Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2776 ความน่าสะพรึงในโลงศพ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2776 ความน่าสะพรึงในโลงศพ

ตอนที่ 2776 ความน่าสะพรึงในโลงศพ

ขณะใคร่ครวญ ในใจหลินสวินกระตุกวูบ นึกถึงเรื่องหนึ่ง

มือทั้งคู่ของเขาทำมุทรา

เมื่อชี้ที่หว่างคิ้วของตน แสงสว่างสาดส่อง ทันใดนั้นแสงประกายขุ่มมัวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา ขยายใหญ่ไม่รู้กี่เท่าก่อนจะกลายเป็นโลงศพสำริด!

ของสิ่งนี้วางขวางอยู่อย่างนั้น ยาวเก้าจั้ง ฝาโลงสลักภาพโบราณอย่างจักรวาลฟ้าดารา สุริยันจันทราภูผาธารา บุปผาปักษามัจฉาแมลง มีกลิ่นอายกร้านโลกหนาหนักอบอวล

จ้องมองของสิ่งนี้ แววตาหลินสวินเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยระลอกหนึ่ง

โลงนิรันดร์!

ก่อนหน้านี้ประตูสวรรค์ก็เหมือนกุญแจ เข้ากับโลงศพสำริดนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

และกลางโลงสำริดนั่น ประตูสวรรค์กลายเป็นสัญลักษณ์แผนที่ดวงดาวอันลึกลับ ประหนึ่งวังน้ำวนเร้นลับ ทั้งเหมือนหลุมดำฟ้าดาราหลุมหนึ่ง!

แต่ในสายตาหลินสวิน สัญลักษณ์แผนที่ดวงดาวนี้เหมือนหุบเหวแห่งหนึ่งยิ่งกว่า!

ตอนนี้หลินสวินเข้าใจแล้วว่าโลงนิรันดร์นี้ต้องใช้สายเลือดหุบเหวกลืนกินของตนปลุกขึ้นมา ส่วนประตูสวรรค์ก็คือกุญแจที่สามารถเปิดโลงนี้ได้!

เพียงแต่ตอนนั้นท่านลู่ห้ามเอาไว้ หลินสวินจึงไม่ได้เปิดโลงนี้ออก และไม่รู้ว่าภายในโลงนี้มีอะไรซ่อนอยู่กันแน่

เหตุผลเพราะว่ามรรควิถีของหลินสวินในตอนนั้นไม่เพียงพอ ยังไม่ได้ก้าวสู่มรรคคาอมตะ

แต่ตอนนี้เขามีมรรควิถีระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลางแล้ว สามารถเปิดโลงนี้ได้นานแล้ว

ยามนี้เมื่อจับจ้องโลงนิรันดร์นี้ หลินสวินอดนึกถึงคำพูดที่ท่านลู่พูดไว้ตอนนั้นไม่ได้

‘โลงนี้มีนามว่า ‘นิรันดร์‘ เป็นสิ่งที่ตาทวดของเจ้าได้มาจากแหล่งสถานศุภโชคสมัยเขายังเยาว์ เพราะอาศัยสิ่งนี้ จึงทำให้ตาทวดของเจ้าครอบครองพรสวรรค์ต้องห้ามอย่าง ‘หุบเหวกลืนกิน’ ได้”

‘เป็นเพราะอาศัยพรสวรรค์เช่นนี้ จึงทำให้ตาทวดของเจ้าเหมือนเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา หลังออกมาจากแหล่งสถานศุภโชคก็ผงาดในมรรคาอย่างก้าวกระโดด เปล่งประกายเหนือธรรมดาหาใดเทียบ ในยุคทองของเขา ความแกร่งกล้าของพลังทั้งหมดที่เขามีถึงกับทำให้สิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดยังหวาดกลัว…’

‘ท่านตาทวดเจ้าเคยบอกว่าของสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับมรรคนิรันดร์ ทั้งของสิ่งนี้ยังทำให้ตาทวดเจ้าเจอแผนภาพลับที่พาไปเส้นทางดารานิรันดร์ด้วย แต่มันซ่อนความลับอะไรไว้นั้น มีเพียงให้เจ้าไปค้นหาด้วยตัวเองแล้ว’

……

นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีต ในใจหลินสวินก็ไม่สามารถสงบได้

ครู่ใหญ่หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ลุกขึ้นยืนหน้าโลงนิรันดร์ ก่อนยื่นมือกดบนสัญลักษณ์แผนที่ดวงดาวลึกลับกลางฝาโลงนั่น

ทันใดนั้นหลินสวินรู้สึกเพียงว่าสั่นสะท้านไปทั้งตัว เส้นเลือดทั่วร่างราวกับเดือดพล่าน เกิดจังหวะแปลกประหลาด จนสุดท้ายแม้แต่ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเขาก็ร้อนระอุราวกับลุกโชนขึ้นมา

วู้ม!

ขณะเดียวกันโลงนิรันดร์ที่อบอวลกลิ่นอายกร้านโลกแน่นขนัดก็เกิดการสั่นไหวเล็กน้อย บังเกิดการตอบสนองที่แปลกประหลาดกับพลังขับเคลื่อนรอบตัวหลินสวิน

ก็เห็นบริเวณที่หลินสวินกดมือลง สัญลักษณ์แผนที่ดวงดาวลึกลับหมุนวน กลายเป็นเงาแสงที่ราวกับหุบเหวใหญ่ประหนึ่งจะกลืนกินหลินสวินเข้าไปทั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น

ภาพนี้แปลกประหลาดและลึกลับมาก!

ไม่ทันไรเสียงเสียดสีที่หนักทึบดังขึ้น ฝาโลงสำริดคลายตัว เมื่อถูกหลินสวินออกแรงที่ฝ่ามือผลักก็เผยร่องออกมา

ในส่วนลึกของร่องราวกับมีเสียงถอนหายใจที่คล้ายมีแต่ไม่มีดังขึ้นรางๆ

ชั่วขณะนี้หลินสวินขนลุกซู่ไปทั้งตัว รู้สึกถึงความน่าสะพรึงที่อันตรายถึงชีวิต หัวใจเหมือนถูกมือใหญ่ไร้รูปคว้าจับไว้อย่างรุนแรง

ราวกับเป็นจิตใต้สำนึก เขาปิดฝาโลงนั่นทันที พร้อมกับชักมือที่กดอยู่กลางฝาโลงกลับมา

ทันใดนั้นความน่าสะพรึงที่บอกไม่ถูกนั่นก็หายไป

แต่เสื้อผ้าตรงแผ่นหลังของหลินสวินชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่สามารถสงบได้

ความรู้สึกเมื่อครู่นี้ไม่มีทางรู้สึกไปเองเด็ดขาด น่ากลัวเกินไป ทำเอาเขาถึงขั้นสังหรณ์ว่าหากเปิดโลงนี้ต่อ เป็นไปได้สูงมากว่าอาจประสบเคราะห์ที่ไม่สามารถจินตนาการได้!

‘ท่านลู่เคยบอกว่าหลังจากข้าก้าวสู่มรรคาอมตะก็จะสามารถเปิดโลงนี้ได้ แต่ตอนนี้ดูท่า ความลับที่ซ่อนอยู่ในโลงนี้จะน่ากลัวกว่าที่ท่านลู่พูด!’

หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ‘หรือว่ามรรคมวิถีของข้าในตอนนี้ยังไม่พอให้เปิดโลงนี้’

ก็เป็นตอนนี้เอง…

จู่ๆ ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งบังเกิดระลอกคลื่นหนึ่ง จิตรับรู้ของหลินสวินแทรกเข้าไปก็พลันได้ยินเสียงตะโกนของซย่าจื้อ

“หลินสวิน อย่าทิ้งข้า ข้าไม่ไป!”

เสียงแฝงความลนลานและตื่นตระหนก

หลินสวินนัยน์ตาหดรัดโดยพลัน

มองดูในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งอีกครั้ง ซย่าจื้อนั่งขดตัวบนพื้น สองมือกอดเข่าแน่น ท่าทางตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก หวาดกลัวยากจะสงบ

ในใจหลินสวินเจ็บปวดทันใด ตั้งแต่เล็กจนโตนี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเห็นซย่าจื้อตื่นตระหนก ดูไร้ที่พึ่ง และหวาดกลัวเช่นนี้

ซย่าจื้อเป็นอะไรไป

นางในอดีตต่อให้เผชิญกับความตายก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วด้วยซ้ำ!

“ซย่าจื้อไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่”

หลินสวินฝืนข่มความสงสัยในใจแล้วเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น

ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ซย่าจื้อที่ขดตัวอยู่ตรงนั้นเงยหน้าขึ้นโดยพลัน ในดวงตางดงามกระจ่างใสวาบประกายงุนงงและอึ้งงัน

นางค่อยๆ สงบลง ร่างไม่สั่นแล้ว ราวกับตัวตนของหลินสวินทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างไร้ใดเปรียบ

“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

หลินสวินถามเสียงเบา

ซย่าจื้อส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ เพียงรู้สึกว่าเหมือนมีคนกำลังเรียกข้า จะพาข้าไป เสียงนั่นทำให้ข้ารู้สึกตามสัญชาตญาณว่าไม่สามารถปฏิเสธได้…”

หลินสวินกำสองหมัดเงียบๆ

เขาคิดถึงเมื่อครู่นี้ ยามโลงนิรันดร์นั่นเผยร่องเสี้ยวหนึ่งออกมา เหมือนมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นรางๆ

เป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นเสียงนี้ที่สร้างความหวาดกลัวยิ่งยวดให้กับซย่าจื้อ จนถึงขั้นกลัวว่าจะถูกพาไปจากตน!

“เจ้าวางใจ ไม่มีอะไรแล้ว” หลินสวินปลอบเสียงเบา

“หลินสวิน เจ้าอย่าทิ้งข้าเด็ดขาด” ซย่าจื้อพูดอย่างจริงจัง

นางในชั่วขณะนี้เหมือนกวางน้อยน่าสงสารไร้ที่พึ่ง ทำให้หลินสวินปวดใจขึ้นมาระลอกหนึ่ง

“ไม่มีทางอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจพาเจ้าไปจากข้าได้ ข้าสาบาน” สีหน้าของหลินสวินเองก็จริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน

ซย่าจื้อขานรับว่าอืม นางในตอนนี้เหมือนเหนื่อยล้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ค่อยๆ หลับไป เงาร่างที่สูงเพรียวงดงามขดตัวอยู่ตรงนั้น หมวกม่านสีดำบดบังใบหน้า เผยให้เห็นเพียงปลายคางที่ขาวเป็นประกายราวกับหิมะ

จนกระทั่งครู่ใหญ่หลินสวินถึงเก็บสายตากลับมา ในใจค่อยๆ สงบลง

จากนั้นเขามองไปที่โลงนิรันดร์อีกครั้ง ในสมองนึกถึงความลับที่ท่านลู่พูดตอนนั้น

ความลับนี้เกี่ยวข้องกับตาทวดลั่วทงเทียนของตน

ตอนนั้นหลังจากลั่วทงเทียนได้โลงนิรันดร์มาจากแหล่งสถานศุภโชคไม่นาน ก็พูดกับลู่ป๋อหยาว่า การได้ของสิ่งนี้มาทำให้เขามีโอกาสเปลี่ยนแปลงโชคชะตา

แต่ขณะเดียวกันก็ต้องแปดเปื้อนกฎกรรมแห่งโชคชะตาเช่นกัน!

เพราะเรื่องนี้ ลั่วทงเทียนจึงว้าวุ่นใจ เพราะเขาไม่รู้ว่ากฎกรรมนี้ดีหรือร้าย แต่กลับคาดเดาได้ว่ากฎกรรมนี้จะเกิดขึ้นกับตัวทายาทของเขา…

และจากที่ลู่ป๋อหยาวิเคราะห์ กฎกรรมที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตานี้กำลังเกิดขึ้นกับตัวหลินสวินแล้ว

เพราะในร่างกายของซย่าจื้อมีพลังแห่งพันธนาการโชคชะตา!

ตอนที่ได้รู้ความลับนี้ หลินสวินรู้สึกเหลือเชื่อมาก

โลงนิรันดร์ที่มาจากแหล่งสถานศุภโชค ทำให้ลั่วทงเทียนได้รับพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาแปดเปื้อนกฎกรรมที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตา

และด้วยกฎกรรมนี้ หลังจากผ่านไปในกาลเวลาไร้สิ้นสุด เพราะการปรากฏตัวของซย่าจื้อ ทำให้กฎกรรมเหมือนจะปรากฏขึ้นบนตัวเหลนอย่างเขา

ไม่ว่าใครได้ยินเสียงเช่นนี้เกรงว่าคงรู้สึกเหลือเชื่อกันทั้งนั้น

แต่ตอนนี้หลินสวินกลับรู้สึกรางๆ ว่า ‘กฎกรรมโชคชะตา’ ที่ดูเหมือนเหลือเชื่อนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นจริง!

แหล่งสถานศุภโชค โลงนิรันดร์ หุบเหวกลืนกิน กฎกรรมโชคชะตา…

หากทั้งหมดนี้เป็น ‘เหตุ’ เช่นนั้นเขากับซย่าจื้อก็คือ ‘ผล’!

เพราะโชคชะตาจึงเกิดการมาบรรจบ เหมือนพรหมลิขิต เกิดขึ้นตามกฎกรรมและเหตุผล

“แหล่งสถานศุภโชค…”

หลินสวินเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้า คิดอยากไปแหล่งสถานศุภโชคเสียเดี๋ยวนี้

เพราะโบราณสถานที่ลึกลับนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับโลงนิรันดร์ ซย่าจื้อ และเขา แม้แต่บิดามารดาของเขา ตอนนี้ก็ยังถูกขังอยู่ในนั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่ไม่ได้ไปแหล่งสถานศุภโชคก็เพราะศักยภาพยังไม่เพียงพอ

แต่ตอนนี้สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ปัญหาแล้ว

เช้าวันถัดมา

หลินสวินไปหารองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงที่เรือนเมฆาคลั่ง

ในลัทธิแรกกำเนิดตอนนี้ ในบรรดาคนใหญ่คนโตที่เขาเชื่อใจมากที่สุด เสวียนเฟยหลิงคือหนึ่งในนั้น

“เจ้าจะไปแหล่งสถานศุภโชคหรือ”

เมื่อรู้จุดประสงค์การมาของหลินสวิน เสวียนเฟยหลิงอดประหลาดใจไม่ได้ “ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในจตุโบราณสถานนอกจากแหล่งสถานอัศจรรย์ แหล่งสถานศุภโชคลึกลับและอันตรายที่สุด เมื่อนานมาแล้วในโลกยอดนิรันดร์ก็มีเฒ่าชราไม่น้อยไปเสาะหาแหล่งสถานศุภโชค แต่ล้วนเป็นสองผลลัพธ์”

“หนึ่งคือหาไม่เจอว่าแหล่งสถานศุภโชคอยู่ที่ไหน”

“สองคือหลังจากเข้าสู่แหล่งสถานศุภโชคก็ประสบเคราะห์ใหญ่ หากไม่กายสิ้นมรรคสลายก็ถอยกลับมาอย่างสะบักสะบอม”

“น้อยมากที่จะมีคนได้รับศุภโชคและวาสนาจากในนั้น”

พูดถึงตรงนี้สายตาของเสวียนเฟยหลิงมองไปที่หลินสวิน “ที่พูดเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพื่อห้าม แต่จะเตือนเจ้าว่าด้วยมรรควิถีของเจ้าในตอนนี้ ไปที่แบบนั้นตอนนี้… อันตรายเกินไป”

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้าตัดสินใจแล้ว”

เสวียนเฟยหลิงยิ้ม คล้ายไม่ได้ประหลาดใจ กล่าวว่า “หากเจ้าตัดสินใจแล้วจริงๆ ก็ไปเคี่ยวกรำในแดนศึกยอดมรรคก่อน หากสามารถทะลวงพลังปราณถึงขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลายได้ รอไปตอนนั้นก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นอีกหน่อย”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “รอเจ้าออกจากแดนศึกยอดมรรค ข้าจะแนะนำคนผู้หนึ่งให้เจ้า มีเขาคอยชี้แนะ สามารถช่วยเจ้าได้มากในการมุ่งหน้าไปแหล่งสถานศุภโชค”

“ใครหรือ”

เสวียนเฟยหลิงยิ้มแฝงนัยลึกล้ำ “รอถึงตอนนั้นเจ้าเจอเขาก็จะรู้เอง”

หลินสวินอดรู้สึกจนใจอยู่บ้างไม่ได้ “ผู้อาวุโส เหตุใดต้องรอหลังพลังปราณทะลวงเล่า”

เสวียนเฟยหลิงถลึงตาพูด “สิทธิ์ในการเข้าไปเคี่ยวกรำในแดนศึกยอดมรรคล้ำค่ามาก กว่าข้ากับพวกตู๋กูยงจะขอโอกาสมาให้เจ้าได้ไม่ใช่ง่ายๆ เจ้าจะไม่ถนอมสักหน่อยหรือ”

พูดถึงขนาดนี้หลินสวินก็ได้แต่ตอบรับเท่านั้นแล้ว

“ไปเถอะ ด้วยความสามารถของเจ้า ไม่ถึงหนึ่งปีอาจสามารถทะลวงขั้นจากแดนศึกยอดมรรคก็ได้ ถึงตอนนั้นข้าย่อมมอบสิ่งที่เจ้าคาดไม่ถึงให้”

เสวียนเฟยหลิงยิ้มพูด

“เช่นนั้นข้าน้อยขอลา”

หลินสวินไม่ได้ชักช้า ประสานหมัดคำนับแล้วหมุนตัวจากไป

‘เฒ่าชราโลกยอดนิรันดร์พวกนั้นต่างรู้ดี ว่าโลงนิรันดร์และพรสวรรค์ของลั่วทงเทียนล้วนได้มาจากแหล่งสถานศุภโชค เจ้าหนูอย่างเจ้าตอนนี้กำลังอยู่ในตาพายุปลายยอดคลื่น การไปแหล่งสถานศุภโชคตอนนี้มีแต่จะถูกศัตรูเหล่านั้นไล่ฆ่าเอาน่ะสิ’

เสวียนเฟยหลิงพึมพำในใจ ‘รอไปอีกสักระยะเถอะ ค่อยไปก็ยังไม่สาย…’

เขาส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นจากไป

ตัดสินใจว่าจะไปหอแรกมายาสักหน่อย ไปพบใต้เท้าหัวหน้าหอที่จดจ่อฝึกปราณ ไม่ข้องเกี่ยวทางโลกไม่รู้นานเท่าไหร่แล้วผู้นั้น!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท