Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2791 ค่ายกลเทพเขตแดน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2791 ค่ายกลเทพเขตแดน

ตอนที่ 2791 ค่ายกลเทพเขตแดน

โลกเมฆลอย

เผ่าเทพต้าฉิน

“ผู้อาวุโสสามท่านตายหมด เก้าขุมอำนาจใหญ่ที่เรียกรวมมาก็บาดเจ็บล้มตายอย่างอนาถ คนที่ลงมือมีนามว่าหลินสวิน เป็นเหลนของลั่วทงเทียน ลูกของสามีภรรยาลั่วชิงสวิน”

ในโถงใหญ่ ผู้คุ้มกันที่มารายงานข่าวหวาดกลัวยิ่ง ตัวแข็งทื่อไปหมด

ไอสังหารอันน่าครั่นคร้ามอบอวลขึ้นมาจากร่างของหัวหน้าตระกูลฉินจิงเหอ กดข่มจนอากาศเหมือนจับตัวแข็ง ทำให้ผู้คนต่างหายใจไม่ออก

แววโกรธเกรี้ยวปรากฏรางๆ บนสีหน้าอันสงบนิ่งของเขา เอ่ยว่า “หาตำแหน่งของเจ้าหมอนี่ได้ไหม”

ผู้คุ้มกันกล่าวเสียงแหบแห้งว่า “ในวันที่หายนะครั้งนี้เกิดขึ้น หลินสวินปรากฎตัวที่เขตหวงห้ามที่เก้า ทำลายพลังระเบียบที่ตระกูลเราวางไว้จนสิ้น ทำให้พวกเราไม่อาจจับตำแหน่งของคนผู้นี้ได้อีก”

ปึง!

สิ่งของอย่างโต๊ะตั่ง ของตกแต่งระเบิดกระจุยเป็นฝุ่นผงทั้งหมด ไอสังหารเสียดกระดูกปกคลุมทั้งโถงใหญ่ประหนึ่งกระแสธารซัดสาด

ฉินจิงเหอสีหน้าคล้ำเขียวแล้ว

เขาไม่ได้โมโหเช่นนี้มานานมาก แต่บัดนี้เขาควบคุมไฟโทสะในใจไม่ได้สักนิด

ครู่ใหญ่ฉินจิงเหอจึงเอ่ยว่า “ยังมีอีกไหม”

ผู้คุ้มกันที่ตกใจจนตัวสั่นงันงกอยู่ก่อนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เอ่ยว่า “เรื่องนี้สะเทือนไปทั่วหล้าแล้ว ไม่อาจปกปิดหรืออำพรางได้อีก ตอนนี้ในแดนเทพต้าฉิน ขุมอำนาจและผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างรอดูว่าตระกูลเราจะเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร”

ฉินจิงเหอสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าพวกเราควรทำอย่างไร”

ผู้คุ้มกันอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าตระกูลจะถามความเห็นของตน เขาบังคับตัวเองให้สงบใจลง กล่าวว่า “ในความเห็นของข้าน้อย ต้องจับเจ้าหมอนี่ให้เร็วที่สุด หาไม่แล้วต้องกระเทือนถึงเกียรติของตระกูลเรา ทำให้คนในใต้หล้าวิพากษ์วิจารณ์เอาได้”

“เหลวไหล ข้ากำลังถามเจ้าว่าจะทำอย่างไร”

ฉินจิงเหอนิ่วหน้า

ผู้คุ้มกันสั่นไปทั้งตัว พูดอ้ำอึ้งว่า “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหัวหน้าตระกูล”

“ไสหัวไป!”

ฉินจิงเหอโมโหจนชี้ไปนอกโถงใหญ่

ผู้คุ้มกันรีบถอยออกไปทันที

ในโถงใหญ่ว่างเปล่ากดดัน เหลือแต่ฉินจิงเหอเพียงผู้เดียว

เขายืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง สีหน้าอึมครึม จมสู่ความเงียบงัน

แดนเทพต้าฉินกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต แม้เป็นโลกของพวกเขาตระกูลฉิน แต่ถ้าคิดจะหาคนผู้หนึ่งในทะเลมนุษย์อันกว้างใหญ่ก็ยากกว่าขึ้นสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย

ก่อนหน้านี้มีกลิ่นอายที่พลังระเบียบในเขตหวงห้ามที่เก้าจับได้ ยังทำให้พวกเขาจับร่องรอยของหลินสวินนั่นได้

แต่ตอนนี้พลังระเบียบถูกทำลายไปแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อให้ไปไล่ฆ่าหลินสวินก็ไม่รู้ว่าจะลงมือจากตรงไหน

มิหนำซ้ำหลินสวินสามารถฆ่าผู้อาวุสามคนอย่างพวกฉินจิงเทียนได้ หนีออกจากเขตหวงห้ามที่เจ็ด นี่ทำให้ฉินจิงเหอตระหนักได้ว่าพลังต่อสู้ของเหลนลั่วทงเทียนผู้นี้สามารถทำอันตรายระดับจอมยุทธ์ด่านสองได้แล้ว!

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ส่งผู้แข็งแกร่งทั่วไปไปไล่จับก็ไม่ต่างอะไรกับส่งไปตาย

‘ถูกกฎระเบียบฟ้าดินกดข่ม พิสูจน์ได้ว่าเขายังไม่บรรลุระดับจอมยุทธ์ด่านสาม และที่เขามาแดนเทพต้าฉินคราวนี้ เป้าหมายก็เพื่อช่วยพ่อแม่ของเขา…’

ครู่ใหญ่ฉินจิงเหอดวงตาเปล่งประกาย ออกคำสั่งทันที “เด็กๆ!”

ผู้คุ้มกันที่ถูกด่าให้ไสหัวไปก่อนหน้านี้นั้นพลันพุ่งเข้าไปในโถงใหญ่ หมอบลงไปกับพื้นอย่างยำเกรง

เห็นท่าทางไม่เอาไหนของเขา ฉินจิงเหอก็โมโหขึ้นมาอีกระลอก แต่เขายังเก็บกลั้นไว้ เอ่ยว่า “กระจายคำสั่งข้าออกไป ตั้งแต่นี้ไปให้ปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่ผ่านไปยังโลกภายนอก!”

“ขอรับ!”

ผู้คุ้มกันรับคำสั่งจากไป

ในโถงใหญ่ฉินจิงเหอยืดตัวยืนขึ้น เอ่ยด้วยสีหน้าน่าเกรงขามว่า “ขอเชิญท่านปู่เล็กมาพบกันสักครั้ง”

เสียงเงียบลงไปครู่หนึ่ง

เงาร่างผอมบางร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทั้งร่างเปล่งประกายทองเจิดจ้า คล้ายอาทิตย์แรงกล้าดวงหนึ่งอุบัติขึ้น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั้งตัวทำให้ฉินจิงเหอยังหายใจติดขัด

เขามีผมยาวสีดอกเลาสยายลงมาถึงสะโพก ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ดวงตาทั้งสองคล้ายเหวลึกเปลวเพลิง มีแสงเทพน่าครั่นคร้ามไหววูบ

ฉินเวิ่นจาง!

เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับจอมยุทธ์ด่านสามผู้หนึ่ง ศักดิ์อาวุโสยิ่ง

“เรียกพบด้วยเรื่องใด”

ฉินเวิ่นจางถาม

ฉินจิงเหอไม่ปิดบัง แจ้งเรื่องหลินสวินไป

พูดจบเขาก็กุมมือเอ่ยว่า “ท่านปู่เล็ก รบกวนท่านไปค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณสักครั้ง หากพบคนผู้นี้บุกค่ายกลต้องจับเขาไว้ให้ได้”

ฉินเวิ่นจางพยักหน้าแล้วหันหลังจากไป

……

ทั้งแดนเทพต้าฉินมีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณออกไปภายนอกเพียงแห่งเดียว ถูกเผ่าเทพต้าฉินควบคุมตลอดปี

ในสายตาผู้คนบนโลกแล้ว ค่ายกลนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ค่ายกลเทพเขตแดน’ หมายจะจากไปด้วยค่ายกลนี้มีเพียงสองวิธี

ไม่จ่ายทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ก็ต้องถือป้ายชื่อที่เผ่าเทพต้าฉินมอบให้

หลังหลินสวินออกมาจากเขตหวงห้ามที่เก้าแล้วก็มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ค่ายกลเทพเขตแดนนี้ตั้งอยู่ทันที

เพียงแค่สองวัน

ชายฝั่งทะเลเมฆาโรย

เงาร่างหลินสวินปรากฏตัวที่นี่

มองจากไกลๆ เมฆสีขาวโพลนแผ่อยู่บนทะเลสีมรกตอันกว้างใหญ่ไพศาล หมอกควันอบอวล ทะเลเมฆาโรยได้ชื่อมาเพราะเหตุนี้

ค่ายกลเทพเขตแดนก็ตั้งอยู่ในส่วนลึกของทะเลนี้

ตอนนี้หลินสวินรู้แล้วว่าแดนผนึกเรืองแสงที่บิดามารดาตนติดอยู่ ตั้งอยู่ในส่วนลึกของจักรวาลขุ่นมัวแห่งหนึ่งที่อยู่นอกแดนเทพต้าฉิน

นี่ก็หมายความว่า หากอยากไปช่วยบิดามารดาก็ต้องออกไปโดยอาศัยค่ายกลเทพเขตแดน จึงจะสามารถมุ่งหน้าไปยังแดนผนึกเรืองแสงนั้นได้

หลินสวินไม่ได้ชักช้า เคลื่อนตัวไปยังส่วนลึกของทะเลเมฆาโรย

เขาในตอนนี้เปลี่ยนรูปลักษณ์และเก็บงำกลิ่นอายแล้ว คนทั่วไปไม่อาจมองทะลุโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาได้สักนิด

ไม่นานนักเมืองยักษ์เมืองหนึ่งปรากฏบนผืนทะเลที่อยู่ไกลลิบ ทั้งเมืองมีสีดำเขียว ประหนึ่งสัตว์ใหญ่มหึมาที่คลานอยู่บนทะเลตัวหนึ่ง

เมืองเทพเมฆาโรย!

ค่ายกลเทพเขตแดนก็ตั้งอยู่ในนั้น

ในอดีตเมืองนี้เฟื่องฟูและคึกคักเป็นที่สุด มีผู้ฝึกปราณมากมายมาเยือนจากทั่วสารทิศ

แต่พอหลินสวินมองไป เมืองนี้กลับเงียบเหงา ประตูเมืองสองด้านที่สูงถึงร้อยจั้งถึงกับไม่มีเงาร่างใดยกเว้นแต่ผู้คุ้มกันที่เฝ้าอยู่

หลินสวินนิ่วหน้า ตระหนักได้ว่าผิดปกติ

ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่เขายังคงทะยานตรงไปอยู่ดี

“หยุดนะ!”

พอเห็นหลินสวินทะยานผ่านมา ผู้คุ้มกันที่เฝ้าประตูเมืองคนหนึ่งตะโกนลั่น “ค่ายกลเทพเขตแดนปิดแล้ว ห้ามเข้าใกล้อีก รีบถอยออกไป”

“ปิดแล้วหรือ” หลินสวินเอ่ย “นี่เป็นเพราะอะไร”

“จะพูดมากมายทำไม ไม่อยากตายก็ไสหัวไป!”

ผู้คุ้มกันคนนั้นตะคอก

หลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “มีคำพูดว่าผู้ที่ลบหลู่ผู้อื่นก็จะถูกผู้อื่นลบหลู่ ในเมื่อเจ้าไม่เกรงใจเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานี”

เขาพุ่งตรงไปยังประตูเมือง

ผู้คุ้มกันที่เฝ้าอยู่ที่ประตูทั้งสองฝั่งกราดเกรี้ยว ต่างจะเข้าขัดขวาง กลับรู้สึกหน้ามืด เสียการรับรู้ในทันใด ล้มปักลงไปกับพื้นดังฟุบ

ส่วนเงาร่างหลินสวินเดินเข้าไปในเมืองแล้ว

บนถนนที่เรียงรายเป็นระเบียบไม่มีใครสักคน ร้านรวงปิดสนิท เงียบเหงาถึงที่สุด อย่างกับเมืองร้างแห่งหนึ่ง

หลินสวินตาดำหรี่ลง เคลื่อนตรงไปข้างหน้า

ค่ายกลเทพเขตแดนตั้งอยู่ใจกลางเมืองนี้

ทว่าพอหลินสวินจะขยับตัว พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดขึ้น…

ปัง! ปัง! ปัง!

ศรเทพดอกแล้วดอกเล่ายิงมาจากสี่ด้านแปดทิศ ประหนึ่งสายฟ้าแหลมคมหาใดเทียบสายแล้วสายเล่าฉีกฟ้ากว้าง ลากแสงเทพโชติช่วงสะดุดตามาด้วย

ศรเทพแต่ละดอกแกร่งกล้าหาใดเทียบ มีอานุภาพน่าครั่นคร้ามที่สามารถสังหารขั้นอายุขัยเทียมฟ้า เมื่อพุ่งทะยานมาถี่ๆ เช่นนั้นทำให้คนสิ้นหวังนัก

ตูม!

หลินสวินไม่หลบไม่หนี เมื่อสะบัดแขนเสื้อ ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกมา ก็ได้ยินเสียงระเบิดปังๆๆ แสบแก้วหูระลอกหนึ่ง ศรเทพเหล่านั้นต่างระเบิดออกกลางห้วงอากาศ ละอองแสงที่ปลิวว่อนทำลายสิ่งปลูกสร้างแถวนี้ลง

“ไป!”

นิ้วหลินสวินกรีดวาด

ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งผ่านอากาศไป

ในเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ไกลลิบ ชายกลิ่นอายเหิมฮึกผู้หนึ่งถือคันธนูใหญ่สีดำเข้ม สายธนูยังสั่นไหวรุนแรงอยู่

ห่าลูกศรแน่นขนัดก่อนหน้านี้เป็นฝีมือเขานี่เอง

“หืม?”

แต่เพียงพริบตา ชายหนุ่มผู้นี้ก็หน้าเปลี่ยนสี เงาร่างไหววูบกลายเป็นแสงไหลเคลื่อน พุ่งหลบหนีไปในห้วงอากาศสุดกำลัง

แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่งอยู่ดี

ฟุ่บ!

ปราณกระบี่สายหนึ่งฟันลงมา ห้วงอากาศถูกตัดออกเหมือนกระดาษเปื่อย จากนั้นศพเลือดหลั่งรินสองท่อนก็ร่วงลงมากระแทกกับพื้น

เป็นชายเหิมฮึกคนนั้นนั่นเอง เพียงแต่ถูกฟันออกเป็นสองท่อน จิตวิญญาณของเขาถูกทำลายไปแล้ว

เคร้ง!

คันธนูใหญ่สีดำเข้มในมือเขากระแทกกับพื้น สายธนูขาดผึง

ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ถึงชั่วพริบตา ระดับจอมยุทธ์ด่านหนึ่งถูกสังหารด้วยกระบี่เดียว!

กระนั้นทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

ขณะที่หลินสวินกำลังจะเดินหน้า ประตูร้านค้าที่ปิดสนิทตามสองข้างทางระเบิดออกดังลั่น เงาร่างมากมายกระโจนออกมา

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

เสียงคำรามลั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ไอสังหารน่ากลัวดุจพายุคลั่งม้วนตลบฟ้า ครู่เดียวก็ทำลายความเงียบเหงาวังเวงบนถนนสายนี้ไป

จอมยุทธ์ที่เทียบได้กับขั้นอายุขัยเทียมฟ้ายี่สิบกว่าคนออกโจมตี มีทั้งหญิงชายแก่เด็ก เรียกสมบัติอย่างกระบี่บิน ดาบศึก ประทับมรรค ทวนยาวออกมา เพียงแค่อานุภาพที่แผ่ออกมาจากร่างก็ปิดฟ้าคลุมตะวัน กดทับห้วงอากาศ แกร่งกล้าจนพาให้คนใจสั่น

ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ น่ากลัวยิ่งกว่ายามหลินสวินเผชิญหน้าจอมยุทธ์เก้าคนนอกเขตหวงห้ามที่เจ็ดเสียอีก

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าปฏิกิริยาแรกสุดคงเป็นการหนี

แต่หลินสวินไม่ถอย กลับรุก!

ฮูม!

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งถูกเรียกออกมา แสงมรรคไพศาลปลิวว่อน พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับร่างของหลินสวิน อานุภาพทั้งตัวก็น่ากลัวถึงขีดสุดเช่นกัน

ตูม!

ศึกใหญ่ปะทุ สิ่งปลูกสร้าง ถนนตรอกซอยแออัดในเมืองแทบจะพังถล่มเผาไหม้ไปสิ้นในชั่วพริบตา ทั้งเมืองเทพเมฆาโรยเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง

แสงเทพสาดประกาย อาวุธปะทะกึกก้อง หลินสวินสำแดงความกร้าวแกร่งเข้ากำราบตลอดทาง เคลื่อนกวาดไปข้างหน้า

กระบี่บิน ดาบศึก ประทับโบราณต่างๆ บ้างถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งซัดทำลาย บ้างถูกกระบี่มรรคในเตาฟันแหลก เกิดเสียงระเบิดดังลั่น ละอองแสงดุจกระแสน้ำม้วนตลบ

ไม่ทันไรก็มีเสียงร้องโหยหวนและเสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังขึ้น ปนเปไปกับแขนขาที่ขาดร่วง เลือดสดๆ สาดกระเซ็น

หลินสวินดุจผ่าลำไผ่ เพียงไม่กี่อึดใจก็สังหารไปหกเจ็ดคน เหมือนเชือดไก่ฆ่าลิง ไร้ศัตรูเทียบได้!

“ตาย!”

ทันใดนั้นกลิ่นอายประหลาดสายหนึ่งก็พุ่งมาจากไกลๆ นั่นเป็นชายชุดดำมือถือทวนศึกสำริดผู้หนึ่ง ทั้งร่างปลดปล่อยกลิ่นอายที่เทียบได้กับขั้นดับเทพออกมา

คนผู้นี้เป็นระดับจอมยุทธ์ด่านสองอย่างไม่ต้องสงสัย

หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ไม่หลบไม่หนี พุ่งโจมตีไปเบื้องหน้า

และพร้อมกันนั้น กายมรรคทั้งห้า ไม้เขียว เพลิงแดง ทองขาว ดินเหลืองและวารีดำก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน ออกมาปิดล้อมชายชุดดำที่บุกมาคนนั้นทันที

กายมรรคทั้งห้าของหลินสวินต่างมีพลังต่อสู้ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างต้น บัดนี้เคลื่อนไหวร่วมกัน ถล่มสังหารเต็มกำลัง จอมยุทธ์ที่เทียบได้กับขั้นดับเทพผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส มีบาดแผลร้ายแรงทันที

ไม่นานนักก็ถูกรุมเล่นงานจนอ่วม ร่างกายแหลกกระจุย พลังจิตยังถูกเผาทิ้ง

ภาพนองเลือดน่ากลัวนั้น กระตุ้นให้เสียงร้องตระหนกและยากจะเชื่อระลอกหนึ่งดังขึ้นในบริเวณใกล้ๆ!!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท