Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2771 บัวบังเกิดวัฏจักร ผลาญใจเป็นโลก

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2771 บัวบังเกิดวัฏจักร ผลาญใจเป็นโลก

ตอนที่ 2771 บัวบังเกิดวัฏจักร ผลาญใจเป็นโลก

เพิ่งจะสิ้นเสียง

ในฝ่ามืออวี่เฟิงจื่อปรากฏปลาไม้ชิ้นหนึ่ง รูปทรงคล้ายเศียรพระ เจือสีม่วงคราม

เมื่อเขาเคาะเบาๆ คราหนึ่ง

ตึง!

ฟ้าดินพลันสะเทือนไหว ดอกบัวสีเขียวดอกใหญ่ควบรวมกลางอากาศ ในดอกบัวกำเนิดมุนินทร์องค์หนึ่ง เท้าเปล่าแขนเปลือย สูงใหญ่ถึงร้อยจั้งเต็ม แสงธรรมอบอวลทั้งร่าง สีหน้าเวทนา

มุนินทร์เหยียบดอกบัวเขียว สองมือทำมุทราประทับกฎเกณฑ์ลึกลับ ซัดผ่านอากาศไปทางหลินสวิน

ตูม!

ห้วงอากาศระเบิดเป็นเสี่ยงๆ กฎเกณฑ์อมตะประหนึ่งกระแสน้ำเต็มไปด้วยอานุภาพเรืองรองไร้จำกัด อบอวลด้วยพลังยิ่งใหญ่กร้าวแกร่งที่ชำระล้างจักรวาล ไม่อาจทำลาย

สายตาทั่วลานต่างหดรัดลง ถูกภาพที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์นี้ดึงดูด

ทันทีที่อวี่เฟิงจื่อลงมือ อานุภาพนั่นก็ดูไม่ธรรมดานัก ไม่ใช่สิ่งที่พวกสิงจวิ้น จิงฉิงเจี่ยก่อนหน้านี้จะเทียบได้

ห่างออกไปหลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

กระบวนค่ายกลกระบี่ที่สว่างไสวลุกโชนอุบัติออกมากลางอากาศภายใต้เสียงกึกก้อง บรรยากาศเคร่งขรึม ไอสังหารที่ลึกลับไม่อาจคาดเดาตัดสลับออกมา

ทั้งสองพุ่งปะทะ ประทับกฎเกณฑ์ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ โดยพลัน ถูกกระบวนค่ายกลกระบี่ฟันทำลาย

แต่ไม่รอผลลัพธ์ อวี่เฟิงจื่อก็เคาะปลาไม้อีกครั้ง

ตึง!

ดอกบัวสีทองใหญ่ควบรวม สะท้อนเป็นมุนินทร์สีทองออกมาจากภายใน เงาร่างที่สูงร้อยจั้งราวกับหล่อจากทองเซียน เปล่งแสงสว่างไสว

มุนินทร์ถือดาบตวัดลงมา

ฟ้าดินราวกับถูกกรีดแหวก ปราณดาบบาดตาสะท้อนท่วงทำนองธรรมสัมบูรณ์ มหาปัญญา และไร้ขอบเขต

หลินสวินเลิกคิ้ว ก้าวเท้าไปข้างหน้าสะบัดหมัดโจมตี

ตูม โครม!

หมัดและดาบเข้าปะทะ สาดกระแสทำลายล้างที่ดุดันล้นฟ้า

ดาบนี้ถูกหลินสวินโจมตีจนแหลกละเอียดอีกครั้ง แต่อวี่เฟิงจื่อกลับเหมือนไม่รู้สึก

เขาท่าทางเคร่งขรึม ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มือเคาะปลาไม้ ริมฝีปากขยับราวกับท่องบทสวด

ตึง! ตึง!

บัวสีชาดหนึ่งดอก บัวสีเงินหนึ่งดอก บัวสีดำหนึ่งดอก… ต่างทยอยควบรวมในลานมรรคเปิดสวรรค์ บัวทุกดอกล้วนมีมุนินทร์ร้อยจั้ง

บ้างนั่งคุกเข่าจุดโคมเขียว

บ้างถือลูกประคำหมุนเบาๆ

บ้างกระชับคทาขักขระ ปากท่องธรรม

และในห้วงอากาศ ก็เห็นเพลิงธรรมไพศาลราวกับแม่น้ำเก้าสวรรค์ไหลหลั่ง ตำราพุทธนับไม่ถ้วนทะยานออกมา เปล่งแสงธรรมไร้สิ้นสุดในห้วงอากาศ ยามคทาขักขระโบกสะบัด ฟ้าดินล้วนปั่นป่วน

ภาพที่เหลือเชื่อเหล่านั้นทำให้คนมากมายเห็นแล้วอ้าปากค้าง สูดหายใจสะท้าน

ว่ากันว่าอวี่เฟิงจื่อแห่งลัทธิฌานเป็นศิษย์พุทธที่หมื่นปีถึงจะมีสักคน ครอบครองรากฐานมหามรรคที่ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา แต่เมื่อเห็นเขาลงมือจริงๆ ถึงพบว่าเขาแข็งแกร่งกว่าที่คิด!

มองไปแวบเดียวก็เห็นบนบัวธรรมห้าดอก มุนินทร์ยืนตระหง่าน ต่างสำแดงอภินิหารที่น่าสะพรึงยากคาดเดา โจมตีไปทางหลินสวินคนเดียวทั้งหมด

ภาพนั้นทำให้คนสิ้นหวังจริงๆ

หลินสวินต่อสู้อยู่ภายใน แม้โจมตีอภินิหารมรรคธรรมต่างๆ จนสลายอย่างต่อเนื่อง แต่ในชั่วขณะก็ไม่สามารถทำอะไรมุนินทร์ห้าองค์นั้นได้

นี่ทำให้คนตกใจ

เหตุการณ์ยามหลินสวินโจมตีศัตรูจนพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ในสายตาของทุกคน อหังการและแข็งกร้าวขนาดไหน ได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย

แต่ตอนนี้กลับแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

“อวี่เฟิงจื่อช่างสมกับเป็นศิษย์พุทธที่ถูกมองว่าจะได้สืบทอดพุทธปัจจุบัน”

มีเฒ่าชราทอดถอนใจ

“แข็งแกร่งมากจริงๆ หากไม่ได้เห็นกับตา ข้ายังคิดว่าข่าวลือพูดเกินจริง”

“การต่อสู้ครั้งนี้น่าสนใจอยู่บ้าง เพียงแต่อยากโจมตีหลินสวินให้พ่ายแพ้คงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนใหญ่คนโตเหล่านั้น จอมมุนีชื่อเย่ยิ้มบางๆ เอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “นี่เพิ่งเริ่มเท่านั้น อวี่เฟิงจื่อยังมีวิชาเยี่ยมยอดมากมายที่ยังไม่ได้สำแดงออกมา ทุกท่านรอดูเถอะ”

ประโยคเดียวทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นใจสะท้าน

“หลายปีมานี้ลัทธิฌานเก็บตัวเงียบ มีข่าวเกี่ยวกับพวกเขาเผยแพร่ออกมาน้อยมาก คิดไม่ถึงว่าดันบ่มเพาะพวกร้ายกาจเช่นนี้ออกมาคนหนึ่ง”

เสวียนเฟยหลิงขมวดคิ้ว เขาเองก็มองออกถึงความแข็งแกร่งของอวี่เฟิงจื่อ

“ภิกษุเหล่านี้เชี่ยวชาญการซ่อนศักยภาพที่สุด ไม่แปลกเลย”

ฟางเต้าผิงพูดง่ายๆ

“ครั้งนี้หากหลินสวินอยากชนะ เกรงว่าคงยากอยู่บ้าง”

ตู๋กูยงถอนหายใจเบาๆ

ด้วยมรรควิถีและสายตาของพวกเขา แน่นอนว่าดูออกว่าการต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสมบูรณ์ อวี่เฟิงจื่อไม่เหมือนกับคู่ต่อสู้คนอื่นๆ

หากบอกว่าสิงจวิ้นเป็นไพ่เด็ดที่หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดใช้ออกมา

เช่นนั้นอวี่เฟิงจื่อก็คือไพ่ตายที่ลัทธิฌานซ่อนมานาน!

ตอนนี้ทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดต่างกลั้นหายใจจดจ่อ

ความองอาจที่อวี่เฟิงจื่อเผยออกมาสะดุดตาเกินไปจริงๆ ทำให้พวกเขาเองก็กังวลแทนหลินสวินเช่นกัน

ตูม!

กระแสปั่นป่วนพัดม้วนในลานมรรคเปิดสวรรค์ แสงธรรมแผ่ขยาย วิชามหัศจรรย์มากมายมาเยือน ราวกับปกคลุมฟ้าดิน โจมตีหลินสวินอย่างรุนแรง

ตอนนี้เองในที่สุดหลินสวินก็รู้สึกถึงแรงกดดัน

นี่ทำให้เขาเลิกคิ้ว ประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าจากนั้นไอสังหารพลันพลุ่งพล่านในใจ

เมื่อไม่นานมานี้พลังปราณของเขาทะลวงขั้นในเรือนเมฆปรกเมืองจันทร์เหมันต์น่านฟ้าที่เจ็ด ทะยานสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลาง

ก็เพราะเช่นนี้ ตอนที่เล่นงานพวกสิงจวิ้นจึงไม่ได้รู้สึกถึงการคุกคามอะไร ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นท่าทีปานบดขยี้

แต่อวี่เฟิงจื่อกลับแตกต่าง

ต่อสู้กับคนผู้นี้ ทำให้หลินสวินรู้สึกถึงแรงกดดันที่รอมานาน นี่พิสูจน์ได้ว่าความสามารถบนมรรคาอมตะของอีกฝ่ายก็เรียกได้ว่าโดดเด่นเหนืออดีตปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ธรรมดาเช่นกัน

“ไม่เลว ไม่คิดว่าจะได้เจอคู่ต่อสู้อย่างเจ้า วันนี้ถือว่าไม่เสียเที่ยวที่ข้ามาสู้ที่นี่” หลินสวินพูด แฝงความทอดถอนใจ

ด้วยมรรควิถีในตอนนี้ของเขา ไม่ง่ายจริงๆ กว่าจะได้เจอคู่ต่อสู้เช่นนี้

“หึ พูดจาโอ้อวด!”

คนใหญ่คนโตหลายคนที่มองหลินสวินเป็นศัตรูแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ

“สหายยุทธ์หลินไม่เคยใช้ศาสตรามรรคอมตะ เห็นได้ชัดว่าออมมือ”

ไกลออกไปสีหน้าของอวี่เฟิงจื่อยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิม

หลินสวินยิ้ม “ฝีมือในตอนนี้ของเจ้ายังขาดความน่าสนใจไปหน่อย รอตอนที่ข้าเค้นความสามารถทั้งหมดของเจ้าออกมาแล้ว ค่อยพิจารณาว่าจะใช้สมบัติหรือไม่ก็ยังไม่สาย”

ว่าพลางเงาร่างของเขายืดเหยียด ฟันฝ่ามือออกไปเป็นปราณกระบี่ที่ลึกล้ำราวกับหุบเหวเป็นสายๆ ม้วนตลบสิบทิศ

หมื่นหุบเหวกลายเป็นกระบี่ กลืนกินสิบฝั่ง

ตูม!

ดอกบัวสีทองที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกพลังทำลายล้างกลืนกินอันน่ากลัวบดขยี้เป็นเสี่ยงๆ โดยตรง มุนินทร์ถือดาบที่ยืนอยู่บนดอกบัวก็ถล่มทลายไปด้วย กลายเป็นแสงทองสาดกระเซ็นทั่วฟ้า

พร้อมกันนั้นบัวสีชาด บัวสีดำ บัวสีเขียว บัวสีเงินล้วนพบเจอการพุ่งโจมตีที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ เงาร่างมุนินทร์แต่ละองค์ล้วนระเบิดออก

มองจากไกลๆ เหมือนพายุคลั่งพัดผ่าน ฉีกกระชากกลีบดอกไม้นับไม่ถ้วนจนแหลกละเอียด!

“นี่…”

“แข็งแกร่งมาก!”

“พลังแห่งหุบเหวกลืนกิน”

เสียงอุทานด้วยความตกใจระลอกหนึ่งดังขึ้นในที่นี้

การโจมตีนี้ของหลินสวินราวกับพายุคลั่งบดขยี้สิบทิศ แข็งแกร่งอย่างที่สุด!

“เจ้าดูสิ ยังขาดความน่าสนใจไปบ้างจริงๆ”

ในลานมรรคเปิดสวรรค์ หลินสวินพูดง่ายๆ

อวี่เฟิงจื่อยิ้มน้อยๆ เก็บปลาไม้แล้วเอ่ยว่า “ฝีมือเช่นนี้ขายหน้าสหายยุทธ์แล้ว ข้าบำเพ็ญฌานมาสามพันหกร้อยกว่าปี ฟังเสียงสวดธรรมมามาก หยั่งถึงวิชาพุทธาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในที่สุดก็เข้าถึงใจความหลักมรรคาอมตะ เพียงแต่ยังไม่เคยมีคนเห็น”

ภายใต้เสียงราบเรียบราวกับสายน้ำ เขาพนมมือก้มหน้าเล็กน้อย จากนั้นกลิ่นอายทั้งร่างพลันเปลี่ยนไป

เงาร่างที่ผอมตอบของเขาราวกับลุกโชน สะท้อนแสงสว่างไร้จำกัด ในแสงนั่นปรากฏเมืองพุทธและหมื่นพระ!

สุดท้ายปรากฎการณ์ประหลาดเหล่านี้ล้วนรวมตัวเป็นแสงกลุ่มหนึ่ง ปรากฏอยู่ในมือทั้งคู่ ราวกับมือแห่งสวรรค์ที่รวมปรากฏการณ์ประหลาดหมื่นโลกทั่วหล้า

บรรดาคนใหญ่คนโตนอกลานมรรคต่างตกใจ เผยสีหน้าประหลาดใจ

มีเพียงจอมมุนีชื่อเย่ที่เผยสีหน้าปลาบปลื้มออกมา

“วิชานี้นามว่า ‘ไร้ขอบเขต’ ได้ชื่อจากทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจจึงพบฝั่ง ผสานมรรควิถี พรสวรรค์ และปัญญาของข้า ตอนนี้ขอสหายยุทธ์เชยชม”

อวี่เฟิงจื่อพูดพลางยื่นมือขวาออกไป ราวกับคีบดอกไม้

ฝ่ามือที่เรียบง่ายเบาสบายตบออกไป

ในห้วงอากาศพลันมีเสียงธรรมดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน สะท้านสะเทือนทั่วฟ้า เพียงแค่เสียงนั่นก็สั่นสะเทือนจนคนมากมายนอกลานมรรคเลือดลมพลิกม้วน จิตใจสั่นไหว สีหน้าเปลี่ยนไปโดนพลัน

ที่ตามมาติดๆ คือแสงธรรมหมื่นจั้งกลบท่วมฟ้าดิน นั่นเป็นประทับฝ่ามือที่เสมือนบดบังท้องฟ้า เมืองพุทธและหมื่นพุทธนับไม่ถ้วนปรากฏกลางฝ่ามือ

ดั่งคำว่าหนึ่งฝ่ามือก่อเกิดเมืองพุทธ!

เมื่อโจมตีออกไป ลานมรรคเปิดสวรรค์สั่นสะเทือนรุนแรง ปรากฏคลื่นพลังผนึกเป็นระลอกๆ

กลับเห็นหลินสวินตาเป็นประกาย ไม่ถอยกลับยังเผชิญหน้า ซัดหมัดหนึ่งออกไป

ยังคงเป็นหมัดที่เรียบง่ายดังเดิม แต่อานุภาพที่สั่งสมอยู่ภายในกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นยิ่งหานแน่นและน่ากลัวกว่าก่อนหน้านี้ แฝงอานุภาพยิ่งใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ ราวกับว่าภายใต้หมัดนี้ แม้เป็นภิกษุเทพสวรรค์ สุดท้ายก็ต้องจิตวิญญาณสลาย

ตูม!

ยามหมัดและฝ่ามือปะทะกัน ทุกคนรู้สึกเพียงว่าแสบหู จิตใจสะท้านไหวรุนแรง จากนั้นพลันรู้สึกแสบตาระลอกหนึ่ง เพราะบนลานมรรคนั่น ประกายศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรูม้วนตัวรุนแรงและเจิดจ้าเกินไป

ราวกับสุริยันดวงโตสองดวงพุ่งชนกันอยู่ภายใน จากนั้นระเบิดออก

มีเพียงคนใหญ่คนโตเหล่านั้นที่มองเห็นอย่างชัดเจนว่า ประทับฝ่ามือที่เรียกได้ว่าตะลึงอดีตและปัจจุบันของอวี่เฟิงจื่อ กลับถูกแรงหมัดของหลินสวินสกัดและคลี่คลาย!

พวกเขาอดหวั่นไหวไม่ได้

“เยือน!”

อวี่เฟิงจื่อกำประทับ ชุดภิกษุโบกพลิ้ว ยิ่งศักดิ์สิทธิ์และว่างเปล่า ประทับที่แปลกประหลาดอันหนึ่งรวมตัว รูปทรงคล้ายสิงห์พยัคฆ์ แต่กลับมีแสงประกายที่สติปัญญาสมบูรณ์แบบไหลพล่าน

ทันทีที่ปรากฏตัว ในประทับฝ่ามือมีเสียงชายฉกรรจ์แปดร้อยคนตะโกนดังก้อง ปกคลุมมา

กลับเห็นหลินสวินถอนหายใจเบาๆ “ดูเหมือนว่าไม่บีบเจ้าสักหน่อย เจ้าคงไม่แสดงไพ่ไม้ตายออกมา”

เงาร่างที่สูงใหญ่สง่างามของเขาเดินเข้าไป พลังอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาเหมือนกลายเป็นหุบเหวใหญ่ เคลื่อนย้ายไปตามแนวขวาง และเหมือนเตาหลอมที่จะกำราบอดีต ปัจจุบันและอนาคต

โครม!

หมัดนี้ตีออกไป ประทับฝ่ามือที่ราวกับสิงห์พยัคฆ์ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ พิรุณแสงสาดกระเซ็นภายใน เงาร่างของหลินสวินพุ่งปราดไป อานุภาพกวาดไปตามแนวขวางเหมือนสายฟ้า บีบคั้นอย่างที่สุด

อวี่เฟิงจื่อหรี่ตาเล็กน้อย สองมือรวบรวมประทับฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวเหมือนแจกันวิเศษ เดี๋ยวเหมือนจักระเทพ เดี๋ยวเหมือนแท่นบัว เดี๋ยวเหมือนกาหยก…

ก็เห็นลานมรรคเปิดสวรรค์ท่องสวดเสียงธรรม แสงธรรมพลุ่งพล่าน ประทับฝ่ามือร้อยพันซ้อนทับกัน กระแทกไปทางหลินสวินราวกับปูพรม

การโต้ตอบของหลินสวินง่ายมาก โบกหมัดเข่นฆ่า ท่าทางผ่อนคลาย

ปังปังปัง!

ก็เห็นประทับฝ่ามือเหล่านั้นล้วนระเบิดออกตรงหน้าเขา เหมือนพลุที่จุดติดอันแน่นขนัด กระแสพิรุณแสงนับไม่ถ้วนม้วนตัวแผ่

และเงาร่างของหลินสวินบีบคั้นอย่างต่อเนื่อง!

ท่าทางที่เหี้ยมหาญ เผด็จการ ทำให้ทั่วลานเดือดพล่าน เสียงอุทานด้วยความตกใจนับไม่ถ้วนดังขึ้น เหมือนยากจะเชื่อ

อวี่เฟิงจื่อแข็งแกร่งเพียงใด กลับยังไม่สามารถขวางการบีบคั้นของหลินสวิน นี่เหนือความคาดหมายของผู้คนเกินไป

เห็นเงาร่างของหลินสวินได้ปรากฏในระยะที่ห่างไปสามจั้ง อวี่เฟิงจื่อกลับไม่ตื่นตระหนก มุมปากกลับเผยรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจ

“บัวบังเกิดวัฏจักร ผลาญใจเป็นโลก”

ท่องธรรมที่สงบเคร่งขรึม ดังออกจากปากของอวี่เฟิงจื่อ

………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน