Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2794 อานุภาพแห่งนิรันดร์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2794 อานุภาพแห่งนิรันดร์

ตอนที่ 2794 อานุภาพแห่งนิรันดร์

นอกแดนผนึกเรืองแสงมีกำลังพลของสามเผ่าเทพชั้นยอดกับตระกูลฉินประจำการอยู่

พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ นอกแดนผนึกเรืองแสงนั้นมีขั้นหลุดพ้นเฝ้าอยู่อย่างน้อยแปดคน!

คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่หลินสวินได้รู้จากความทรงจำของฉินจิงเลวี่ย ไม่มีทางผิดพลาด

นี่ก็เป็นสาเหตุที่หลินสวินตัดสินใจไปเมืองเทพศุภโชค ไม่ได้ไปแดนผนึกเรืองแสง

เพราะอันตรายเกินไป

ต่อให้ในมือหลินสวินมีไพ่ตายอยู่อีก แต่ตอนนี้ต่อให้บุ่มบ่ามมุ่งหน้าไปก็ไม่กล้ารับรองว่าจะช่วยบิดามารดาออกมาจากแดนผนึกเรืองแสงได้อย่างราบรื่น

ว่ากันถึงที่สุดแล้วเป็นเพราะหลินสวินไม่อาจแน่ใจ ว่าจะกำราบเฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นหลุดพ้นแปดคนด้วยพลังรูปจำลองเจตจำนงของไท่เสวียนได้หรือไม่

แม้ว่าไท่เสวียนจะเป็นระดับนิรันดร์ แต่ที่หลินสวินใช้ก็แค่รูปจำลองเจตจำนงที่ไท่เสวียนมอบให้ในป้ายคำสั่งเท่านั้น

แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นหลุดพ้นเหล่านั้นเป็นพวกที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้นานเท่าไรทั้งสิ้น

แน่นอนว่าปัญหาสำคัญที่สุดอยู่ที่หลินสวิน…. ไม่ล่วงรู้ถึงพลังที่ระดับนิรันดร์ครอบครองเลยจริงๆ

ดังนั้นถึงได้กังวลใจ ไม่อาจไม่วิเคราะห์สถานการณ์อย่างเยือกเย็น เลือกใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุดคือการไปเมืองเทพศุภโชค!

ขอเพียงไปถึงเมืองเทพศุภโชค หลินสวินก็ไม่ต้องกลัวศัตรูหน้าไหนอีก!

เพราะพลังผนึกที่ปกคลุมในเมืองนี้กดข่มผู้ฝึกปราณทั้งหมด แข็งแกร่งแค่ไหนก็ใช้ได้แค่มรรควิถีของระดับจักรพรรดิ

และในระดับจักรพรรดิ หลินสวินจะไปกลัวใครได้อย่างไร

มิหนำซ้ำในเมืองเทพศุภโชคยังสามารถติดต่อกับผู้ฝึกปราณ ‘ซากสถานนรกภูมิ’ และหาเส้นทางไปยังซากสถานนรกภูมิได้

ถึงตอนนั้นก็จะไปซากสถานนรกภูมิก่อน

ไท่เสวียนเคยกล่าวไว้ว่าขอเพียงเขาถือป้ายคำสั่งนี้ไปยังซากสถานนรกภูมิ ก็จะมีคนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของป้ายคำสั่งและให้ความช่วยเหลือทันที

ขณะที่ครุ่นคิดหลินสวินก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม เงาร่างไหววูบ เคลื่อนตัวขึ้นไปยังฟ้าไกลแล้ว

…..

ฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต

แหล่งสถานศุภโชคก็เหมือนจักรวาลแห่งหนึ่ง มีซากสถานยุคสมัยมากกว่าร้อยแต่งแต้มอยู่ในนั้น ใหญ่โตจนมิอาจจินตนาการ

ที่นี่ไม่เหมือนกับแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และแตกต่างจากแหล่งสถานคุนหลุนโดยสิ้นเชิง

ตามการคาดเดาของหลินสวิน ด้วยมรรควิถีของตนในตอนนี้ ถ้าต้องการไปเมืองเทพศุภโชคจากเมืองฉินก็ต้องเดินทางสิบวัน

มิหนำซ้ำบนเส้นทางนี้ยังไม่ได้ราบรื่น เต็มไปด้วยอันตรายน่าเหลือเชื่อมากมาย มักมีภัยพิบัติอย่างกระแสห้วงอากาศ พายุกาลเวลาอุบัติขึ้น

ยังดีที่หลินสวินได้เส้นทางไปยังเมืองเทพศุภโชคมาจากความทรงจำของฉินจิงเลวี่ย ยามเคลื่อนไหวจึงไม่ได้กังวลอะไร

ทว่าหลังผ่านไปเพียงครึ่งวัน

หลินสวินที่กำลังทะยานไปในฟ้าดาราพลันหยุดก้าวเท้า เรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมาทันที

ปึง!!!

พลังฝ่ามือน่าครั่นคร้ามสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศและตบลงมาอย่างแรง กระแทกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งจนสะเทือนก้อง ส่วนเงาร่างของหลินสวินก็กระเด็นถอยหลังออกไปทันที

พรวด!

เขากระอักเลือด กลิ่นอายทั้งร่างยังปั่นป่วนไประลอกหนึ่ง

พอเงยมองไปก็พบว่าที่ฟ้าดาราไกลลิบมีเงาร่างที่เพลิงเทพสีทองอบอวลทั้งตัว กลิ่นอายเดือดดาลร่างหนึ่งทะลายอากาศมาเยือน

เป็นฉินเวิ่นจางนั่นเอง!

ทว่าบัดนี้เขาสีหน้าเย็นชา แววตามีไอสังหารน่าสะพรึงถาโถม ประหนึ่งเทพร้ายดึกดำบรรพ์อาละวาด ความโชติช่วงของอานุภาพที่แผ่ออกมาทำให้ฟ้าดาราแห่งนี้สะท้านปั่นป่วน

“หนีสิ ทำไมไม่หนีแล้วล่ะ”

ฉินเวิ่นจางเสียงเหี้ยมเกรียม เผยความแค้น

การที่ถูกหลินสวินฉวยโอกาสหนีมาจากแดนเทพต้าฉิน ถูกเขามองว่าเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ ใกล้จะคลุ้มคลั่งแล้ว

และก่อนหน้านี้เขาเชื่อคำของฉินไหวหลิน ไล่ตามไปทางแดนผนึกเรืองแสงอย่างโง่เขลา กระทั่งครึ่งทางถึงรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลและย้อนกลับมาทันที

ครั้นค้นหาในเมืองฉินรองหนึ่งก็ยังไม่พบร่องรอยของหลินสวิน ฉินเวิ่นจางจึงตัดสินได้ทันทีว่าเป็นไปได้สูงยิ่งว่าหลินสวินจะหนีไปเมืองเทพศุภโชค!

เพราะเมืองเทพศุภโชคเป็นสถานที่ที่ ‘เพิกเฉยเทพ’ มีแต่ที่นั่นหลินสวินถึงไม่กลัวการไล่ตามของกำลังพลเผ่าเทพต้าฉิน

หลังจากตัดสินได้เช่นนี้ ฉินเวิ่นจางก็ไล่ตามมาทันที เคลื่อนตัวอย่างบ้าคลั่งมาหลายชั่วยาม ในที่สุดก็ทำให้เขาพบกับหลินสวิน

“ทำไมต้องรีบรนหาที่ตายเช่นนี้”

หลินสวินถอนใจยาวเฮือกหนึ่งอย่างอดไม่อยู่

“เจ้าตัวจ้อย ไม่มีรูปจำลองเจตจำนงนั่นคุ้มครอง เจ้ายังกล้าปากดีอีกหรือ!”

ระหว่างที่ฉินเวิ่นจางพูดก็ยื่นมือมาคว้าหลินสวิน

ตูม!

มือใหญ่สีทองอร่ามมือหนึ่งพาดห้วงอากาศ แสงมรรคสีทองที่ปล่อยออกมาเผาผลาญดวงดาราที่อยู่ใกล้ๆ ไปทั้งหมด

นี่เป็นพลังของขั้นหลุดพ้น ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินจะสามารถต้านทานได้ในตอนนี้

ต่อให้ใช้อภินิหารหยุดเวลา ดาบกาลเวลา หรือประตูเนรเทศ… ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนผลลัพธ์ที่ถูกกำราบ

หลินสวินย่อมรู้เรื่องนี้ดี

ดังนั้นเขาจึงเอาป้ายคำสั่งที่ไท่เสวียนมอบให้ออกมาทันที

พึ่บ!

สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างแรกคือปราณกระบี่เรียบง่ายสายหนึ่ง พริบวาบในฟ้าดาราเบาๆ

มือใหญ่สีทองเจิดจ้านั้นพลันถูกตัดออกเหมือนกระดาษเปื่อย มลายหายไปในห้วงอากาศ

จากนั้นเงาร่างสูงใหญ่นั้นของไท่เสวียนปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่งกายชุดผ้าป่านทั้งตัว ผมยาวปลิวสยาย รูปลักษณ์สง่างามละโลกีย์

แสงมงคลไพศาลไหลเวียนอยู่เบื้องหลังเขา ท่ามกลางความเลือนราง กระบี่มรรคเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางแสงมรรคไพศาล เดี๋ยวเลือนเดี๋ยวชัด เผยลักษณ์ประหลาดสะท้านโลก น่าครั่นคร้ามไร้สิ้นสุด

“ผู้อาวุโส ข้าไม่มีทางเลือก รบกวนท่านออกหน้าแล้ว”

หลินสวินปาดคราบเลือดที่มุมปาก เสียงจนใจอยู่บ้าง

“บนมหามรรคใครไม่มีช่วงเวลาอับจนหนทางบ้าง จากที่ข้าดู ยามเจ้าแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้น คนเช่นนี้ก็จะอ่อนแอเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา”

เสียงของไท่เสวียนกระจ่างกังวาน ยืนอยู่เช่นนั้นก็เปรียบดั่งนายเหนือหัวสูงสุดผู้หนึ่ง!

ไกลออกไปฉินเวิ่นจางที่ไอสังหารถาโถม อานุภาพน่าครั่นคร้ามพลันนัยน์ตาเบิกกว้าง ร้องเสียงหลงว่า “ทะ… เทพยุทธ์!?”

เขาในตอนนี้สีหน้าปนเปหลายความรู้สึกยิ่ง คล้ายยากจะเชื่อ ทั้งยังเจือความหวาดหวั่นที่ไม่อาจปกปิด ทั้งตัวเหมือนถูกสายฟ้าฟาด

แต่ถึงอย่างไรฉินเวิ่นจางก็เป็นคนที่เทียบได้กับขั้นหลุดพ้น จึงได้สติกลับมารวดเร็ว ยามรับรู้ได้ว่าไม่เข้าทีก็หมุนตัวจะจากไปทันที

ตูม!

กลิ่นอายบนร่างเขาน่าสะพรึง เหมือนทุ่มสุดชีวิต มรรควิถีทั้งตัวถูกโคจรอย่างบ้าคลั่ง ชั่วพริบตาก็หายลับไปไร้ร่องรอย

ในฐานะเป็นระดับจอมยุทธ์ด่านสาม ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความน่ากลัวของระดับเทพยุทธ์ได้ดีกว่าเขา เพราะในหมู่บรรพชนเผ่าเทพต้าฉินของเขาก็เคยมีระดับเทพยุทธ์ปรากฏตัวเช่นกัน!

แม้เป็นรูปจำลองเจตจำนง ก็ยังสามารถสังหารระดับจอมยุทธ์ได้อย่างง่ายดาย!

กลับพบว่ารูปจำลองเจตจำนงของไท่เสวียนคว้าไปในห้วงอากาศเบาๆ

ทันใดนั้นหลินสวินก็เห็นภาพอัศจรรย์

ฉินเวิ่นจางที่ก่อนหน้านี้หนีไปไร้ร่องรอยแล้วถึงกับถูกลากกลับมาทั้งอย่างนั้น ร่างเขาเหมือนถูกหัตถ์สวรรค์จับไว้ ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

“มะ… ไม่…!!”

ฉินเวิ่นจางตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ร้องเสียงแหบแห้ง

ถ้ารู้แต่แรกว่าหลินสวินมีไพ่ตายเช่นนี้ เขาย่อมล้มเลิกการไล่ฆ่าหลินสวินไปนานแล้ว

แต่เห็นได้ชัดว่ามาเสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

และยามนี้หลินสวินก็ตกตะลึงอยู่เช่นนั้น

ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ตนคิดผิดถนัดแล้ว ประเมินความแข็งแกร่งของระดับนิรันดร์ต่ำเกินไป ยังนึกว่าเพียงรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็เกรงว่าจะไม่อาจกำราบขั้นหลุดพ้นแปดคนได้

แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ได้เป็นเช่นนี้สักนิด!

เพียงยื่นมือคว้า ขั้นหลุดพ้นอย่างฉินเวิ่นจางก็ถูกจับกลับมาเหมือนแมลงวัน นี่ต้องเป็นพลังที่น่ากลัวขนาดไหน

“จะไว้ชีวิตเขาสักครั้งไหม”

ไท่เสวียนเอ่ยเสียงเรียบ

หลินสวินส่ายหัว ตอนนี้ในใจเขามีความคิดอุกอาจอย่างหนึ่ง!

ปัง!

ร่างฉินเวิ่นจางระเบิดกระจุย พลังจิตยังถูกบดขยี้แหลกลาญ ฝนเลือดสาดกระเซ็นระเหยไปในชั่วพริบตา ตายอย่างไม่เหลือร่องรอยสักนิด

ถูกลบหายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว!

ในใจหลินสวินสะท้านสะเทือน สูดหายใจหนาวเยือก

ระดับนิรันดร์!

ถึงกับแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ในโลกยอดนิรันดร์ ลือกันว่ามีเพียงเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้าจึงจะมียอดคนที่สามารถบรรลุระดับนิรันดร์ได้

และในลัทธิแรกกำเนิด ไท่เสวียนเป็นระดับนิรันดร์เพียงคนเดียวในบรรดาคนใหญ่คนโตที่หลินสวินได้พบ

อาจเป็นเพราะไม่รู้เรื่องของระดับนี้นัก จึงทำให้หลินสวินไม่รู้สักนิดว่าพลังที่ระดับนี้ครอบครองน่ากลัวถึงขั้นไหน

แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว

รูปจำลองเจตจำนงร่างหนึ่ง ยังไม่ใช่ร่างต้นของไท่เสวียนด้วยซ้ำ กลับสามารถสังหารคนที่เทียบได้กับขั้นหลุดพ้นราวกับเชือดไก่ นี่ล้มล้างความรู้ความเข้าใจของหลินสวินโดยสิ้นเชิง

ไท่เสวียนคล้ายสังเกตเห็นความสะท้านสะเทือนในใจหลินสวิน จึงเอ่ยปากอธิบายว่า

“เขามีปราณเพียงขั้นหลุดพ้นขั้นกลาง อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส ถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์เช่นเสวียนเฟยหลิง ยามสังหารย่อมต้องเปลืองแรงสักหน่อย”

ไม่อธิบายยังพอว่า หลังอธิบายหลินสวินยิ่งรู้สึกว่าสมองใช้การไม่ได้แล้ว

ไม่ใช่ฆ่าไม่ได้ แต่เป็นต้องเปลืองแรงสักหน่อย…

อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงอานุภาพของรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่ง!

ไม่ว่าใช้คำใดๆ ก็ไม่อาจบรรบายความรู้สึกในใจหลินสวินได้ เขาพลันพบว่าต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์ ระดับปราณเช่นตนล้วนไม่ควรค่าให้มองดู…

“นี่คือฟ้าดาราศุภโชค ปีนั้นข้าก็เคยข้ามผ่านในฟ้าดาราไร้ขอบเขตไร้สิ้นสุดนี้ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้กลับเป็นการมาเยือนอีกครั้งด้วยพลังของรูปจำลองเจตจำนง

ไท่เสวียนไพล่มือไว้ด้านหลัง มองไปทั่วทิศพลางทอดถอนใจ “ก็ไม่รู้ว่าพวกสหายเก่าเมื่อปีนั้น ตอนนี้จะยังอยู่หรือไม่…”

พลันนั้นเขาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยว่า “หาพ่อแม่ของเจ้าเจอหรือยัง”

หลินสวินพยักหน้ากล่าว “พวกเขาถูกขังอยู่ที่แดนผนึกเรืองแสงขอรับ”

เขาเล่าข้อมูลที่ได้รู้มาให้แก่ไท่เสวียนทันที

“ขั้นหลุดพ้นแปดคน…”

ไท่เสวียนเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าว “ขอแค่ไม่มีระดับนิรันดร์เหมือนข้าลงมือ น่าจะสามารถช่วยเจ้าพาพ่อแม่ออกมาได้”

หลินสวินฮึกเหิมทันที ประสายมือกล่าวคารวะ “ขอผู้อาวุโสช่วยข้าด้วย”

“ในเมื่อข้าให้รูปจำลองเจตจำนงกับเจ้า ย่อมต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว”

ไท่เสวียนยิ้มน้อยๆ จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด กล่าวว่า “สามเผ่าเทพชั้นยอดที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ข้าเองก็รู้จัก รากฐานพลังล้วนหนาแน่น สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกในหมู่เผ่าเทพร้อยกว่ายุคสมัย”

“ในตระกูลของพวกเขาล้วนมีระดับนิรันดร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ควบคุมดูแล ทันทีที่ถูกพวกเขาสังเกตเห็น ด้วยพลังรูปจำลองเจตจำนงของข้าบางทีอาจสกัดขวางได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน”

“ดังนั้นเจ้าควรคิดทางหนีทีไล่หลังจากช่วยพ่อแม่ของเจ้าออกมาแล้วให้ดี”

เขากล่าวพลางมองไปยังหลินสวิน

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสคิดว่าเมืองเทพศุภโชคเป็นอย่างไร”

“นั่นเป็นสถานที่ดีและแปลกประหลาดยิ่งแห่งหนึ่งอย่างแท้จริง”

แววตาไท่เสวียนแปลกไป เอ่ยว่า “แต่การหลบในเมืองนั้น ทันทีที่ถูกศัตรูจากภายนอกล้อมเป็นชั้นๆ เจ้าคิดหนีก็ไม่ง่ายแล้ว”

ทันใดนั้นเขาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยอย่างคล้ายขบคิด “ว่าไปแล้วการเลือกทางถอยที่เมืองนั้น นี่กลับไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสพลิกวิกฤติ…”

“พลิกวิกฤติหรือ”

หลินสวินอึ้งไป

ไท่เสวียนยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ยังเร็วไป ข้าพาเจ้ามุ่งหน้าไปแดนผนึกเรืองแสงก่อน”

ว่าพลางเขาก็สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

เงาร่างของเขาและหลินสวินหายไปในห้วงอากาศโดยพลัน

………………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท