Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2793 เพิกเฉยเทพ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2793 เพิกเฉยเทพ

ตอนที่ 2793 เพิกเฉยเทพ

การโจมตีที่เสวียนเฟยหลิงเผารูปจำลองเจตจำนงของตน ทำให้ฉินเวิ่นจางได้รับบาดเจ็บสาหัส

แต่เทียบกับอาการบาดเจ็บ สิ่งที่ทำให้ฉินเวิ่นจางสะเทือนใจยิ่งกว่าคือหลินสวินหนีไปแล้ว!

ครู่ใหญ่ฉินเวิ่นจางจึงสงบสติลงช้าๆ

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อาการบาดเจ็บภายนอกร่างกายหายลับไป แต่อาการบาดเจ็บภายในหากไม่มีเวลาสักสามเดือนห้าเดือนคงไม่อาจฟื้นคืนมาได้สักนิด

“จะปล่อยไปเพียงเท่านี้ไม่ได้แล้ว!”

แววเย็นชาน่าครั่นคร้ามไหววูบในดวงตาเขา

หลินสวินเป็นเหลนของลั่วทงเทียน ทั้งยังครอบครองพลังแห่งกาลเวลา เห็นชัดว่าเป็นศุภโชคใหญ่ที่ได้มาจากโลงนิรันดร์

ถ้าให้หลินสวินหนีไปแต่เพียงเท่านี้ โอกาสที่พวกเขาตระกูลฉินตั้งตารอมาไม่รู้นานเท่าไรก็จะพังลงเพียงตรงนี้

นี่เป็นเรื่องที่ฉินเวิ่นจางไม่อาจทนได้

พรึบ!

เมื่อเขาสะบัดมือ ม้วนหยกส่งสารม้วนหนึ่งก็แหวกอากาศลับหายไปในชั่วพริบตา

ส่วนตัวเขาเดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ

เงาร่างฉินเวิ่นจางหายลับไปพร้อมกับเสียงดังสนั่นแปลกประหลาด

เมืองเทพเมฆาโรยที่ในอดีตพลุกพล่านหาใดเทียบ ทว่าบัดนี้กลายเป็นซากปรักหักพังเงียบสงัด คล้ายบอกเล่าความน่ากลัวของการต่อสู้ก่อนหน้านี้อยู่เงียบๆ

โลกเมฆลอย

เผ่าเทพต้าฉิน

ยามหัวหน้าตระกูลฉินจิงเหอได้รับข่าวที่ฉินเวิ่นจางส่งกลับมาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว

ปึง!

ม้วนหยกส่งสารระเบิดกระจุยเป็นผุยผงคามือฉินจิงเหอ

เขาสีหน้าอึมครึมยิ่ง ดวงตาวาวโรจน์คล้ายพ่นไฟได้

ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้อาวุโสทั้งสามอย่างฉินจิงเทียน ฉินจิงเหวินและฉินจิงเลวี่ยประสบเคราะห์ที่เขตหวงห้ามที่เจ็ด

และตอนนี้ขนาดท่านปู่เล็กฉินเวิ่นจางลงมือ ยังปล่อยให้หลินสวินหนีไปได้ การโจมตีอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ฉินจิงเหอแทบคลั่ง

“หวังเพียงว่าท่านปู่เล็กจะจับเจ้าหมอนี่ได้ก่อนเขาไปแดนผนึกเรืองแสง หาไม่แล้ว… คงจบเห่กันหมด…”

ฉินจิงเหอถอนใจยาว กลับไปนั่งเก้าอี้อย่างหดหู่

หลินสวินหนีออกจากแดนเทพต้าฉินไปแล้ว ก็เท่ากับหนีออกจากอาณาเขตที่เผ่าเทพต้าฉินของพวกเขาควบคุม ทั้งหมดนี้ย่อมชี้ชัดว่าต่อให้พวกเขามีกำลังพลมากแค่ไหนก็เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะทำอะไรไม่ได้!

แหล่งสถานศุภโชคใหญ่เกินไป

มีโลกยุคสมัยมากมายที่กระจายอยู่

หากออกจากแดนเทพต้าฉินแล้ว เรื่องของโลกภายนอกไม่อาจมีพวกเขาตระกูลฉินเป็นผู้ตัดสินได้

ที่ทำให้ฉินจิงเหอรู้สึกรับมือยากที่สุดก็คือ ทันทีที่หลินสวินปรากฏตัวในแดนผนึกเรืองแสง ย่อมถูกอีกสามเผ่าเทพชั้นยอดพบเข้า

ถึงตอนนั้นพวกเขาตระกูลฉินก็เลิกคิดไปฮุบโลงนิรันดร์ไว้คนเดียวได้เลย!

เมื่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น สำหรับพวกเขาตระกูลฉินแล้ว การรอคอยมาไม่รู้นานเท่าไรนี้… ย่อมกลายเป็นการคว้าน้ำเหลว

ตอนนี้ฉินจิงเหอเพียงหวังว่าท่านปู่เล็กฉินเวิ่นจางจะจับหลินสวินได้โดยเร็วที่สุด

……

เมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งลอยอยู่กลางฟ้าดาราอันกว้างใหญ่

เมืองนี้มีนามว่า ‘ฉิน’

การไปยังแดนเทพต้าฉินจากโลกยุคสมัยอื่น จะต้องผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณของเมืองฉิน

เช่นเดียวกัน หากต้องการไปโลกยุคสมัยอื่นจากแดนเทพต้าฉิน เมืองฉินก็เป็นที่ที่ต้องผ่าน

พูดง่ายๆ เมืองฉินก็คือประตูบานหนึ่งที่สร้างขึ้นในแหล่งสถานศุภโชค ในประตูนี้สามารถผ่านไปยังแดนเทพต้าฉิน ส่วนนอกประตูก็คือทั้งแหล่งสถานศุภโชค

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ ในเมืองฉินมีกำลังพลจากเผ่าเทพต้าฉินปักหลักดูแลอยู่ตลอด

ตอนนี้เจ้าเมืองที่ดูแลในเมืองฉินเป็นจอมยุทธ์ผู้หนึ่งที่เทียบได้กับขั้นดับเทพ นามว่าฉินไหวหลิน

“ใต้เท้า ช่วงสองวันที่ปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณนี้ ผู้แข็งแกร่งที่ติดอยู่ในเมืองมีจำนวนถึงหลักหมื่น”

จวนเจ้าเมือง

ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งรายงาน “ตามตรอกซอกซอยมีเสียงด่าว่าแค้นเคืองดังขึ้นไม่น้อย กล่าวว่าพวกเราทำให้พวกเขาเสียงาน”

ฉินไหวหลินนอนอยู่บนตั่งนิ่มอย่างเกียจคร้าน เอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจ แดนเทพต้าฉินเป็นอาณาเขตของพวกเราตระกูลฉิน พวกเขาจะแค้นเคืองแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์”

เขารูปร่างผอม แต่งกายชุดงามหรูทั้งตัว ท่าทางเยือกเย็น

“ใต้เท้า มีคนเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมาเมืองฉินจากแดนเทพต้าฉิน!”

จู่ๆ เสียงลุกลี้ลุกลนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นนอกโถง

ฉินไหวหลินผงะไป ยืดตัวขึ้นแล้วเอ่ยดวงตาวาววาบ “หรือจะทำสำเร็จแล้ว ไป ไปดูหน่อย”

ขณะพูดก็สาวเท้าเดินออกไป

ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณอยู่ที่ลานจัตุรัสขนาดมหึมาหน้าจวนเจ้าเมือง

เพียงแต่เมื่อฉินไหวหลินมาถึง หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณนั้นก็ว่างเปล่าไม่มีคนแล้ว

“คนเล่า”

ฉินไหวหลินพลันใจหล่นวูบ

เหล่าผู้คุ้มกันที่ดูแลบริเวณค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมองหน้ากัน พลันรู้สึกได้ว่าไม่เข้าที

มีคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่นว่า “ใต้เท้า คนผู้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วนัก ทันทีที่ปรากฏตัวก็จากไปแล้ว”

ใบหน้าชราของฉินไหวหลินมืดทะมึน เก็บกลั้นลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ เอ่ยว่า “เห็นหรือไม่ว่าคนผู้นั้นไปไหนแล้ว”

“ทะลวงอากาศไป”

ผู้คุ้มกันคนหนึ่งชี้ฟ้าดาราที่อยู่ไกลๆ

ฉินไหวหลินยิ่งรู้สึกไม่ดี เอ่ยว่า “พวกเจ้าจำฐานะของคนผู้นั้นได้หรือไม่”

“ใต้เท้า ข้าเห็นชัดมาก รูปลักษณ์ของคนผู้นั้นเหมือนชายหนุ่ม…”

ผู้คุ้มกันคนหนึ่งรีบบรรยายรูปลักษณ์ของหลินสวิน

ฉินไหวหลินฟังจบก็เอาม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมา เมื่อแสงเงาไหลเวียนก็เกิดเป็นภาพหลินสวินยามปรากฏตัวในเขตหวงห้ามที่เก้า

“ใช่คนผู้นี้หรือไม่” ฉินไหวหลินถาม

“เขานี่แหละ!”

เหล่าผู้คุ้มกันเอ่ยพร้อมกัน

เสียงปังดังขึ้นในสมองฉินไหวหลินเหมือนถูกสายฟ้าฟาด

เพื่อไม่ให้ข่าวที่หลินสวินปรากฏตัวในแดนเทพต้าฉินแพร่งพรายออกไป ทั้งเมืองฉินจึงมีเพียงเขาที่รู้สาเหตุการปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ

แต่ตอนนี้เป้าหมายกลับหนีไปต่อหน้าต่อตาแล้ว!

“สวะทั้งฝูง! ทำไมพวกเจ้าไม่ขวางเขาไว้!”

ฉินไหวหลินโมโหจนตบหน้าผู้คุ้มกันที่อยู่ใกล้สุดจนฝ่ายหลังกระเด็นออกไปทันที เลือดกบปากจมูก

ทุกคนเงียบเป็นจักจั่นหน้าหนาว

ใครต่างก็ดูออกว่าตอนนี้ฉินไหวหลินกราดเกรี้ยวหาใดเทียบ

แต่ในใจพวกเขาก็คับข้องนัก พวกเขาไม่ได้เป็นคนเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ทั้งไม่รู้ว่าคนที่หนีไปมีฐานะอะไร ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากคนผู้นั้นปรากฏตัวก็จากไปทันที พวกเขามีโอกาสไปขวางเสียที่ไหน

เงาร่างมากมายที่ปรากฏตัวบนถนนไกลๆ ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณที่อยู่ในเมือง เห็นชัดว่าถูกเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ดึงดูดแล้ว

โดยเฉพาะท่าทางโมโหเช่นนั้นของเจ้าเมืองฉินไหวหลิน ยิ่งสร้างความสงสัยให้คนนับไม่ถ้วนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

วู้ม!

ไม่ทันไรค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณก็ส่งเสียงดังลั่นอีกระลอก เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ

เป็นฉินเวิ่นจางนั่นเอง

พอเห็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ของตระกูลผู้นี้ปรากฏตัว ฉินไหวหลินก็ตัวสั่นทันที ก้มตัวคารวะว่า “คารวะผู้อาวุโส”

“คนเล่า”

เมื่อฉินเวิ่นจางกวาดสายตารอบทิศก็ตระหนักได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าไม่น่าดูขึ้นมา

“เขา… เขาเพิ่งหนีไปทางนั้นแล้ว”

ฉินไหวหลินชี้ฟ้าดาราไกลๆ ก่อนหน้านี้เขายังเดือดดาลยิ่ง อำนาจบารมีน่าครั่นคร้าม แต่บัดนี้กลับตัวสั่นงันงก เหงื่อกาฬผุดขึ้นที่หน้าผาก

“สวะ! ให้เจ้าเฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ แต่เจ้ากลับมองดูเป้าหมายหนีไปต่อหน้าต่อตา เจ้ารู้ไหมว่าก็เพราะความสะเพร่าของเจ้า เป็นไปได้สูงว่าอาจทำลายการใหญ่ของตระกูล!”

ฉินเวิ่นจางโมโหจนด่าเสียงดัง “รอข้าจับเจ้าตัวจ้อยนั่นมาค่อยกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า!”

สวบ!

เสียงยังไม่ทันเงียบลง ตัวเขาก็เคลื่อนตัวทะยานฟ้าไปแล้ว

ฉินไหวหลินสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ในใจยังรู้สึกคับข้องใจเหมือนผู้คุ้มกันที่ถูกเขาด่าว่าก่อนหน้านี้

ในแดนเทพต้าฉินมีผู้อาวุโสอย่างท่านมาลงมือเองยังขวางอีกฝ่ายไว้ไม่ได้ ตอนนี้จะมากล่าวโทษโบ้ยความผิดให้ข้าได้อย่างไร

ยามได้เห็นผู้คุ้มกันเหล่านั้นยืนงงอยู่เช่นนั้น ไฟโทสะกับความอัดอั้นเต็มอกของฉินไหวหลินก็ระเบิดออก เอ่ยว่า “มองอะไร ถ้าคราวนี้ตระกูลมากล่าวโทษ พวกเจ้าก็หนีไม่พ้น!”

ขณะพูดเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป

ผู้คุ้มกันเหล่านั้นแต่ละคนรู้สึกขมปาก นิ่งทื่อเหมือนรูปปั้น

พวกเขาจะทำอย่างไรได้

ต่อให้บริสุทธิ์และคับข้องใจแค่ไหน แต่ในฐานะผู้น้อยก็ทำได้เพียงรับความผิดแทนคนใหญ่คนโต…

“มองอะไร แยกย้ายไปได้แล้ว!”

ครั้นเห็นว่าไกลออกไปมีคนมากมายมุงดู ผู้คุ้มกันเหล่านี้ก็อายจนกลายเป็นโกรธ ส่งเสียงตะคอก

ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้ผู้ที่มุงดูเหล่านั้นมองความลับออกไม่น้อย

“ที่แท้ปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณก็เพื่อจับคนผู้หนึ่ง!”

“คนผู้นั้นเป็นใครกัน ถึงกับหนีจากอาณาเขตของเผ่าเทพต้าฉินได้ มิหนำซ้ำยังทำให้เฒ่าชราระดับจอมยุทธ์ด่านสามไล่ฆ่าด้วยตัวเอง”

“เรื่องนี้จะผิดปกติเกินไปแล้ว!”

…ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์

‘รีบส่งข่าวกลับไป บอกว่าแดนเทพต้าฉินเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น ขอตระกูลส่งคนใหญ่คนโตระดับจอมยุทธ์ด่านสามมาสืบดู’

กลางฝูงชน หญิงชุดม่วงคนหนึ่งรีบประทับความคิดลงบนยันต์หยกลึกลับ จากนั้นนิ้วมือก็บดขยี้เบาๆ

ยันต์หยกกลายเป็นแสงพุ่งไปสู่ส่วนลึกของฟ้าดาราอย่างเงียบเชียบ

ขณะเดียวกันที่อื่นในเมืองก็มีคนไม่น้อยสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ต่างใช้วิชาลับส่งข่าวเช่นเดียวกับหญิงชุดม่วง

คาดเดาได้ว่าอีกไม่นาน เรื่องที่เกิดขึ้นในแดนเทพต้าฉินและเมืองฉินจะต้องถูกคนใหญ่คนโตของโลกยุคสมัยอื่นสืบได้

ถึงตอนนั้นเกรงว่าแหล่งสถานศุภโชคจะเกิดคลื่นลมขึ้นอีกครั้ง!

ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมือง

หลินสวินที่แปลงโฉมแล้วดื่มเหล้าในกาหมดรวดเดียวแล้วลุกขึ้น

ก่อนหน้านี้ยามเขาออกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ก็เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศพุ่งไปยังส่วนลึกของฟ้าดารา ถูกสายตามากมายมองเห็น

แต่ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงกลลวงตาอย่างหนึ่ง ขณะที่ไม่มีใครสังเกต เขาก็กลับเข้ามาในเมืองแล้ว

ยามนี้เมื่อเห็นฉินเวิ่นจางทะลวงอากาศจากไป ในที่สุดหลินสวินก็ลอบถอนหายใจโล่งอก

เขาตัดสินใจจากไป ไม่ใช่มุ่งหน้าไปแดนผนึกเรืองแสง แต่ไปยังเมืองเทพศุภโชค!

หลินสวินเคยค้นวิญญาณฉินจิงเลวี่ย ได้รู้ว่าในแหล่างสถานศุภโชคมีเมืองยักษ์มหัศจรรย์อยู่เมืองหนึ่ง ถูกมองเป็นสถานที่ที่ ‘เพิกเฉยเทพ’

นั่นก็คือเมืองเทพศุภโชค!

ตั้งแต่อดีตถึงตอนนี้ เผ่าเทพของโลกยุคสมัยมากมายในแหล่งสถานศุภโชคต่างเคยลองยึดครองเมืองเทพศุภโชค แต่ล้วนคว้าน้ำเหลวกันหมด

สาเหตุก็เพราะเมืองเทพศุภโชคเต็มไปด้วยพลังผนึกพิสดาร เมื่อเข้าไปในเมืองนี้พลังปราณของทุกคนจะถูกกดข่ม

ต่อให้เป็นระดับอมตะ พลังปราณก็จะถูกกดข่มจนถึงระดับจักรพรรดิ

และอย่างระดับนิรันดร์ ก็จะถูกเมืองนี้กีดกัน ทันทีที่เข้าใกล้จะถูกพลังผนึกพิสดารนั้นจู่โจม

ในประวัติศาสตร์มีผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์หลายคนถอยกลับมาจากเมืองนี้อย่างยับเยิน

เมืองเทพศุภโชคก็จึงได้ชื่อว่า ‘เพิกเฉยเทพ’ ด้วยเหตุนี้ ความหมายก็คือ เทพมาแล้วยังทำอะไรเมืองนี้ไม่ได้

และมาจนตอนนี้ เมืองเทพศุภโชคก็เหมือนกลายเป็นศูนย์รวมการแลกเปลี่ยนอารยธรรมยุคสมัยต่างๆ ทุกวันจะมีผู้แข็งแกร่งจากโลกยุคสมัยนับร้อยไปๆ มาๆ บ้างมาเพื่อแลกเปลี่ยนใจความฝึกปราณ บ้างมาเพื่อแลกและซื้อขายสมบัติ บ้าง…

ทำให้เมืองเทพศุภโชคคึกคักจอแจ รุ่งเรืองหาใดเทียบ

เมื่อได้รู้ถึงการมีอยู่ของเมืองเทพศุภโชคจากความทรงจำของฉินจิงเลวี่ย หลินสวินก็จดจำเมือง ‘เพิกเฉยเทพ’ ที่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์แห่งนี้ไว้ทันใด

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท