Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2796 แค่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2796 แค่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง

ตอนที่ 2796 แค่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง

ในใจฉินจิ่วอี้กดดันเคร่งเครียด

หายนะที่เหลียงชิวสุ่ยทำนายออกมา ทำให้เขาตระหนักได้ว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่แดนเทพต้าฉินจะเกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว

นี่หมายความว่าถ้าลั่วทงเทียนมาจริงๆ แต่พวกเขาตระกูลฉินไม่ได้จับอีกฝ่ายได้ทันที จะต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยแน่

‘ทำไมถึงเป็นเช่นนี้’

ฉินจิ่วอี้สงสัยเต็มอก เคลื่อนตัวไปในฟ้าดาราเต็มกำลัง

เขาอยากรู้คำตอบโดยเร็ว

หืม?

จู่ๆ ฉินจิ่วอี้ก็ชะงักเท้ากลางฟ้าดารา ในเบ้าตาลึกโหลฉายแววน่าครั่นคร้าม คำรามลั่นว่า

“ใคร”

ทันทีที่เสียงเงียบลง ระเบียบมหามรรคน่ากลัวปรากฏขึ้นบนตัวเขา แปลงเป็นเพลิงเทพสีดำลุกโชนแผ่กระจายออกไปกลางห้วงอากาศ

“ตอบสนองได้เร็วดี”

เสียงกระจ่างกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น รูปจำลองเจตจำนงของไท่เสวียนปรากฏตัวแล้วสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

ตูม!

เพลิงเทพสีดำเต็มฟ้าสลายไปในพริบตาเหมือนถูกพายุหอบม้วน เหลือเพียงห้วงอากาศที่ถูกเผาจนเต็มไปด้วยรูพรุน

“เทพยุทธ์!?”

ใบหน้าชราของฉินจิ่วอี้พลันเปลี่ยนสี แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง

“เจ้าเพิ่งมาจากแดนผนึกเรืองแสงหรือ”

ไท่เสวียนเอ่ยถาม

ฉินจิ่วอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กุมมือเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้าน้อยฉินจิ่วอี้จากตระกูลฉิน ขอถามว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”

ไท่เสวียนพลันยิ้มขึ้นทันใด เอ่ยว่า “บังเอิญจริง ข้าอยากหาพวกเจ้าอยู่พอดี”

ฉินจิ่วอี้อึ้งไป เอ่ยว่า “นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร”

ไท่เสวียนอธิบายอย่างใจเย็นว่า “เดิมทีข้าคิดจะไปช่วยคนที่แดนผนึกเรืองแสง แต่คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางนี้จะเจอกับเจ้า…”

ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ช่วยคน’ ฉินจิ่วอี้ก็ใจสะดุดกึก ไม่ทันรอให้ไท่เสวียนพูดจบก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านอยากช่วยใคร”

“สองสามีภรรยาลั่วชิงสวิน” ไท่เสวียนกล่าว

ฉินจิ่วอี้หน้าเปลี่ยนสีโดยสิ้นเชิง เอ่ยว่า “ใต้เท้า ท่านควรรู้ว่ากำลังพลของสามเผ่าเทพชั้นยอดตระกูลเหลียงชิว ตระกูลเยี่ยนและตระกูลอิ๋งต่างประจำการอยู่บริเวณแดนผนึกเรืองแสง ถ้าท่านหมายจะทำเช่นนี้ เกรงว่า…”

ไท่เสวียนยิ้มออกมา “ข้ารู้จักพวกเจ้า เจ้าไม่ต้องขู่หรอก”

ฉินจิ่วอี้ใจหล่นไปถึงตาตุ่ม เทพยุทธ์คนหนึ่งมาเยือนกะทันหัน มิหนำซ้ำทั้งที่รู้เรื่องสามเผ่าเทพชั้นยอดดีก็ยังไม่กลัวเกรง นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว

อีกฝ่ายเป็นใคร

ทำไมต้องยื่นมือเข้ามาด้วย หรือจะเป็นเพราะโลงนิรันดร์

“ถ้าท่านไม่กลัวว่าจะล่วงเกินสามเผ่าเทพชั้นยอด ข้าก็ไม่รังเกียจจะพาท่านไปแดนผนึกเรืองแสงแห่งนั้น”

ฉินจิ่วอี้ทำใจให้นิ่งแล้วเอ่ยเสียงขรึม เขากำลังวางแผนถ่วงเวลา เพราะเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้ากับระดับเทพยุทธ์ผู้หนึ่ง อย่างว่าแต่เขาคนเดียวเลย ต่อให้เป็นทั้งตระกูลฉินก็ขวางไม่อยู่!

“ได้สิ”

ไท่เสวียนตอบรับอย่างยินดี

แต่ไม่ทันรอให้ฉินจิ่วอี้ได้ถอนหายใจโล่งอกก็ได้ยินไท่เสวียนพูดต่อ “แต่ว่า แค่ให้ศีรษะเจ้ามานำทางก็พอ”

สวบ!

ยังพูดไม่ทันจบฉินจิ่วอี้ก็หนีไปแล้ว ตอบสนองรวดเร็วจนทำให้หลินสวินที่สังเกตการณ์อย่างลับๆ มาโดยตลอดยังตกตะลึง

กลับพบว่าไท่เสวียนไม่รีบไม่ร้อน ชี้ไปบนห้วงอากาศเบาๆ

“อ๊าก!”

ทันใดนั้นที่ห้วงอากาศไกลลิบก็เหมือนกระจกแตกกระจุย ร่างของฉินจิ่วอี้ร่วงลงมาทันที

ทั้งร่างเขาโชกเลือด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยพลังดรรชนีอันแผ่วเบานี้!

หลินสวินปากคอแห้งผากไปครู่หนึ่ง ในใจปั่นป่วน พลังของระดับนิรันดร์แข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ ไม่อาจเข้าใจได้สักนิดว่ารูปจำลองเจตจำนงร่างหนึ่งเท่านั้น ก็สามารถทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นหลุดพ้นอันเป็นขั้นสามของระดับอมตะบาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย!

“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”

ไท่เสวียนเอ่ยปาก ก้าวออกไปก้าวเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าฉินจิ่วอี้

ตูม!

ฝ่ายหลังคำรามกราดเกรี้ยว แสงมรรคทั้งร่างคล้ายจะแผดเผา สาดส่องฟ้าดาราแห่งนี้ เขาดิ้นรนสุดกำลัง ใช้พลังถึงขีดสุดหมายหลบหนี

ชั่วพริบตานั้นหลินสวินดวงตาเจ็บแปลบ จิตใจสั่นระรัว อะไรก็มองไม่เห็นแล้ว

พลังระดับนี้ปะทะกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาในตอนนี้จะมองทะลุได้อยู่แล้ว

หลินสวินได้ยินแต่ไท่เสวียนถอนใจเบาๆ ว่า “รู้ดีว่าเปลืองแรงแล้วทำไมถึงไม่เด็ดศีรษะลงมาเอง เช่นนี้แล้วข้าอาจจะเห็นแก่ว่าเจ้าฝึกปราณมายากลำบาก เหลือพลังจิตไว้ให้เจ้าสายหนึ่ง”

คำพูดนี้ทำเอาหลินสวินอึ้งค้างไปอย่างอดไม่ได้ กล่อมให้ศัตรูเด็ดหัวตัวเองส่งให้หรือ

ผู้อาวุโสไท่เสวียนนี่… จะเผด็จการไปแล้วกระมัง

ยามสายตาหลินสวินกลับมามองเห็น ก็เห็นว่าในมือไท่เสวียนถือศีรษะเลือดไหลรินหัวหนึ่งเดินมา ศีรษะนั้นย่อมเป็นของฉินจิ่วอี้ ดวงตากราดเกรี้ยวเบิกโพลง เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและหวาดผวา

หลินสวินนิ่งอึ้ง ขั้นหลุดพ้นผู้หนึ่งก็ตายลงเช่นนี้หรือ

“รีบไป เกรงว่าการต่อสู้ที่นี่จะทำให้ศัตรูสังเกตเห็นแล้ว”

ขณะพูดไท่เสวียนก็สะบัดแขนเสื้อ พาหลินสวินทะลวงอากาศจากไป

นอกแดนผนึกเรืองแสง

บัดนี้คนใหญ่คนโตขั้นหลุดพ้นอย่างเหลียงชิวสุ่ย เหลียงชิวอวิ๋น อิ๋งเซี่ยวยวนต่างรวมตัวกันกลางห้วงอากาศ หว่างคิ้วแต่ละคนปรากฏแววฉงน

ก่อนหน้านี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นการต่อสู้ กลิ่นอายนั้นทำให้พวกเขาหนาวเยือกในใจ พุ่งกระโจนออกไปทันที

“เป็นกลิ่นอายระดับเทพมรรค”

เหลียงชิวสุ่ยที่หนวดผมเป็นสีขาว ใบหน้าเมตตาเป็นมิตร แต่บัดนี้สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

ในยุคมรรคราชัน ระดับเทพมรรคก็คือระดับนิรันดร์

ส่วนยุคเงาเมฆของอิ๋งเซี่ยวยวนเรียกระดับนิรันดร์ว่า ‘ระดับราชันเทพ’

ยุคต้นพิสุทธิ์ของเยี่ยนอันเต้า เรียกระดับนี้ว่า ‘ระดับท่องเทพ’

สรุปแล้วแม้ชื่อไม่เหมือนกัน แต่ความจริงล้วนเป็นการกล่าวถึงระดับนิรันดร์ทั้งสิ้น

“พูดเช่นนี้ หายนะคราวนี้ต้องร้ายแรงกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้ประมาณหนึ่ง”

ยามนี้อิ๋งเซี่ยวยวนที่นิสัยใจคออหังการมาตลอดยังเผยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างอดไม่ได้

“ข้าสงสัยนักว่าในแหล่งสถานศุภโชคแห่งนี้เป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์คนใดมาเยือนกัน หรือจะอยากสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องโลงนิรันดร์ด้วย”

เยี่ยนอันเต้าใคร่ครวญ

“ในเมื่อสิ่งที่ทำนายได้คือหายนะ ข้าเห็นว่าเตรียมพร้อมต่อสู้ไว้ดีกว่า”

เหลียงชิวสุ่ยสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยปาก

ก็ในตอนนี้เอง…

กลางห้วงอากาศไกลลิบ เงาร่างสูงใหญ่ยิ่งร่างหนึ่งเดินมาช้าๆ เบื้องหลังเขามีกระบี่มรรคเล่มหนึ่งพริบไหวลอยอยู่กลางแสงมรรคไพศาล

เมื่อมองโดยละเอียด เขาสวมชุดผ้าป่านทั้งตัว ผมยาวสลาย รูปลักษณ์สง่างามละโลกีย์ มือขวาถือศีรษะที่เลือดหลั่งรินอยู่หัวหนึ่ง

ยามเห็นภาพนี้ฉินเวิ่นเจินเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ตาแทบหลุดจากเบ้า ร้องว่า “นั่นมันหัวของจิ่วอี้!!”

ครั้นมองดูคนอื่นๆ แต่ละคนล้วนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เข้าใจขึ้นมาในยามนี้ว่ากลิ่นอายการต่อสู้ที่สัมผัสได้เมื่อครู่มาจากที่ไหน

ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มองทะลุกลิ่นอายบนตัวไท่เสวียน ในใจล้วนปั่นป่วนอยู่ครู่หนึ่ง

ผู้มาเยือนไม่ได้มาดี ผู้มาดีไม่มาเยือนดังคาด!

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขากังขาก็คืออีกฝ่ายไม่ใช่ลั่วทงเทียน แปลกหน้ายิ่ง และไม่มีทางเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แจ้งมรรคถึงขั้นสูงสุดในแหล่งสถานศุภโชคพวกนั้น

จากนั้นพวกเขาถึงเห็นหลินสวินที่ไท่เสวียนปกป้องไว้เบื้องหลัง เทียบกันแล้วกลิ่นอายขั้นอายุขัยเทียมฟ้าของหลินสวินนั้นถูกไท่เสวียนกลบไว้โดยสิ้นเชิงแล้ว

ก็ในตอนนี้เอง เสียงไท่เสวียนเอ่ยช้าๆ ว่า “ตัวอย่างเผยอยู่เบื้องหน้า ถ้าทุกท่านไม่อยากเดินตามรอยคนผู้นี้ก็ถอนตัวไปจากที่นี่ตอนนี้เถอะ”

เสียงดังไปทั่วทั้งที่นั้น

“นี่ท่านคิดจะประกาศศึกกับพวกเราหรือ” เหลียงชิวสุ่ยฝืนข่มความรู้สึกในใจ เอ่ยเสียงเข้ม

“ถ้าพวกเจ้าไม่จากไป เช่นนั้นก็เป็นการประกาศศึก”

ไท่เสวียนเอ่ย

ภายใต้ท่าทีสงบนิ่งนี้ มีน้ำเสียงไม่อาจกังขาได้ในที ทำเอาพวกเหลียงชิวสุ่ยต่างรู้สึกหนักอึ้งในใจ

เหลียงชิวอวิ๋นพลันเอ่ยว่า “ไม่ถูกต้อง เขาเป็นแค่รูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่ง ทุกท่านอย่าตกใจไป”

รูปจำลองเจตจำนงหรือ

สัตว์ประหลาดเฒ่าขั้นหลุดพ้นเหล่านี้อึ้งไป เพิ่งสัมผัสได้ยามนี้ เมื่อมองทะลุแล้วแรงกดดันทั้งร่างก็ลดลงไม่น้อย

“รูปจำลองเจตจำนงแล้วอย่างไร ฆ่าพวกเจ้าได้ก็พอ”

ไท่เสวียนยิ้มออกมา “สามลมหายใจ ถ้าพวกเจ้าไม่ไปอีกเช่นนั้นก็เปิดศึกแล้ว”

“หนึ่ง”

เขาเริ่มนับ

ไกลออกไปพวกเหลียงชิวสุ่ยสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด พวกเขาที่มีฐานะเป็นสามเผ่าเทพชั้นยอด จะก้มหัวถอยหนีอย่างคับแค้นใจเช่นนี้ได้อย่างไร

แต่การตายของฉินจิ่วอี้กลับทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคามอย่างลึกล้ำ รูปจำลองเจตจำนงแล้วอย่างไร พลังที่ระดับเช่นนั้นครอบครอง ไม่ใช่ว่าใครจะไปต้านทานได้ง่ายๆ

“สอง”

เสียงไท่เสวียนดังขึ้นอีกครั้ง

นี่ก็เหมือนเสียงระฆังพิพากษาตัดสินโทษประหาร ทำเอาพวกเหลียงชิวสุ่ยรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่กระทบหน้าเข้ามา

ในช่วงที่กดดันบีบคั้นเช่นนี้ เหลียงชิวสุ่ยเอ่ยเสียงขรึมว่า “ถ้าท่านสกัดรูปจำลองเจตจำนงระดับเทพมรรคของตระกูลข้าไว้ได้ พวกข้าจะจากไปทันที”

ขณะพูดในมือเขาก็มีหยกประดับเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

เปรี๊ยะ!

หยกประดับแตกกระจาย เงาร่างหนึ่งเผยออกมา เขาสวมชุดนักพรตทั้งตัว ผมสีหมึกดำสนิท คิ้วกระบี่เนตรดาราทั้งสองข้างคมกริบหาใดเทียบ เรือนกายสูงโปร่ง ประกายเทพที่พร่างพราวตระการตาเป็นริ้วๆ ล้อมอยู่รอบตัวเขา ความรู้สึกที่มอบให้แก่ผู้คนคืออานุภาพแห่งนิรันดร์ไม่เสื่อมสลาย กดข่มมหามรรค

พวกอิ๋งเซี่ยวยวนพลันเหมือนยกภูเขาออกจากอก ผ่อนคลายไปทั้งตัว

เห็นชัดว่ารูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์สายหนึ่งมอบความเชื่อมั่นใหญ่ยิ่งให้แก่พวกเขา

แต่ทันใดนั้นคนบางส่วนกลับตระหนักถึงเรื่องบางอย่าง หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

เหลียงชิวสุ่ยถึงกับซ่อนรูปจำลองเจตจำนงระดับนี้ไว้ นี่ถ้าเกิดใช้ในการชิงโลงนิรันดร์… ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ได้

แต่พวกเขาต่างไม่เอ่ยออกมา ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องพวกนี้

“ผู้อาวุโส รบกวนท่านออกศึกด้วย” เหลียงชิวสุ่ยกุมมือคารวะอย่างยำเกรง

เงาร่างในชุดนักพรตนั้นพยักหน้าเบาๆ ดวงตามองไปยังไท่เสวียนที่อยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าเหลียงชิวเทียนอู่จากตระกูลเหลียงชิว”

เขาหยุดไปแล้วเสริมอีกว่า “ผู้ฝึกกระบี่”

คำที่เอ่ยออกมาเรียบง่าย ทั้งยังเรียกตัวเองอย่างธรรมดา แต่เมื่อปรากฏอยู่บนรูปจำลองเจตจำนงของผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์ ความหมายย่อมไม่เหมือนกันแล้ว

ผู้ฝึกกระบี่แล้วอย่างไร เซียนกระบี่แล้วอย่างไร

ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณที่อยู่บนเส้นทางการเสาะแสวงมรรคกระบี่ทั้งนั้น

ดังนั้นไม่ว่ามรรควิถีจะสูงหรือต่ำ การเรียกตัวเองว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่’ จึงเหมาะเจาะนัก

“ข้า ก็แค่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเช่นกัน”

ไท่เสวียนหัวเราะขึ้นมาอย่างเบิกบาน เสียงก้องไปทั้งเวิ้งฟ้า

“นามว่ากระไร”

เหลียงชิวเทียนอู่เอ่ยถาม

“ถ้าเอาชนะข้าได้ก็จะบอกเจ้า”

รอยยิ้มไท่เสวียนยิ่งเบิกบาน คล้ายสุขใจเพราะเจอเหยื่อ เสื้อผ้าไหวกระพือไปทั้งตัว

“ได้”

เหลียงชิวเทียนอู่พยักหน้า

ตูม!

ฟ้าดาราแห่งนี้พลันสั่นสะเทือนขึ้นมา ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่งเสียงกรอบแกรบ โคลงเคลงคล้ายจะร่วงหล่น

กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามที่ไม่อาจบรรยายได้อบอวลออกมาจากร่างเหลียงชิวเทียนอู่ อานุภาพเช่นนั้นกดดันจนขั้นหลุดพ้นอย่างพวกเหลียงชิวสุ่ยต่างถอยไปไกลตามจิตใต้สำนึก ไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย

“สหายน้อย เจ้าก็ถอยไปด้วย”

ไท่เสวียนสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เงาร่างหลินสวินก็ถูกเคลื่อนย้ายไปไกลลิบ

จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปคว้า กระบี่มรรคที่ลอยอยู่กลางแสงมงคลไพศาลด้านหลังเขามาตลอดร่วงลงสู่ฝ่ามือ ส่งเสียงดังชิ้งกึกก้องไปทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

และยามนี้อานุภาพของไท่เสวียนก็เปลี่ยนเป็นแข็งกล้าถึงขีดสุด ขณะหายใจเข้าออกล้วนทำให้ฟ้าดาราแห่งนี้ถูกฉุดลาก เกิดแรงสะเทือนเหมือนกระแสน้ำขึ้นลง

ภาพเช่นนั้นน่าเหลือเชื่อยิ่งยวด!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท