Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2787 มังกรติดหาดตื้น

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2787 มังกรติดหาดตื้น

ตอนที่ 2787 มังกรติดหาดตื้น

ไม่อยากตายก็คุกเข่า ยอมจำนนซะ

ประโยคเดียวราบเรียบง่ายๆ แต่แววดูหมิ่นในนั้นไม่ปกปิดแม้แต่น้อย

หลินสวินไม่ได้เจอภัยคุกคามเช่นนี้มาหลายปีแล้ว เขาอดเลิกคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ จากนั้นจึงพยักหน้ากล่าวเหมือนเข้าใจ “ก็ถูก ที่นี่คือแผ่นดินของเจ้าเผ่าเทพต้าฉิน กระทำเช่นนี้ก็ไม่แปลก”

“เจ้าคิดว่าข้าบ้าระห่ำ นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่เข้าใจความเป็นจริง”

ห่างออกไปฉินเซ่าเหมิ่งสีหน้าราบเรียบ “ก่อนหน้านี้ไม่ว่ามรรควิถีของเจ้าร้ายกาจแค่ไหน แต่ตอนนี้เจ้าเป็นแค่เจ้าตัวจ้อยที่มีพลังระดับแปดทิศคนหนึ่ง”

ระดับแปดทิศ เท่ากับระดับกึ่งจักรพรรดิ

แน่นอนว่าหลินสวินฟังความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายออก เขาอดยิ้มไม่ได้ “เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ลงมือโดยตรงเล่า”

“คนที่กล้าถือกระบี่ศุภโชคบุกเดี่ยวเข้าแดนเทพต้าฉินต้องเตรียมตัวมาแน่ มรรควิถีของเจ้าอาจยังไม่ปรับเข้ากับกฎระเบียบฟ้าดินของโลกนี้ แต่ยากรับรองว่าในมือมีไพ่ตายบางอย่างอยู่หรือไม่”

ฉินเซ่าเหมิ่งกล่าวเนิบๆ “ข้าไม่มีทางทำผิดพลาดกับเรื่องแบบนี้”

หลินสวินกล่าว “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร

“รอ”

ฉินเซ่าเหมิ่งพูดง่ายๆ “รอเหล่าผู้อาวุโสเผ่าข้ามาแล้ว ต่อให้ในมือเจ้ามีไพ่ตายก็ไม่มีภัยคุกคามอีก”

“หากข้าจากไปตอนนี้เล่า”

หลินสวินกล่าว

“ข้าอาจขวางไพ่ตายของเจ้าไม่อยู่ แต่กลับถอยหลบได้ จากนั้นก็ตามเจ้าต่อ เจ้าคิดว่าหากเป็นเช่นนี้จะมีโอกาสชนะหรือไม่”

ฉินเซ่าเหมิ่งทำท่าเหมือนกำชัยไว้แล้ว ดูมั่นใจยิ่งนัก

“ไม่อาจไม่พูด เจ้าเป็นคนฉลาด”

หลินสวินชื่นชม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ไปแล้ว เจ้ากับข้าไม่สู้ถือโอกาสนี้คุยกันหน่อยเป็นอย่างไร”

ฉินเซ่าเหมิ่งมุ่นคิ้ว ดูออกว่าหลินสวินมีความมั่นใจนัก มองความตื่นตระหนกใดไม่ออกแม้เศษเสี้ยว นี่ทำให้เขาคาดเดาไม่ถูกไปชั่วขณะอยู่บ้าง

“คุยอะไร” ฉินเซ่าเหมิ่งกล่าว

“เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร” หลินสวินถาม

ฉินเซ่าเหมิ่งกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่เผ่าเทพต้าฉินของข้าหาไม่เจอ”

หลินสวินยิ้มกล่าว “นี่เป็นคำพูดไร้สาระ”

ฉินเซ่าเหมิ่งเอ่ย “หากเจ้าบอกชื่อและความสัมพันธ์ของเจ้ากับลั่วทงเทียน รวมถึงเป้าหมายการมาแดนเทพต้าฉินครั้งนี้กับข้า ข้าก็จะบอกคำตอบที่เจ้าอยากรู้โดยไม่ถือสา”

หลินสวินพยักหน้ายินดี “หลินสวิน ลั่วทงเทียนคือตาทวดข้า ครั้งนี้มาช่วยบิดามารดาที่ติดอยู่ในนี้”

ภายใต้การจ้องมองของเขา สีหน้าของฉินเซ่าเหมิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไม่ประหลาดใจหรือผิดคาด แต่เผยสีหน้าเข้าใจเหมือนเป็นจริงดังคาด

นี่ทำให้หลินสวินระบุเรื่องหนึ่งได้ทันที เจ้าหมอนี่รู้เรื่องที่บิดามารดาของตนติดอยู่ในนี้!

“ตาเจ้าแล้ว”

หลินสวินกล่าวโดยไม่เผยสีหน้า

ฉินเซ่าเหมิ่งกล่าว “บอกเจ้าก็ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่เป็นผู้ปรากฏตัวในเขตหวงห้ามที่เก้า กลิ่นอายบนตัวจะถูกพลังระเบียบของเผ่าข้าจดจำ เพียงควบคุมสมบัติลับระเบียบ ไม่ว่าเจ้าซ่อนกลิ่นอายอย่างไรก็สัมผัสและจับร่องรอยของเจ้าได้”

ในใจหลินสวินหนักอึ้ง ที่แท้เป็นเช่นนี้

นี่ก็หมายความว่าต่อให้ฆ่าฉินเซ่าเหมิ่งไป บนหนทางต่อจากนี้เผ่าเทพต้าฉินก็ยังพึ่งพาสมบัติลับระเบียบในมือมาจับร่องรอยของตนได้

นอกเสียจากว่าจะทำลายพลังระเบียบที่ปกคลุมรอบเขตหวงห้ามที่เก้านั้นจนสิ้น!

หลินสวินนึกถึงตรงนี้แล้วไหวหวั่นอยู่บ้าง

กำลังพลที่รักษาการณ์ใกล้เขตหวงห้ามที่เก้าไม่มีภัยคุกคามมากนัก ทั้งเผ่าเทพต้าฉินยังรู้ว่าตนหนีออกมาจากเขตหวงห้ามที่เก้าแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครจะคิดว่าตนจะกลับไปเขตหวงห้ามที่เก้าอีก

และใครจะรู้ว่าระเบียบนิพพานในมือตน สามารถทำลายพลังระเบียบของเขตหวงห้ามที่เก้านั้นได้โดยง่าย

“เจ้าไม่คิดหนีไปตอนนี้จริงรึ หรือจะบอกว่าไพ่ตายในมือเจ้าทำให้เจ้ามั่นใจว่าจะรับมือกับเคราะห์สังหารต่อจากนี้ได้”

ห่างออกไปฉินเซ่าเหมิ่งเอ่ยเสียงราบเรียบ

หลินสวินยิ้มพลางกล่าว “เป็นอย่างที่เจ้าบอกก่อนหน้านี้ หนีไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำไมต้องหนีด้วย”

หัวคิ้วฉินเซ่าเหมิ่งขมวดขึ้นเล็กน้อย ในใจคาดเดาเบื้องลึกของหลินสวินไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม

หากอยู่ในช่วงปกติ เขาย่อมบดขยี้ระดับแปดทิศคนหนึ่งได้ง่ายๆ ไม่อยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง

แต่หลินสวินต่างออกไป เขาไม่ใช่ระดับแปดทิศอย่างแท้จริง แค่มรรควิถียังไม่สอดรับกับกฎระเบียบฟ้าดินแถบนี้ ทั้งเขายังกล้ามาแดนเทพต้าฉินด้วย ต้องมีไพ่ตายรักษาชีวิตแน่

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฉินเซ่าเหมิ่งดูไม่ออก

“กำลังวางมาดตบตาหรือไม่ลองดูก็รู้ เจ้ากล้ารับกระบี่ของข้าไหม” ฉินเซ่าเหมิ่งนัยน์ตาเฉียบคม

หลินสวินกล่าวง่ายๆ “เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าเอาชีวิตตัวเองมาลองเสี่ยงดีกว่า”

ฉินเซ่าเหมิ่งเงียบไป

“ในมือข้าก็มีไพ่ตาย ใช่ว่าจะต้านการโจมตีจากไพ่ตายของเจ้าไม่อยู่”

หลังจากนั้นครู่หนึ่งฉินเซ่าเหมิ่งเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดุจอสนี เอ่ยปากเย็นชา

ขณะที่เสียงนี้ดังขึ้น

ฟุ่บ!

ปราณกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหัน ฟันไปทางหลินสวิน เร็วจนน่าเหลือเชื่อ

ตั้งแต่ต้นจนจบฉินเซ่าเหมิ่งยืนนิ่งอยู่จุดเดิม ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกเหมือนว่ากระบี่นี้เขาไม่ได้เป็นคนลงมือ

ด้วยเหตุนี้จึงดูกะทันหันและน่ากลัว ทำให้คนตั้งตัวไม่ทัน

ปัง!

ปราณกระบี่นี้ระเบิดออกต่อหน้าหลินสวิน ถูกมือใหญ่เรียวยาวกว้างหนาข้างหนึ่งบดขยี้โดยง่าย

เจ้าของมือใหญ่ข้างนี้ แน่นอนว่าเป็นรูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิง!

“นี่ก็คือแหล่งสถานศุภโชคหรือ กฎระเบียบฟ้าดินมีเอกลักษณ์นัก”

เสวียนเฟยหลิงทอดถอนใจ “น่าเสียดาย ร่างต้นของข้าไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้หยั่งรู้ที่นี่สักรอบ ไม่แน่ว่าอาจมีประโยชน์ต่อการทะลวงระดับนิรันดร์ของข้า”

รูปจำลองเจตจำนง ควบรวมพลังและจิตรับรู้ของผู้ฝึกปราณคนหนึ่งไว้

แต่ขอแค่ใช้พลังจนหมดก็จะสลายไป

เสวียนเฟยหลิงเป็นถึงระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ รูปจำลองเจตจำนงที่ควบรวมออกมาย่อมแข็งแกร่งหาใดเปรียบ

ฉินเซ่าเหมิ่งนัยน์ตาหดรัด รูปจำลองเจตจำนงของระดับจอมยุทธ์ด่านสาม!

“ผู้อาวุโส ที่นี่คือแดนเทพต้าฉิน หนึ่งในซากสถานยุคสมัยมากมายของแหล่งสถานศุภโชค สิ่งสำคัญกว่าคือท่านจัดการกับเจ้าคนขวางหูขวางตาตรงหน้านั่นก่อนดีไหม”

หลินสวินพลันจนปัญญา

รูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิงหัวเราะลั่นขึ้นมา “รีบอะไร แค่หมัดเดียวก็พอแล้ว”

เขาพูดพลางเหวี่ยงหมัดออกไปลวกๆ

ปัง!

ห่างออกไปแสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดกระจาย ยันต์สีทองที่ถูกฉินเซ่าเหมิ่งนำมาขวางตรงหน้าในพริบตาระเบิดสนั่นภายใต้หมัดนี้

ภายใต้การโจมตี เงาร่างฉินเซ่าเหมิ่งถูกซัดจนกระเด็นลอยออกไปอย่างแรง จมูกปากกบเลือด

เขาไม่อาจสนใจสิ่งอื่น เคลื่อนย้ายแหวกอากาศหนีตายทันที

ในใจตื่นตระหนกถึงขีดสุด

ยันต์สีทองนั่นก็คือไพ่ตายของเขา ภายในแฝงพลังระเบียบแข็งแกร่ง แต่กลับถูกหมัดหนึ่งทำลาย!

“ฮึ!”

ไม่อาจฆ่าฉินเซ่าเหมิ่งได้ในหมัดเดียว ทำให้รูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิงแทบแขวนหน้าเอาไว้ไม่อยู่ ระหว่างแค่นเสียงเย็นชาเขาก็ออกหมัดอีกครั้ง

“ไม่…!”

“อย่าฆ่า…”

เสียงร้องของฉินเซ่าเหมิ่งกับเสียงของหลินสวินแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน

แต่ล้วนช้าไปก้าวหนึ่ง

ตูม!

ใต้เวิ้งฟ้าที่ห่างไกล ร่างของฉินเซ่าเหมิ่งระเบิดกระจุยราวกับดอกไม้ไฟสีเลือดแดงก่ำเบ่งบานอยู่ตรงนั้น งามวิจิตรจนทำให้คนใจสั่น

ต่อมาหมอกโลหิตพวกนั้นก็สลายไป

หลินสวินยิ้มขื่นไปพักหนึ่ง เดิมเขาอยากจับตัวฉินเซ่าเหมิ่งเพื่อสืบหาสถานที่ที่บิดามารดาติดอยู่ แต่เห็นชัดว่าตอนนี้คงไม่ได้แล้ว

“เจ้าตัวจ้อยเช่นนี้ ฆ่าๆ ไปเถอะ”

เสวียนเฟยหลิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

หลินสวินพลันฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ทำไมพลังรูปจำลองเจตจำนงของท่านไม่ถูกกดข่มโดยกฎระเบียบฟ้าดินแห่งนี้เล่า”

“อะไรเรียกว่าหลุดพ้น ก็คือหลุดพ้นเหนือกฎระเบียบฟ้าดินบนมหามรรค ถึงตอนนั้นพลังมหามรรคที่เป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัยหนึ่ง ย่อมไม่อาจผูกมัดกำราบมรรควิถีของเจ้าได้”

เสวียนเฟยหลิงกล่าวง่ายๆ “รอเจ้าบรรลุถึงขั้นหลุดพ้นก็จะเข้าใจ”

ก็ในตอนนี้เอง…

เสียงทลายอากาศดังขึ้นแต่ไกล

จากนั้นเงาร่างสามสายพลันปรากฏตัวกลางอากาศ เป็นผู้เฒ่าสามฉินจิงเทียน ผู้เฒ่าสี่ฉินจิงเหวิน ผู้เฒ่าห้าฉินจิงเลวี่ยแห่งเผ่าเทพต้าฉิน

“เซ่าเหมิ่งถูกฆ่าแล้ว!”

เมื่อกวาดมองโดยรอบ ฉินจิงเทียนหน้าคล้ำเขียว หันมองหลินสวินกับรูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิง “ดูท่าว่าพวกเจ้าคงเป็นคนทำ”

“รูปจำลองเจตจำนงของระดับจอมยุทธ์ด่านสาม นี่ก็คือไพ่ตายของคนผู้นี้”

ฉินจิงเหวินแววตาไหววูบ ไอสังหารแผ่ซ่านไปทั้งตัว

“ฟัน!”

ฉินจิงเลวี่ยยิ่งตรงไปตรงมา ลงมือตั้งแต่พริบตาแรกทันที

กระบี่มรรคเล่มหนึ่งเปล่งแสงเงินบาดตา สะบั้นเวิ้งฟ้า ฟันใส่รูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิง

ในกระบี่มรรคนั้นประทับพลังระเบียบลึกลับชวนประหวั่นไว้

เห็นชัดว่าแม้ฉินจิงเลวี่ยจะโกรธ แต่ก็รู้ว่าหากคิดจัดการรูปจำลองเจตจำนงอย่างเสวียนเฟยหลิง ย่อมจำเป็นต้องใช้ไพ่ตาย

เสวียนเฟยหลิงขมวดคิ้ว จับบ่าหลินสวินแล้วพุ่งวาบ หลบการโจมตีนี้ได้อย่างไร้อันตราย

ขณะเดียวกันเขาสื่อจิตกล่าวรวดเร็ว ‘เห็นชัดว่าอีกฝ่ายพกไพ่ตายมากมายมาด้วย ถ้าแค่คนเดียวพลังรูปจำลองเจตจำนงของข้ายังรับมือได้ แต่หากสามคนเข้ามาพร้อมกัน ต่อให้รูปจำลองเจตจำนงของข้าทุ่มพลังทั้งหมดก็เกรงว่าคงกำจัดพวกเขาไม่ได้…’

‘ผู้อาวุโส ไม่ต้องพูดมากความ หนีก่อนเถอะ’

หลินสวินกล่าวอย่างรวดเร็ว

‘ได้’

เสวียนเฟยหลิงพยักหน้า

ตูม!

ครู่ต่อมาเขาก็กลายเป็นแสงสายหนึ่ง พาหลินสวินเคลื่อนย้ายจากไป

“คิดหนีรึ ไม่มีทาง!”

พวกฉินจินเทียนไล่ตามไปทันที

การตามล่าเปิดฉากขึ้นแล้ว

ระหว่างทางหลินสวินสื่อจิตอย่างรวดเร็ว ‘ผู้อาวุโส ไปตามทางนี้แปดหมื่นลี้จะพบสถานที่หนึ่งนามว่าเขตหวงห้ามที่เจ็ด ถ้าหนีไปถึงที่นั่นบางทีสถานการณ์อาจพลิกผัน’

‘ให้ตายเถอะ ข้าไม่เคยถูกพวกสวะขั้นดับเทพตามล่ามานานแล้ว หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้ใช้พลังของรูปจำลองเจตจำนง มีหรือจะถูกคุกคามได้เช่นนี้’

เสวียนเฟยหลิงกล่าวอย่างเดือดดาล แต่จากนั้นเขาก็กล่าวเตือน ‘เจ้าหนู อย่าใช้พลังเจตจำนงที่เจ้าเฒ่าไท่เสวียนมอบให้ตอนนี้เด็ดขาด สิ้นเปลืองเกินไป ไม่คุ้มค่า หากไม่เจอพวกเฒ่าชราขั้นหลุดพ้น ย่อมไม่คู่ควรให้เจ้าเฒ่าไท่เสวียนลงมือ’

เขาพูดพลางเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ความเร็วถึงขั้นสะเทือนใต้หล้า ชั่วพริบตาก็พุ่งมาไกลพันหมื่นลี้

ด้านหลังพวกฉินจิงเทียนไล่ตามมาติดๆ

แม้ไม่อาจตามทันในช่วงสั้นๆ แต่ความเร็วก็ชวนตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

‘ผู้อาวุโส อดทนจนถึงเขตหวงห้ามที่เจ็ดนั่นก่อน รอมรรควิถีของข้าฟื้นคืน พวกเราร่วมมือกันต่อสู้ ถึงตอนนั้นการฆ่าเฒ่าชราสามคนนี้ก็จะง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ’ หลินสวินสื่อจิตอย่างรวดเร็ว

ในมือเขามีไพ่ตายไม่น้อย

อย่างเช่นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง อภินิหารหยุดเวลา ดาบกาลเวลา ประตูเนรเทศเป็นต้น

อีกทั้งซย่าจื้อก็สำแดงพลังต้องห้ามเย้ยฟ้าอย่างหนึ่งพร้อมเขาได้ สามารถซัดอีกฝ่ายจนพินาศได้ในคราเดียว ปีนั้นเทพมารตี้สือก็ถูกเขากับซย่าจื้อเล่นงานจนกลายเป็นเด็กชื่อ ‘โก่วตั้น’

แต่ตอนนี้ยังใช้ไพ่ตายพวกนี้ไม่ได้

ด้วยมรรควิถีที่เขาใช้ได้ยามนี้อยู่แค่ระดับกึ่งจักรพรรดิ ต่อให้ใช้อภินิหารหยุดเวลาก็มีโอกาสสูงว่าจะไม่เกิดประโยชน์

‘ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว ยังดีที่แค่หนีตาย ใช้พลังจากรูปจำลองเจตจำนงของข้าไม่มาก ยังยืนหยัดได้ช่วงหนึ่ง…’

เสียงของเสวียนเฟยหลิงเจือความอัดอั้น

นึกถึงว่าเขาซึ่งเป็นขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์คนหนึ่ง หากอยู่ในโลกยอดนิรันดร์ล้วนกล้ามองข้ามภัยคุกคามจากสิบยักษ์ใหญ่แห่งน่านฟ้าที่แปด

แต่ตอนนี้รูปจำลองเจตจำนงกลับถูกระดับอมตะขั้นดับเทพสามคนตามล่า…

รสชาตินี้ทำให้เสวียนเฟยหลิงมีความรู้สึกเหมือนเป็นมังกรติดหาดตื้น[1]อย่างอดไม่ได้

……………………

[1] มังกรติดหาดตื้น มาจากสำนวน มังกรติดหาดตื้นกุ้งรังแก เป็นการเปรียบเปรยถึงวีรบุรุษหรือผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อเสื่อมอำนาจหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยก็มักจะถูกคนพาลกลั่นแกล้งรังแก ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา ไม่สามารถแสดงความสามารถออกมาได้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท