Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2788 เพี๊ยะๆๆ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2788 เพี๊ยะๆๆ

ตอนที่ 2788 เพี๊ยะๆๆ

เขตหวงห้ามที่เจ็ด

ห้วงอากาศปั่นป่วนที่แหลกละเอียดเปลี่ยนเป็นพายุโหมซัดกระหน่ำ

ห่างออกไปพวกฉินจิงเทียนหยุดเท้า สีหน้าอึมครึม ด้วยระดับของพวกเขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปในห้วงอากาศปั่นป่วนแถบนั้น

ก่อนหน้านี้ยามพวกเขาไล่ตามมาถึงที่แห่งนี้ ก็เห็นหลินสวินกับเสวียนเฟยหลิงซ่อนตัวในเตากระบี่แล้วพุ่งเข้าไปในห้วงอากาศปั่นป่วนพอดี เพียงพริบตาก็หายลับไป

“บัดซบ!”

ในใจฉินจิงเทียนเต็มไปด้วยความเดือดดาล

“คนผู้นี้จะตายในนั้นหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของพวกเราไม่นับว่าล้มเหลวหรือ”

ฉินจิงเหวินมุ่นคิ้วกล่าว

“ไม่มีทาง”

ฉินจิงเลวี่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “หากรู้ว่าต้องตาย พวกเขาย่อมเลือกสู้กับพวกเราสุดชีวิตแน่ แต่พวกเขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น นี่พิสูจน์ว่าพวกเขามั่นใจว่าต้านทานแรงโจมตีของห้วงอากาศปั่นป่วนได้อย่างไม่ต้องสงสัย”

ฉินจิงเทียนกับฉินจิงเหวินได้ยินดังนี้ก็สงบลง

“จิงเหวิน เจ้าไปบริเวณที่เซ่าเหมิ่งสิ้นชีพ ใช้พลังระเบียบย้อนดูว่าเจอข้อมูลที่มีประโยชน์จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้หรือไม่”

ฉินจิงเทียนตัดสินใจ “จิงเลวี่ย เจ้าส่งข่าวกลับเผ่า แจ้งเรื่องกับหัวหน้าเผ่า ทั้งให้เขาส่งกำลังมาที่นี่ ปิดทางเข้าของเขตหวงห้ามที่เจ็ดนี้ทั้งหมด”

“ส่วนข้าจะคอยดูแลอยู่ที่นี่”

“ได้”

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยรับคำสั่งจากไป

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม

เงาร่างของฉินจิงเหวินหวนกลับมา กล่าวว่า “ตอนเซ่าเหมิ่งมีชีวิตอยู่เคยถามฐานะของคนผู้นั้น เขาชื่อว่าหลินสวิน เป็นเหลนของลั่วทงเทียน ครั้งนี้มาแดนเทพต้าฉินเพื่อช่วยสามีภรรยาลั่วชิงสวินที่ติดอยู่ในแดนผนึกเรืองแสงจริงๆ”

“หลินสวิน…”

ฉินจิงเทียนจำชื่อนี้ไว้เงียบๆ

คืนวันนั้นฉินจิงเลวี่ยก็กลับมา ทั้งพาผู้แข็งแกร่งกลุ่มใหญ่มาด้วย ล้วนมาจากขุมอำนาจใหญ่เก้าแห่งที่อยู่ใต้อาณัติเผ่าเทพต้าฉิน

‘หัวหน้าเผ่าบอกว่าไม่อาจเคลื่อนกำลังคนในตระกูลได้มากนัก ไม่อย่างนั้นจะมีโอกาสดึงดูดความสนใจของสามเผ่าเทพชั้นยอดนั่น ดังนั้นจึงระดมพลผู้แข็งแกร่งในเก้าขุมอำนาจที่เป็นบริวารของตระกูลเรามา’

ฉินจิงเลวี่ยสื่อจิตกล่าว ‘เก้าขุมอำนาจใหญ่นี้ต่างส่งผู้แข็งแกร่งระดับจอมยุทธ์ด่านแรกมาหนึ่งคน และนำคนในตระกูลมาสามร้อยคน ปัจจุบันปิดทางเข้าเขตหวงห้ามที่เจ็ดไว้หมดแล้ว’

เมื่อฟังจบฉินจิงเทียนวางใจลงไม่น้อย กล่าวว่า ‘ปล่อยข่าวออกไปหรือยัง’

ฉินจิงเลวี่ยยิ้มกล่าว ‘เพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นลมและการดึงดูดความสนใจของโลกภายนอก ข้ากระจายข่าวออกไปแล้วว่าพวกเราทำเช่นนี้เพื่อจับศัตรูคนหนึ่งในเขตหวงห้ามที่เจ็ด ทั้งบอกเหตุผลที่ไม่อาจโจมตีได้ เชื่อว่าต่อให้คนภายนอกรู้ก็ไม่มีทางนึกถึงเรื่องที่พวกเรากำลังทำได้’

‘เช่นนั้นก็ดี’

ฉินจิงเทียนพยักหน้า

ฉินจิงเลวี่ยเอ่ยถาม ‘หากเจ้าหมอนี่ไม่ออกมา พวกเราจะรออยู่ที่นี่ไปตลอดหรือ’

‘ข้าเฝ้าสังเกตที่นี่อยู่ครู่ใหญ่ ตำแหน่งของคลื่นอากาศแถบนี้ไม่แน่นอน ในแต่ละช่วงเวลาจะเกิดการเปลี่ยนแปลง’

ฉินจิงเทียนชี้ไปยังจุดที่ห่างไกล ‘จากการคาดเดาของข้า ไม่เกินครึ่งปีพวกเราก็มีโอกาสหลบเลี่ยงห้วงอากาศปั่นป่วนนี้ เข้าไปยังจุดที่เจ้าหมอนี่หายไป’

‘ครึ่งปี… เกรงว่าคงทำให้หลินสวินนั่นฟื้นฟูมรรควิถีกลับมาโดยสมบูรณ์แล้ว…’

ฉินจิงเลวี่ยขมวดคิ้วไม่หยุด

‘ต่อให้แข็งแกร่งก็แข็งแกร่งไปไม่ถึงไหน ไม่เห็นหรือว่าไพ่ตายของเจ้าหมอนี่คือพลังเจตจำนงของระดับจอมยุทธ์ด่านสามคนหนึ่ง นี่ก็หมายความว่ามรรควิถีของหมอนี่ไม่มีทางบรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ด่านสามแน่’

ฉินจิงเทียนเอ่ยเรียบๆ

ฉินจิงเลวี่ยพยักหน้าพลางกล่าว ‘ก็ถูก หากพลังปราณของหมอนี่บรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ด่านสาม ย่อมไม่มีทางได้รับแรงกดดันและต่อต้านจากกฎระเบียบฟ้าดินแน่ สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่าความสามารถของหมอนี่ ถ้าแข็งแกร่งที่สุดก็สูสีกับพวกเรา’

ถ้าแข็งแกร่งที่สุดแค่ระดับจอมยุทธ์ด่านสอง ยังมีอะไรน่าหวาดกลัวอีก

บนสะเก็ดดาวรกร้างวังเวง ทิวเขาสลับทับซ้อน

หลินสวินนั่งขัดสมาธิ สงบจิตหยั่งรู้กฎระเบียบฟ้าดิน

แม้มรสุมอากาศนั้นจะน่ากลัว แต่กลับไม่อาจทำลายเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ทำให้หลินสวินผ่านมรสุมอากาศได้อย่างไร้อันตราย มาถึงส่วนลึกของเขตหวงห้ามที่เจ็ดนี้

ที่นี่มีสะเก็ดดาวรกร้างแตกหักกระจายอยู่มากมาย มืดมิดเงียบสงัด

รูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิงกลับไปในป้ายคำสั่งแล้ว

อาจเพราะได้รับแรงกระตุ้นจากความรู้สึกวิกฤติอย่างเด่นชัด ตอนนี้ยามหลินสวินหยั่งรู้ สภาวะจิตกับการรับรู้ล้วนจดจ่อเป็นประวัติการณ์ กระจ่างว่างเปล่า

แค่เจ็ดวันกลิ่นอายบนตัวเขาก็ฟื้นคืนถึงระดับจักรพรรดิด่านแรก!

เมื่อเขาหยั่งรู้และสัมผัสต่อเนื่อง ก็เข้าใจกฎระเบียบฟ้าดินในแดนเทพต้าฉินนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

การที่สามารถสร้างอารยธรรมยุคสมัยได้ใหม่ทั้งหมด พิสูจน์ว่ากฎระเบียบฟ้าดินของแดนเทพต้าฉินนี้ไม่ธรรมดาเพียงใด ระหว่างหยั่งรู้ยังนำพาความเข้าใจและประโยชน์มากมายที่ไม่เคยมีมาก่อนมาให้หลินสวินด้วย

นี่คือความรู้สึกที่อัศจรรย์ยิ่งอย่างหนึ่ง

ไม่ใช่การฝึกปราณใหม่อีกครั้ง แต่การหยั่งรู้ที่ได้รับกลับมากกว่าการฝึกปราณใหม่

เวลาสองสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในแต่ละช่วงเวลา กลิ่นอายบนตัวหลินสวินแทบจะยกระดับขึ้นขั้นหนึ่ง…

ครึ่งปีให้หลัง

ฉินจิงเทียนที่เฝ้ารออย่างร้อนรนหาใดเปรียบเผยสีหน้ายินดีทันที ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พลางกล่าว “ไปได้!”

เวลาครึ่งปี มรสุมอากาศที่ห่างไกลเคลื่อนตัวไปมากแล้ว พอจะทำให้พวกเขาตัดผ่านเข้าไปตรงจุดที่หลินสวินหายไปเมื่อตอนนั้นได้

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยสบตากันวูบหนึ่ง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

“ไป ครั้งนี้ข้าอยากดูนักว่าหมอนี่จะหนีไปได้ถึงไหน! จำไว้ อีกเดี๋ยวยามลงมือ อย่าปล่อยโอกาสให้รูปจำลองเจตจำนงนั่นหนีได้ ต้องปลิดชีพในคราเดียว รีบสู้รีบจบ!”

ฉินจิงเทียนกระเหี้ยนกระหือรือ พุ่งห่างออกไปก่อน

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยตามหลังเขาไปติดๆ

พวกเขาล้วนเรียกไพ่ตายที่แข็งแกร่งมาไว้ในมือแล้ว มีระฆังมรรคสีเขียวลอยคว้าง มีคทาหยกสมปรารถนาสาดแสงสว่างไสววิจิตรงดงาม และมีกระบี่มรรคแผ่แสงสีเงินใสเย็นเล่มหนึ่ง

ทุกอย่างล้วนประทับกลิ่นอายต้องห้ามน่ากลัว นั่นคือพลังระเบียบพิทักษ์เผ่าของเผ่าเทพต้าฉิน สามารถสร้างภัยคุกคามต่อระดับจอมยุทธ์ด่านสามได้

ตอนนี้นำมาจัดการรูปจำลองเจตจำนงของระดับจอมยุทธ์ด่านสามคนหนึ่งย่อมมากเกินพอ

ความจริงแล้วกวาดสายตามองทั่วแดนเทพต้าฉิน คนที่มีสิทธิ์ทำให้พวกเขาผู้อาวุโสสามคนลงมือพร้อมกันเดิมก็มีน้อยนัก

ถ้าจะพูดให้ถูกคือพวกเขาไม่เคยออกศึกเช่นนี้มานานแล้ว

เหตุผลนั้นง่ายมาก แดนเทพต้าฉินนี้เป็นอาณาเขตของพวกเขาตระกูลฉิน ในใต้หล้านี้พวกเขาก็คือ ‘เทพ’ ในสายตาสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสน!

ใครจะกล้ากินดีหมีหัวใจเสือมาหาเรื่องพวกเขา

ก็มีแค่เผ่าเทพชั้นยอดในโลกยุคสมัยอื่นที่กดข่มพวกเขาได้

แต่อย่างน้อยในแดนเทพต้าฉิน พวกเขาก็คือขุมอำนาจที่ประหนึ่งสรวงสวรรค์!

“อยู่ตรงนั้น!”

ไม่นานจิตรับรู้ของพวกฉินจิงเทียนก็เห็นสะเก็ดดาวรกร้างหนึ่ง ร่างหลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น

พวกเขาไอสังหารพรั่งพรูทันที

แกร๊ง!

ระฆังมรรคสีเขียวในมือฉินจิงเทียนดังก้อง คลื่นเสียงมากมายสะท้อนออกไปเหมือนเปลวไฟลุกโชน แผ่กระจายไปยังจุดที่ห่างไกล

ทุกหนแห่งที่คลื่นเสียงนั้นเคลื่อนผ่าน สะเก็ดดาวมากมายที่กระจายอยู่ในนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านหายไปโดยไร้สุ้มเสียง ห้วงอากาศล้วนถูกหลอม เผยให้เห็นรอยแยกและหลุมดำชวนประหวั่น

เวลานี้หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิยืนขึ้น ก่อนหายไปกลางอากาศกะทันหัน

สะเก็ดดาวที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ดับสลายกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตาที่เขาจากไป

กลางอากาศชายเสื้อหลินสวินพลิ้วไหว นัยน์ตาดำลุ่มลึกเยียบเย็น ด้านหลังเขาวงแหวนเทพอมตะหมุนวนเนิบช้า ชักนำให้เกิดคลื่นกฎเกณฑ์อมตะลึกลับยากหยั่งถึง

ตอนนี้ความสามารถของเขาฟื้นคืนสู่ระดับสูงสุดแล้ว ทั้งพัฒนาขึ้นอีกขั้นพร้อมการฟื้นฟูพลัง บรรลุถึงขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์!

แต่สำหรับพวกฉินจิงเทียนที่อยู่ห่างไป กลิ่นอายเช่นนี้ไม่ถึงขั้นเป็นภัยคุกคามโดยสิ้นเชิง

“มรรควิถีระดับจอมยุทธ์ด่านแรก ดูท่าว่าก่อนหน้านี้พวกเราคงประเมินเขาสูงไป”

ฉินจิงเลวี่ยเอ่ยเรียบๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าอย่างมากหลินสวินก็แข็งแกร่งได้แค่ระดับจอมยุทธ์ด่านสอง แต่เห็นชัดว่าหลินสวินไม่ใช่ เขามีมรรควิถีแค่ระดับจอมยุทธ์ด่านแรกเท่านั้น

“เจ้าหนุ่ม รีบเรียกรูปจำลองเจตจำนงนั่นออกมาเถอะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสแล้ว”

ฉินจิงเทียนเอ่ยปากเย็นชา

ไพ่ตายในมือพวกเขา ไม่ได้นำมาเพื่อต่อกรกับหลินสวิน

“จัดการพวกเจ้าสามคน ข้าลุยเองก็พอ”

หลินสวินพูดพลางพุ่งตัวไปกลางอากาศ กระตุ้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งบุกสังหาร

ตูม!

ห้วงอากาศแถบนี้สั่นสะเทือน แสงมรรคนับหมื่นแสนไหลวน ทำให้อานุภาพหลินสวินชวนตะลึงยิ่ง

แต่ภาพนี้กลับทำให้พวกฉินจิงเทียนผิดคาด ไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ ระดับจอมยุทธ์ด่านแรกคนหนึ่งทำไมถึงกล้ารนหาที่ตายเช่นนี้

“อย่าฆ่าเขา จับเป็น”

ฉินจิงเทียนพูดพลางตลบแขนเสื้อ ยื่นมือไปคว้าตัวหลินสวิน เรียบง่ายตรงไปตรงมา อานุภาพก็แข็งแกร่งถึงขีดสุด

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยไม่ขยับ แต่ล้วนเตรียมพร้อมลงมือตลอดเวลา

รอเมื่อหลินสวินยืนหยัดไม่อยู่จนใช้รูปจำลองเจตจำนงนั่นค่อยลงมือ

กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว พวกเขาไม่สนใจหลินสวินโดยสิ้นเชิง ทั้งคร้านจะใช้ไพ่ตายในมือกับหลินสวิน สิ่งที่พวกเขาสนใจมีแค่รูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิง

แต่การดูถูกและประมาทเช่นนี้กลับมอบโอกาสให้หลินสวิน!

เขาไม่คิดเก็บงำไว้เช่นกัน ตัดสินใจรีบสู้รีบจบ

เพราะโอกาสมีแค่ครั้งเดียว!

หากอีกฝ่ายระวังตัว คิดฆ่าให้ตายก็ต้องเปลืองแรงไปบ้าง

หลินสวินไม่อยากเสียเวลา

เขายังไม่แน่ใจว่าในเขตหวงห้ามที่เจ็ดนี้มีศัตรูกี่คนกันแน่

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือรีบสู้สีบจบ!

ฟุ่บ!

พริบตาที่ฉินจิงเทียนลงมือ แสงแห่งกาลเวลาขาวโพลนแถบหนึ่งพลันแผ่กระจาย

อภินิหารหยุดเวลา!

ฟ้าดินพลันหยุดนิ่ง

ขณะเดียวกันคมประกายสายหนึ่งวาดกวาดออกมาจากปลายนิ้วหลินสวิน

กาลเวลาที่นี่ราวกับถูกเฉือนตัด ภาพทุกอย่างล้วนเสื่อมถอยและพังทลาย กฎเกณฑ์กาลเวลาที่กระจายอยู่กลางฟ้าดินยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ปั่นป่วนโดยสมบูรณ์

อภินิหารต้องห้ามขั้นสาม… ดาบกาลเวลา!

เมื่อเงาแสงทั้งหมดจางหายไป

ฉินจิงเทียนที่อยู่ห่างไกลยังมีท่าทางยื่นมือไปคว้า แต่พลังที่ปล่อยออกมากลับเหมือนราชันระดับอมตะเคราะห์ ไม่มีภัยคุกคามแม้แต่น้อย

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยล้วนยืนไม่ขยับ เตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ

แต่รูปร่างของพวกเขากับฉินจิงเทียนกลับเปลี่ยนไปด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ เพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์สามคน

ส่วนมรรควิถีของพวกเขาก็ร่วงจากระดับจอมยุทธ์ด่านสองที่ทัดเทียมขั้นดับเทพ ไปเป็นระดับหกประสานที่เท่ากับระดับอมตะเคราะห์!

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในชั่วประกายไฟกระทบหิน

เมื่อเจอเหตุไม่คาดฝันนี้กะทันหันก็ทำให้พวกเขาอึ้งงันอยู่ตรงนั้น สีหน้าถูกความตื่นตระหนกและงุนงงเข้ามาแทนช้าๆ ทั้งตัวสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้

“เป็นไปได้อย่างไร?!”

ฉินจิงเทียนร้องเสียงหลง คลุ้มคลั่งปานพังทลาย

“ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”

ฉินจิงเหวินพึมพำ อกสั่นขวัญหาย

“พลังแห่งกาลเวลา นี่คือ… พลังต้องห้ามในตำนานที่ซ่อนอยู่ในยอดสมบัติชิ้นนั้น…”

มีเพียงฉินจิงเลวี่ยที่ดูใจเย็น แต่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หน้าซีดเซียวราวกับสีดิน

เขาเหมือนรู้ว่าสิ่งที่หลินสวินสำแดงเป็นพลังระดับใด แต่กลับยากจะเชื่อและยากยอมรับ

หากเปลี่ยนเป็นใครก็ตามย้อนกลับไปเป็นเด็กกะทันหัน สูญเสียมรรควิถีแทบทั้งตัว เกรงว่าคงยากจะรับการโจมตีเช่นนี้ได้

เหี้ยมโหดนัก!

พลังปราณยิ่งสูงก็ยิ่งยากแบกรับค่าตอบแทนเช่นนี้!

ตอนนั้นอวี่เฟิงจื่อผู้สืบทอดลัทธิฌานก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้พวกฉินจิงเทียนสามคนก็เช่นกัน

ไม่รู้ว่าหลินสวินก้าวเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายื่นมือตบหน้าเยาว์วัยเหมือนเด็กหนุ่มของฉินจิงเทียนเบาๆ พลางกล่าว

“หากพวกเจ้าลงดาบสังหารทันที ทั้งหมดนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างราบรื่นเช่นนี้… แน่นอนว่าพวกเจ้าคงคิดไม่ถึง ว่าคนที่พวกเจ้าดูถูกอย่างข้าจะครอบครองพลังนี้ได้อย่างไร จนกระทั่ง… พวกเจ้าคิดแก้ตัวก็ไม่ทันแล้ว”

เพี๊ยะๆๆ!

ฝ่ามือตบลงบนหน้าของฉินจิงเทียนครั้งแล้วครั้งเล่า แทรกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาผ่อนคลาย ทำให้ฉินจิงเทียนรู้สึกได้ถึงความหยามเหยียดที่ไม่เคยมีมาก่อน

…………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท