Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2780 คนในโลงกับซย่าจื้อ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2780 คนในโลงกับซย่าจื้อ

ตอนที่ 2780 คนในโลงกับซย่าจื้อ

หลินสวินอึ้งไปแล้ว

ในใจโหมซัดอย่างบ้าคลั่ง ไม่สามารถเยือกเย็นได้โดยสมบูรณ์

ซย่าจื้อ!!

เงาร่างสูงเพรียวที่ลอยอยู่ในโลกมืดภายในโลงนั่น มีรูปลักษณ์เหมือนซย่าจื้อไม่มีผิดเพี้ยน ต่อให้พร่ามัวและเลือนราง แต่หลินสวินจะจำไม่ได้ได้อย่างไร

เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

เขาพยายามทำให้ตนเองใจเย็น เบิกตาโตมองเข้าไป

ครู่ใหญ่เขาถึงเห็นชัดว่าในความมืดปานรัตติกาลนิรันดร์นั่น เงาร่างสูงเพรียวแบบบางที่ลอยอยู่เงียบๆ ร่างนั้นไม่ขยับสักนิด

นางสวมชุดสีดำรูปแบบโบราณ ศีรษะสวมเกี้ยวประดับสีดำ สองมือวางอยู่บริเวณท้อง ในมือขวาเล็กบางขาวกระจ่างกุมไม้เท้าเทพที่เหมือนหลอมตีจากหยกดำ

ในไม้เท้าเทพแผ่หมอกคลุมเครืออบอวล บดบังทั้งเงาร่างของนางเอาไว้

แต่ยังสามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าดวงตาทั้งคู่ของนางปิดสนิท บนใบหน้าที่งดงามจนสามารถทำให้ฟ้าดินอับแสงได้ดวงนั้นสงบนิ่งเยือกเย็น

คล้ายกำลังหลับใหล

รูปลักษณ์นั่นเหมือนซย่าจื้อจริงๆ งดงามจนทำให้คนใจสั่น ไม่เหมือนสิ่งที่มนุษย์บนโลกนี้จะมีได้

เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

หลินสวินใจลอยไปครู่หนึ่ง

หากนี่คือซย่าจื้อ แล้วในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งคือใครเล่า

ชั่วขณะนี้จู่ๆ หลินสวินก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง หรือซย่าจื้อที่อยู่เคียงข้างตนตั้งแต่เด็ก เป็น… ร่างแยกหนึ่งของผู้หญิงที่อยู่ในโลงคนนี้

หรือเป็นกายมรรคหนึ่งของนาง

หลินสวินพยายามทำให้ตนสงบลง

ผู้หญิงในโลงนี้สวมเกี้ยวประดับ มือกำไม้เท้าเทพ อีกทั้งรูปแบบเสื้อผ้าบนร่างก็เก่าแก่อย่างที่สุด แผ่กลิ่นอายสูงส่ง

จากจุดนี้สามารถตัดสินได้ว่าฐานะของผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

นอกจากนี้หลินสวินสังเกตเห็นอย่างฉับไว ว่าช่วงเอวของผู้หญิงคนนี้มีหยกประดับสีดำห้อยอยู่ชิ้นหนึ่ง บนนั้นอบอวลด้วยละอองกาลเวลา

นั่นคือกลิ่นอายกาลเวลาที่ดั้งเดิมที่สุด วนเวียนอยู่รอบตัวนาง

นอกจากนี้บนเกี้ยวประดับ บนไม้เท้าเทพ ล้วนแผ่พลังมหามรรคคลุมเครือที่ทำให้หลินสวินไม่อาจเข้าใจได้ น่าสะพรึงเกินไป

วัตถุภายนอกพวกนี้ยิ่งขับเน้นให้ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา

ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้หลินสวินก็ยิ่งประหลาดใจ ผู้หญิงในโลงคนนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับซย่าจื้อกันแน่

ตอนนี้เองเสียงของไท่เสวียนดังขึ้น เผยความตึงเครียดและร้อนรน “สหายน้อย รีบปิดโลงนี้!”

หลินสวินตื่นจากภวังค์ทันที เพิ่งเห็นเอายามนี้ว่าบนใบหน้าละโลกีย์ของไท่เสวียนถึงกับขาวซีดแล้ว

ส่วนพลังมรรคกระบี่ที่ปกคลุมอยู่บนโลงนิรันดร์ก็กำลังจะสลายอยู่รอมร่อ!

หลินสวินลงมือปิดฝาโลงนั่นทันทีโดยแทบไม่มีการลังเลใดๆ

ทันใดนั้นกลิ่นอายน่ากลัวทั้งหมดล้วนหายไป

ส่วนไท่เสวียนถอนใจยาวเหมือนยกภูเขาออกจากอก โบกมือสลายพลังทั้งหมด ยามสายตามองไปยังโลงนิรันดร์อีกครั้งก็แฝงความประหลาดใจแล้ว

“พลังน่ากลัวนัก”

เสวียนเฟยหลิงที่คุ้มครองอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด ตอนนี้สีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่สุดเช่นกัน

แต่ละภาพก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ในสายตาเขา ไม่อาจจินตนาการได้สักนิด ว่าโลงสำริดโลงหนึ่งจะแปลกประหลาดและน่ากลัวได้ขนาดนี้

ยังไม่ทันเปิดออกอย่างสิ้นเชิงก็ทำให้ไท่เสวียนแทบจะยืนหยัดไม่อยู่แล้ว จำต้องยอมแพ้อย่างเด็ดขาด เช่นนั้นพลังของโลงนั่นจะน่าตกตะลึงเพียงใด

ส่วนสีหน้าของหลินสวินก็ไม่สามารถสงบได้ ในใจปั่นป่วนว้าวุ่น

เขาไม่รู้ว่าควรบอกภาพที่เห็นทั้งหมดนั่นกับซย่าจื้อหรือไม่

และไม่รู้ว่าตอนที่ซย่าจื้อรู้เรื่องพวกนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ความกระสับกระส่ายที่พูดไม่ออกวนเวียนอยู่ในใจหลินสวิน

ก็ตอนนี้เองไท่เสวียนเอ่ยว่า “โลงนิรันดร์นี้น่ากลัวมากจริงๆ คนที่อยู่ในโลงถือไม้เท้าเทพ สิ่งที่อบอวลออกมาคือพลังมหามรรคที่เกี่ยวข้องกับพลังแห่งกฎกรรม เกี้ยวประดับที่นางสวม ถึงกับมีระลอกกลิ่นอายของมหามรรคโชคชะตาอยู่รางๆ นี่เหลือเชื่อมากจริงๆ”

“กฎกรรมกับโชคชะตาหรือ!?”

แม้แต่เสวียนเฟยหลิงยังตกใจ สูดหายใจสะท้าน “พวกนี้ล้วนเป็นมหามรรคไร้เทียมทานที่มีเพียงระดับนิรันดร์จึงจะสามารถหยั่งรู้ได้เชียวนะ”

“ไม่ เหยียบย่างระดับนิรันดร์ สามารถหยั่งรู้โชคชะตาได้เล็กน้อยจริงๆ และสามารถสอดส่องถึงนัยเร้นลับแห่งกฎกรรมได้รางๆ แต่หากอยากครอบครอง… นั่นไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

ไท่เสวียนส่ายหน้ากล่าว “ในบรรดาคนที่ข้ารู้จัก ก็มีเพียงเจ้าลัทธิแรกกำเนิดที่ครอบครองวิชาที่ใช้กฎเกณฑ์โชคชะตาบางอย่าง สำหรับพลังของกฎกรรม มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเจ้าลัทธิฌานจะหยั่งถึงนานแล้ว”

“แต่คนในโลงกลับแตกต่าง สมบัติที่นางพกติดตัวและครอบครอง สามารถประทับกลิ่นอายของกฎกรรมและโชคชะตา นี่ไม่ธรรมดายิ่งแล้ว”

พูดถึงตอนท้ายสีหน้าของไท่เสวียนล้วนเหม่อลอย

เขาคือผู้ฝึกปราณระดับนิรันดร์ และมีเพียงเขาที่รู้ชัดที่สุดว่ายอดมหามรรคอย่างโชคชะตาและกฎกรรม เป็นสิ่งต้องห้ามและน่าหวาดกลัวเพียงใด

ครอบครองเพียงหนึ่งอย่าง ก็เพียงพอให้ใช้ได้ไม่มีสิ้นสุดในระดับนิรันดร์แล้ว!

แต่คนในโลงแตกต่างออกไปจริงๆ

“นางเป็นใคร”

เพิ่งพูดออกมาเสวียนเฟยหลิงก็อดมองไปยังหลินสวินที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของหลินสวินแล้ว อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นไปได้มากว่าหลินสวินจะรู้อะไรบางอย่างแล้ว

“นอกจากโชคชะตาและกฎกรรม ยังมีพลังแห่งกาลเวลา”

ก็ตอนนี้เองหลินสวินเอ่ยปาก “บนหยกประดับสีดำที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนาง เต็มไปด้วยกลิ่นอายกาลเวลาที่ลึกลับยากอธิบาย”

ไท่เสวียนและเสวียนเฟยหลิงสบตากัน ในใจยิ่งตกตะลึง

กฎกรรม โชคชะตา กาลเวลา?

ผู้หญิงในโลงเป็นใครกันแน่ คนผู้เดียวครอบครองมรรคไร้เทียมทานสามอย่างได้อย่างไร

สีหน้าของหลินสวินแปรเปลี่ยนอยู่นานกว่าจะเอ่ยเสียงขื่นออกมา “ผู้อาวุโสทั้งสอง นาง… เป็นไปได้สูงมากว่าอาจจะเป็นร่างต้นของคนที่ข้าใส่ใจที่สุดผู้นั้น…”

อะไรนะ!?

ไท่เสวียนและเสวียนเฟยหลิงตะลึง ล้วนแต่ตกใจ

ก็เห็นหลินสวินเก็บโลงนิรันดร์ลงไปแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ที่นี่สามารถขวางการตรวจสอบของระเบียบลัทธิแรกกำเนิดได้หรือไม่”

“ได้”

ไท่เสวียนดีดนิ้วคราหนึ่ง ฟ้าดาราแห่งนี้พลิกม้วนต่อเนื่องโดยพลัน ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่ายไหว สาดแสงประกาย ทั้งจักรวาลฟ้าดาราราวกับกลายเป็นกระบวนผนึกที่ลึกลับไม่อาจคาดเดาแห่งหนึ่ง

พร้อมกันนั้นหลินสวินสัมผัสได้ว่าระเบียบลัทธิแรกกำเนิดที่มีอยู่ทุกแห่งหนสลายหายไป

เขาเรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมาโดยไม่ลังเล เมื่อละอองแสงระลอกหนึ่งสาดพรม ซย่าจื้อที่สวมชุดดำ หมวกม่านบดบังใบหน้า รูปร่างสูงเพรียวก็ปรากฏตัวออกมา

นางคว้ามือของหลินสวินไว้ทันที กล่าวว่า “หลินสวิน เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้ารู้สึกเพียงตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก…”

เสียงกระจ่างใสราวกับเสียงสวรรค์ของนางเผยความประหม่าและกังวลอย่างยากปกปิด มือที่เย็นเฉียบคว้ามือหลินสวินแน่น เหมือนกลัวว่าหากผ่อนแรงเพียงนิดก็จะสูญเสียไปอย่างไรอย่างนั้น

“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัว”

หลินสวินพูดเบาๆ ในใจเกิดความสงสารอย่างบอกไม่ถูก

ซย่าจื้อในตอนนี้เหมือนเด็กที่ต้องการการปกป้องและปลอบประโลม

“ผู้อาวุโสทั้งสอง นี่ก็คือซย่าจื้อ”

หลินสวินกล่าวพลางเลิกหมวกม่านที่บดบังใบหน้าของซย่าจื้อขึ้นเบาๆ ทันใดนั้นใบหน้าที่เรียกได้ว่างดงามสมบูรณ์แบบก็เผยออกมา…

แม้ไท่เสวียนกับเสวียนเฟยหลิงจะเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว แต่ยามเห็นรูปลักษณ์ของซย่าจื้อ ต่างไม่อาจเยือกเย็นได้ อึ้งงันไปครู่หนึ่ง สีหน้าล้วนเปลี่ยนไป

นอกจากเสื้อผ้าไม่เหมือนกัน หน้าตาและรูปร่างนั้นไม่เพียงแค่คล้าย และไม่ใช่ละม้าย แต่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน!

“นี่…”

เสวียนเฟยหลิงจนคำพูดไปชั่วขณะ

ผู้หญิงในโลง ดันมีรูปลักษณ์เหมือนคนที่หลินสวินใส่ใจที่สุด ความจริงข้อนี้เหลือเชื่อเกินไปจริงๆ

ไท่เสวียนเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังใคร่ครวญอะไร

ซย่าจื้อไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ นางจับมือหลินสวินไว้ตลอด เช่นนี้ถึงทำให้นางรู้สึกวางใจ สำหรับเรื่องอื่น นางไม่เคยสนใจมาแต่ไหนแต่ไร

ขอเพียงแค่หลินสวินอยู่ด้วยก็พอแล้ว

“ผู้อาวุโส ท่านมองอะไรออกบ้างหรือไม่”

เห็นไท่เสวียนเงียบไป หลินสวินอดถามไม่ได้

“เชิญแม่นางที่อยู่ข้างๆ เจ้าหลบไปชั่วคราวก่อน” ไท่เสวียนกล่าว

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ มองซย่าจื้อแล้วพูดเสียงเบา “กลับเข้าเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก่อน เดี๋ยวข้าค่อยคุยเรื่องพวกนี้กับเจ้า”

ซย่าจื้อลังเลอยู่ครู่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด เหมือนอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ยังตอบรับ “อืม”

จนกระทั่งมองเห็นเงาร่างของซย่าจื้อหายไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ไท่เสวียนถึงเอ่ยว่า “แม่นางซย่าจื้อคนนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นวิญญาณชีวิตของคนในโลง หรือก็คือ ‘ครรภ์แรกกำเนิด’ ในสายตาของผู้ฝึกปราณอย่างพวกเรา”

วิญญาณชีวิต!

ในหัวหลินสวินมีเสียงดังหึ่ง มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าวิญญาณชีวิตคืออะไร

เหล่าผู้ฝึกปราณล้วนมีวิญญาณชีวิต หากถูกทำลายจะไม่สามารถฟื้นคืนได้อีก

เพียงแต่ข้อสรุปนี้กลับทำให้หลินสวินยิ่งรับมือไม่ทัน ไม่ใช่ร่างแยกมหามรรค แต่เป็นวิญญาณชีวิต!

นี่ไม่ใช่หมายความว่า หากคนในโลงอยากตื่นขึ้นมา ก็จะชักนำซย่าจื้อกลับร่าง ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับนางหรือ

แต่ถึงตอนนั้นซย่าจื้อจะยังเป็นซย่าจื้อหรือไม่

“วางใจ นี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร หากให้แม่นางซย่าจื้อคนนี้กลับคืนสู่ร่างต้นของตน บางทีอาจได้ความทรงจำและประสบการณ์ในอดีตของนางกลับคืนมา สำหรับนางควรเป็นเรื่องดีถึงจะถูก”

เสวียนเฟยหลิงเดินเข้าไปตบไหล่หลินสวินเบาๆ เขามองออกว่าในใจหลินสวินปั่นป่วน

แต่ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ในใจหลินสวินยิ่งหนักอึ้ง อดพูดไม่ได้ “แต่ถึงตอนนั้น คนที่ข้าใส่ใจที่สุดก็จะเปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิงแล้ว…”

เสวียนเฟยหลิงอึ้งไป เพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกของหลินสวิน ในใจก็อดรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาไม่ได้ นี่… เป็นโจทย์ยากจริงๆ!

หากไม่ให้ซย่าจื้อกลับร่างต้น เช่นนั้นต่อไปนางก็ถูกกำหนดให้ไม่มีวันได้รู้ชาติกำเนิดของตน และไม่รู้ว่านางเป็นใครกันแน่

แต่ถ้านางผสานกับร่างต้น ความทรงจำในอดีตจะต้องฟื้นคืนมา สืบทอดสติปัญญาในอดีต ถึงตอนนั้นนางจะยังจำหลินสวินได้หรือไม่

ยุ่งยากจริงๆ!

เสวียนเฟยหลิงปวดหัวขึ้นมา

กลับเห็นไท่เสวียนเอ่ยปาก “พวกเจ้าเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ตอนนี้ เห็นชัดว่าเกินความจำเป็นไปหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้แล้วว่าในร่างของแม่นางซย่าจื้อปิดผนึกพลังของโชคชะตาอยู่ หากผนึกนี้ไม่ถูกสลายไปอย่างสิ้นเชิง นางก็ไม่มีทางมีโอกาสผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างต้นได้”

“หากข้าเดาไม่ผิด เป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นร่างต้นของนางที่ทิ้งผนึกนี้เอาไว้!”

“หากชาตินี้แม่นางซย่าจื้อไม่มีความสามารถสลายผนึกในร่างได้ เช่นนั้นชาตินี้นางก็คือซย่าจื้อ ไม่มีทางเกิดการปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับคนในโลงอีก ในความเห็นข้า บางทีนี่อาจเป็นเรื่องที่คนในโลงใคร่ครวญมาเป็นอย่างดีตั้งแต่แรกแล้ว”

“พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นสิ่งที่นางจัดแจงกับวิญญาณชีวิตของตน”

ฟังจบหลินสวินก็กล่าวอย่างตะลึง “แต่ตอนนั้นเหตุใดนางต้องทำเช่นนี้”

แววตาไท่เสวียนลุ่มลึก กล่าวว่า “หากไม่ผิดจากที่คาดมีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือเพื่อทะลวงมรรควิถีของตน จึงตัดสินใจสร้างอีกหนทาง แยกวิญญาณชีวิตออกไป ฝึกมหามรรคใหม่ เหมือนกับการกลับชาติมาเกิด เพื่อให้การทะลวงบนมรรควิถีสำเร็จผล”

“อีกอย่างกลับเป็นไปได้สูงมากว่าอาจเจอพิบัติภัยที่ไม่สามารถต้านทานได้ ไม่อาจไม่แยกวิญญาณชีวิตออกไป เพื่อแลกโอกาสในการฟื้นตื่นอีกครั้งในอนาคต!”

หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้

ทั้งหมดนี้จะเป็นอย่างที่ผู้อาวุโสไท่เสวียนพูดหรือไม่

ก็เป็นตอนนี้เองที่เสวียนเฟยหลิงเอ่ยปากขึ้นว่า “ข้าสงสัยว่าที่คนในโลงทำเช่นนี้ น่าจะเพื่อหลบภัย!”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท