรือ ครั้งนี้ลัทธิพ่อมดเตรียมตัวมาพร้อม เป็นไปได้สูงว่าอาจวางแผนมานานแล้วว่าจะให้สิงจวิ้นคนนี้มาท้าทายเวลานี้ หรือกล่าวได้ว่า สิงจวิ้นเป็นไพ่เด็ดของลัทธิพ่อมดอย่างแน่นอน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเจ้ายังไม่ยอมปรากฏตัว สิงจวิ้นไม่มีทางไปจากลานมรรคเปิดสวรรค์ทั้งอย่างนี้เป็นแน่”
กล่าวถึงตรงนี้เขาเอ่ยด้วยสีหน้าหนักแน่น “ลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราแพ้สองครั้งแล้ว จะแพ้อีกไม่ได้แล้ว! และไม่อาจปล่อยให้สิงจวิ้นจองหองอีกต่อไปได้แล้ว!”
กล่าวถึงตรงนี้เขาตบไหล่หลินสวินเบาๆ กล่าวว่า “หลินสวิน นี่เป็นโอกาสยอดเยี่ยมสำหรับเจ้า ขอเพียงเจ้าชนะ ต้องสามารถครองใจคนมากมายในลัทธิแรกกำเนิดทั้งบนล่างได้แน่ นี่มีประโยชน์ต่ออนาคตของเจ้าอย่างยิ่ง”
หลินสวินกล่าวว่า “ท่านไม่กลัวข้าแพ้หรือ”
เถาเหลิ่งเกือบกลอกตา กล่าวว่า “หากเจ้าเอาชนะไม่ได้ ข้าจะควักลูกตาออกมา”
หลินสวินหัวเราะทันที หันหน้าไปกล่าวกับเฉิงอวี๋ที่อยู่ด้านข้าง “ศิษย์พี่ อยากไปลองดูฝีมือของจอมเวทสิงจวิ้นคนนี้ด้วยกันหรือไม่”
เสียงเฉิงอวี๋อ่อนหวานใสกังวาน “แล้วแต่เจ้า”
——