Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2766 เอ้อระเหยลอยชาย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2766 เอ้อระเหยลอยชาย

ลานมรรคเปิดสวรรค์

บรรยากาศกลางฟ้าดินอึมครึมมาก ผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ล้วนโกรธจนควันออกหู

บรรดาคนใหญ่คนโตเหล่านั้นหว่างคิ้วก็เจือแววมืดทะมึนเช่นกัน

บนแท่นพิธี ผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกภายนอกอย่างสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ลัทธิวิญญาณ ลัทธิฌาน ล้วนกำลังกระซิบกระซาบพูดอะไรบางอย่าง

สิงจวิ้นยืนอยู่บนลานมรรคเปิดสวรรค์เพียงลำพัง เหยียดหยันหยิ่งยโส

เขารูปร่างสูงผอมแข็งแรง ผิวพรรณสีทองแดง หนวดผมยุ่งเหยิง นัยน์ตาดุจโคมทอง มีเปลวเพลิงน่าสยดสยองไหลวน

กฎเกณฑ์อมตะแดงฉานเป็นสายๆ คละคลุ้งออกมาจากตัวเขา ตัดสลับกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เก่าแก่ดุกร้าว ทำให้กลิ่นอายของเขาดุดันน่าสะพรึง ประหนึ่งเทพเถื่อนที่เกรี้ยวกราดอาละวาด

“เหตุใดหลินสวินถึงยังไม่ปรากฏตัว หรือว่ากลัวขึ้นมา”

สิงจวิ้นหมดความอดทนอยู่บ้าง มุ่นคิ้วแค่นเสียงเย็น

ลัทธิพ่อมดทั้งบนล่างล้วนไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ไม่นับถือเทพผี ไม่เคารพกฎเกณฑ์ เป็นผลให้ถูกโลกภายนอกเรียกขานว่าทั่วสำนักทั้งบนล่างล้วนป่าเถื่อน

เหมือนอย่างเวลานี้ นี่เป็นถึงอาณาเขตของลัทธิแรกกำเนิด แต่สิงจวิ้นกลับยังยโสเหมือนเก่า ไม่ได้เพลาลงสักนิด

หัวคิ้วของพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงยิ่งขมวดมุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกเขามีหรือจะมองไม่ออก สิงจวิ้นท้าสู้ในเวลานี้ เบื้องหลังนี้จะต้องมีเฒ่าชราของลัทธิพ่อมดพวกนั้นคอยชี้นำ

แต่นี่ไม่ใช่อุบายสกปรก หากแต่เป็นแผนการซึ่งหน้า

ท้าประลองอย่างผ่าเผยในเวลานี้ หมายจะทำให้ลัทธิแรกกำเนิดทั้งบนล่างล้วนอึดอัด!

“พี่ฝู เจ้าหลินสวินนี่ยังไม่มาหรือ”

ไกลออกไปบนแท่นพิธี ราชครูดินลัทธิพ่อมด ‘สยงถู’ เอ่ยด้วยเสียงราวฟ้าผ่า

ราชครูดินลัทธิพ่อมด เทียบเท่ากับรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด เงาร่างของสยงถูผู้นี้สูงกำยำเป็นที่สุด ดุจดั่งเทือกเขาลูกหนึ่ง รูปลักษณ์หยาบกร้าน กลางหน้าผากมีรอยสักอสนีบาตรอยหนึ่ง

ฝูเหวินหลีกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ถึงหลินสวินจะเป็นรองผู้ดูแลหอแรกนภา แต่จะรับคำท้าหรือไม่มีแต่ตัวเขาเป็นคนตัดสิน”

“ฮ่าๆ กล่าวเช่นนี้ ศิษย์คนเล็กของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลนี่ก็ยอมแพ้แล้วหรือ”

สยงถูแหงนหน้าระเบิดหัวเราะ

เขาเป็นระดับอมตะขั้นหลุดพ้น แต่เผยอารมณ์ทั้งหมดอย่างเด่นชัด ไม่ปกปิดแววเหยียดแคลนและตั้งตนเป็นศัตรูต่อคีรีดวงกมลสักนิด

นี่ก็คือวิธีวางตัวของลัทธิพ่อมด ทั้งบนล่างล้วนเป็นเช่นนี้

ฝูเหวินหลีไม่ได้เอ่ยทัดทาน ทำราวกับเป็นคนนอก

เสวียนเฟยหลิงกลับแค่นเสียงกล่าวว่า “เจ้าเฒ่าสยง ถ้าเจ้าอดใจรอไม่ไหว ไม่สู้เจ้ากับข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันสักหน่อยเล่า”

สยงถูนัยน์ตาแข็งค้าง จากนั้นก็หัวเราะร่วน “เสวียนเฟยหลิง เจ้าอย่าคิดยั่วข้า บนอาณาเขตลัทธิแรกกำเนิดของพวกเจ้า หากข้าโค่นเจ้าจนฟุบขึ้นมา เฒ่าเหยียนจี้จะต้องร้อนใจเป็นแน่”

เสวียนเฟยหลิงร้องเหอะคราหนึ่ง “ไม่กล้าก็คือไม่กล้า พูดพล่ามอะไร หรือลืมไปแล้วว่าในอดีตที่ผ่านมาข้าเคยล่าสังหารเจ้าไปถึงหน้าประตูภูเขาลัทธิพ่อมดของพวกเจ้า ตอนนั้นใครกันที่แหกปากว่าภายหน้าจะมาสะสางความแค้นล้างอายกับข้า นี่ก็ผ่านไปหมื่นปีกว่าแล้วกระมัง ก็ไม่เห็นเฒ่าสยงอย่างเจ้ากล้ามา”

หากเสวียนจิ่วอิ้นอยู่ตรงนี้ จะต้องพบว่าท่าทางหยิ่งผยองของท่านเทียดคนนี้ของเขา เหนือกว่าเขาช่วงใหญ่อย่างแน่นอน

ประโยคเดียวทำเอาทั่วลานฮือฮา

พวกเฒ่าชราอาวุโสจำนวนหนึ่งสีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด นึกถึงการไล่ล่าสังหารครั้งใหญ่อันดุเดือดเลือดพล่านในอดีตเมื่อนานมาแล้ว สยงถูในตอนนั้นถูกเสวียนเฟยหลิงไล่ล่าจนทุลักทุเลยิ่งจริงๆ

ถูกเสวียนเฟยหลิงเปิดโปงเรื่องน่าอับอายในปีนั้นต่อหน้าทุกคน ใบหน้าชราของสยงถูล้วนอึมครึม ไอสังหารกลางนัยน์ตาพลุ่งพล่าน

เนิ่นนานเขาแค่นเสียงเย็นกล่าว “เจ้าวางใจได้ ความอับอายครั้งนี้ ภายหน้าข้าต้องเอาคืนร้อยเท่าแน่ วันนี้ข้ามาชมงานพิธีเฉยๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าพวกเจ้าลัทธิแรกกำเนิดหน่อย”

ไกลออกไปบนลานมรรคเปิดสวรรค์ สิงจวิ้นกล่าวเสียงเย็น “จนป่านนี้แล้วหลินสวินยังไม่โผล่มาอีก จากที่ข้าดู เขายอมแพ้แล้วจริงๆ ทำคนผิดหวังนัก”

“ข้าจะสู้กับเจ้าสักตั้ง!”

ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก้าวออกมา สีหน้าเยียบเย็น

อิ้งเทียนหง!

ผู้นำรองผู้ดูแลหอแรกมายา ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์

ลือกันว่าเขามีรากฐานพลังแจ้งมรรคขั้นดับเทพนานแล้ว หลายปีนี้ปรากฏตัวน้อยครั้งมาก

“ศิษย์พี่อิ้ง ต้องเอาชนะเจ้าหมอนั่นให้ได้ จองหองเกินไปแล้ว!”

บริเวณใกล้เคียงฮือฮาระลอกหนึ่ง ผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดจำนวนมากล้วนส่งเสียงร้องออกมา

ในลานมรรคเปิดสวรรค์ สิงจวิ้นกล่าวเย็นชา “สองคนก่อนหน้านี้ล้วนถูกข้าระเบิดร่าง เจ้าก็อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรึ เตือนเจ้าอย่าหาเรื่อใส่ตัวดีกว่า!”

บนใบหน้าอิ้งเทียนหงวาบประกายคล้ำเขียว กำลังตั้งท่าจะกระโจนขึ้นลานมรรค

“เทียนหง ถอยไป!” ตู๋กูยงเปิดปาก สีหน้าเคร่งขรึม

อิ้งเทียนหงขมวดคิ้วทันที กล่าวว่า “ถ้าหลินสวินไม่มา แล้วจะปล่อยให้เขาอวดกล้าอยู่ในลัทธิแรกกำเนิดของเราไปตลอดหรือ”

คนอื่นๆ ในที่นี้สภาพอารมณ์ล้วนซับซ้อน

แต่เดิมพวกเขาตั้งตาคอยหลินสวินลงสนามเป็นที่สุด ให้บทเรียนแก่สิงจวิ้นสักครั้ง

ทว่ารอถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นเงาร่างหลินสวินโผล่มา นี่ทำให้พวกเขาล้วนอดสงสัยไม่ได้อยู่บ้าง หรือว่าหลินสวินไม่กล้ารับคำท้าสู้จริงๆ

เมื่อก่อนเขาไม่เคยเป็นเช่นนี้!

“ลัทธิแรกกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ แต่ดันไม่มีคนระดับเดียวกันกล้ารับคำท้าสู้สักคน หรือจะเป็นอย่างที่โลกภายนอกลือกันจริงๆ ลัทธิแรกกำเนิดเป็นเหมือนสายน้ำไหลลงที่ต่ำ บารมีไม่เหมือนก่อนแล้ว”

สิงจวิ้นหัวเราะเย็นชา

ประโยคเดียวยั่วโทสะจนบรรดาคนใหญ่คนโตของลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้นล้วนเดือดดาล เจ้าหมอนี่จองหองเกินไปแล้วชัดๆ!

ไกลออกไปบนแท่นพิธี คนมากมายเพียงมองดูอยู่ข้างๆ คอยดูว่าลัทธิแรกกำเนิดจะแก้ทางการท้าทายครั้งนี้อย่างไร

ก็ในเวลานี้เอง

เสียงขอโทษสายหนึ่งดังขึ้นในที่นี้ “ขออภัย ข้ามาสายแล้ว”

เสียงไม่ดังนัก แต่กลับก้องในหูของทุกคนอย่างชัดเจน

จากนั้นเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งแหวกอากาศมาเยือน ปรากฏในสายตาของทุกคน

หลินสวิน!

คนใหญ่คนโอย่างพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยง ฟางเต้าผิงล้วนลอบถอนหายใจโล่งอก

ก่อนหน้านี้ในใจพวกเขาก็ไม่พอใจอยู่บ้างเหมือนกัน เวลาไหนแล้วเจ้าหลินสวินยังไม่โผล่มาอีก หรือตั้งใจจะมองดูคนเถื่อนจากลัทธิพ่อมดมารังแกถึงในสำนัก

แต่ยามเห็นหลินสวินโผล่มาในที่สุด ความไม่พอใจเสี้ยวนั้นของพวกเขาก็พลอยอันตรธานหายไปด้วย

“หลินสวิน เป็นศิษย์น้องหลินสวิน!”

“รองผู้ดูแลหลินสิถึงจะถูก!”

“ดีเหลือเกิน ในที่สุดเขาก็มาแล้ว สมกับที่ข้าเลื่อมใสเขามานาน!”

ผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ของลัทธิแรกกำเนิดล้วนเดือดพล่าน แต่ละคนสีหน้าฮึกเหิม

แม้แต่เหล่าคนใหญ่คนโตอย่างพวกผู้อาวุโส ผู้ดูแลสามหอเหล่านั้นก็ยังรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ความรู้สึกนี้มหัศจรรย์ยิ่ง

เสมือนขอเพียงหลินสวินมา ทุกอย่างล้วนสามารถคลี่คลายได้อย่างง่าย ส่วนพวกเขาก็สามารถสงบจิตและเบาใจได้อย่างแท้จริงแล้ว

‘เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองปี ความเชื่อมั่นที่เจ้าหมอนี่สร้างขึ้นในสำนักถึงกับมีมากถึงขั้นนี้แล้ว!’

และเมื่อสังเกตเห็นภาพเช่นนี้ ในใจคนใหญ่คนโตอย่างพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นล้วนหนักอึ้ง

การตอบสนองของผู้คนทั้งบนล่างในสำนักเวลานี้ คือการยอมรับในตัวหลินสวินถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง นี่ก็คือบารมี เป็นอิทธิพลที่น่ากลัวเป็นที่สุดอย่างหนึ่ง

บางทียามปกติอาจมองไม่เห็นอะไร

แค่เมื่อประสบเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ บารมีและอิทธิพลนี้จึงจะสามารถสำแดงเดชออกมา

ก็เหมือนตอนนี้!

พวกผู้นำยอดเขาหรือผู้อาวุโสที่วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอดจำนวนหนึ่ง เวลานี้ก็ยังเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

เหมือนอย่างผู้นำยอดเขาที่หนึ่งเยวี่ยอู๋โฉว ผู้นำยอดเขาที่ห้าอวี๋เซี่ยงถิง ผู้นำยอดเขาที่หกเหวินตงเหมียน ที่ผ่านมาล้วนวางตัวเป็นกลางในเรื่องของหลินสวิน อิงตามกฎระเบียบ

แต่ตอนนี้เห็นชัดว่าล้วนเต็มไปด้วยความตั้งตาคอยและเชื่อมั่นในตัวหลินสวิน!

นี่เป็นภาพที่พวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นไม่อยากเห็นมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ไกลออกไปบนแท่นพิธี สายตาทุกคู่ต่างก็มองไปทางหลินสวินเช่นกัน

จอมวิญญาณชิงอวิ๋นจากหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ จอมมุนีชื่อเย่จากหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน ราชครูดินสยงถูจากหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด รวมถึงเหล่าคนใหญ่คนโตจากขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะล้วนเผยสีหน้าต่างกันออกไป

บ้างนัยน์ตาเจือแววประหลาด ค่อนข้างสนใจ

บ้างสีหน้าเย็นชา มีไอสังหารรำไร

บ้างเยือกเย็นไร้คลื่นลม วางตัวอยู่นอกเหตุการณ์ คอยมองไฟจากชายฝั่ง

บ้างก็จมสู่ภวังค์ความคิด…

ใครๆ ล้วนรู้ดี การปรากฏตัวของสิงจวิ้น เห็นชัดว่าเป็นการจัดวางของคนใหญ่คนโตลัทธิพ่อมดพวกนั้น จงใจหันปลายหอกไปทางหลินสวิน

และตอนนี้หลินสวินปรากฏตัวแล้ว ต่อไปก็ต้องคอยดูว่าผู้สืบทอดคนนี้ที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเฝ้ารอคอย จะแข็งแกร่งอย่างที่ลือกันจริงหรือไม่

“เหตุใดเจ้าเพิ่งมาเอาป่านนี้”

เห็นหลินสวินมัวแต่เอ้อระเหยลอยชาย อิ้งเทียนหงก็โมโหอยู่บ้าง

หลินสวินประสานหมัดกล่าวขอโทษว่า “ศิษย์พี่โปรดระงับโทสะ ต่อไปก็มอบให้ข้าแล้วกัน”

“การต่อสู้ครั้งนี้แพ้ไม่ได้ หาไม่หน้าตาลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราก็รักษาไม่อยู่แล้ว” อิ้งเทียนหงสีหน้าเคร่งขรึม

และพร้อมกันนั้นเสียงสื่อจิตของเขาก็ลอยเข้าหูหลินสวิน ‘คนผู้นี้หลอมกายจิตถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ เทียบกับศาสตรามรรคอมตะยังไม่ด้อยไปกว่ากัน ซ้ำยังมีพรสวรรค์ ‘เลือดเทพพ่อมดทอง’ ครอบครองอภินิหารอหังการที่แข็งแกร่ง ต่อสู้กับเขาต้องระวังให้มาก’

กล่าวจบเขาก็หมุนตัวจากไป

หลินสวินยิ้มเหมือนเข้าใจ จากนั้นก็หันสายตามองสิงจวิ้นที่อยู่บนลานมรรคเปิดสวรรค์

“ยังนิ่งอยู่ทำไม เข้ามาสู้สิ!”

สิงจวิ้นงอนิ้วกระดิกเรียก เอ่ยปากเสียงดัง ดุดันบีบคั้นผู้คน

หลินสวินท่าทีสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน หากแต่ทอดสายตามองไปทางแท่นชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป กล่าวว่า “ข้าคนแซ่หลินอยากถามสักหน่อยว่ายังมีใครอยากท้าสู้อยู่อีก ลุกออกมาตอนนี้เป็นดีที่สุด หาไม่หลังจากโจมตีสิงจวิ้นนี่พ่ายแพ้ ข้าก็ไม่คิดอยู่ต่อแล้ว”

ทั่วลานล้วนตะลึงอึ้งค้างไประลอกหนึ่ง

สิงจวิ้นยังอึ้งไป ก่อนระเบิดหัวเราะกล่าวว่า “เจ้าคนอวดดีหลินสวิน โอหังอย่างที่ลือกันดังคาด! ข้ารับรองว่าอีกเดี๋ยวจะไม่ระเบิดเจ้าง่ายๆ แน่ แต่จะเล่นสนุกกับเจ้าเป็นอย่างดีเชียวล่ะ!”

เสียงเกรี้ยวกราดดุดัน

หลินสวินไม่ได้สนใจเขา สายตามองที่แท่นชมการต่อสู้ตลอดเวลา “ไม่มีหรือ ก็ดี เช่นนั้นข้าคนแซ่หลินก็จะตั้งใจเล่นสนุกเป็นเพื่อนสหายจากลัทธิพ่อมดคนนี้ให้ดี”

กล่าวพลางตั้งท่าจะเข้าสู่ลานมรรคเปิดสวรรค์

เสียงเย็นชาสายหนึ่งเอ่ยขึ้นมากะทันหัน “ถ้าเจ้าคว้าชัยชนะไปได้ ข้าก็ไม่รังเกียจจะชี้แนะเจ้าสักหน”

ในลานฮือฮา มองออกว่าคนที่ส่งเสียงขึ้นมาผู้นั้นมาจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลจิง นามว่าจิงฉิงเจี่ย เป็นบุคคลแห่งยุคที่มีบารมีมากยิ่งคนหนึ่งในตระกูลจิง มีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์

เขาสวมชุดเกราะสีดำ คลุมเสื้อคลุมขนนกกระเรียนแดงฉาน ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาเป็นประกาย มาดโดดเด่นเป็นที่สุด

“ไม่กลับคำแน่หรือ” หลินสวินกล่าว

จิงฉิงเจี่ยหัวเราะชอบใจ “ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน ข้าคนแซ่จิงทำเรื่องขายหน้าคนเช่นนั้นไม่ลงหรอก กลับเป็นเจ้านั่นแหละ อย่าถูกสหายยุทธ์สิงจวิ้นระเบิดเอาเป็นดีที่สุด”

หลินสวินหยิบเอาสารหนังสือหยกไหมที่เตรียมพร้อมแต่แรกชิ้นหนึ่งออกมา กล่าวว่า “มา ประทับรอยนิ้วมือ เช่นนี้ข้าถึงจะเชื่อว่าเจ้าจะไม่กลับคำภายหลัง”

ทุกคนทั่วลานล้วนอดมองไปไม่ได้ ก็เห็นบนสารหนังสือหยกไหมนั่นเขียนอักษรตัวใหญ่แถวหนึ่งอย่างอวดดีว่า

‘ใครกลับคำ คนนั้นเป็นหลานของทุกคนในที่นี้’

ทุกคนล้วนอดปากอ้าตาค้างไม่ได้ แบบนี้ก็ได้หรือ!?

“เหลวไหล!”

ฝูเหวินหลีขมวดคิ้วแค่นเสียง “เวลาเช่นนี้ยังทำเรื่องเหมือนเด็กเล่นแบบนี้อยู่อีก หากลือออกไปจะไม่ทำให้พวกเราลัทธิแรกกำเนิดกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่นไปทั่วหรือ”

พวกฉีเซียวอวิ๋น ชือเวินก็ไม่ชอบใจเช่นกัน หลินสวินนี่จะเหลวไหลเกินไปแล้ว!

แต่คนส่วนใหญ่ล้วนตื่นเต้นและฮึกเหิม นึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันที่หลินสวินแจ้งมรรคอมตะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ตอนนั้นก็เป็นเขาที่ทำให้ฉีหลิงเจิ้น จงหลีหรัน กู้เซ่าอิ้น ฟู่เจาเซิงสี่คนเข้าสู่สนามรบพิพาทสวรรค์พร้อมกัน หมายจะสู้หนึ่งต่อสี่…

ตอนนั้นทุกคนล้วนคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว

ทว่าความจริงพิสูจน์แล้ว หลินสวินทำเช่นนี้ แค่เพราะไม่อยากให้คู่ต่อสู้คนใดกลับคำและเผ่นหนีไป!

………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท