ตอนที่ 2798 ครอบครัวพร้อมหน้า
เห็นหลินสวินประหลาดใจเช่นนี้ ไท่เสวียนอดยิ้มไม่ได้ อธิบายด้วยเสียงอบอุ่น
“หากระดับนิรันดร์ลงมือ ต้องทำให้กฎระเบียบฟ้าดินเกิดระลอกคลื่นประหลาดแน่นอน ถึงขั้นที่เป็นไปได้สูงมากว่าจะเจอการสะท้อนกลับและโจมตีจากกฎระเบียบฟ้าดิน”
“เมื่อครู่นี้หากเปลี่ยนเป็นร่างต้นของข้าอยู่ที่นี่ หลังจากพลังกฎระเบียบของฟ้าดาราแห่งนี้รับรู้ถึงอันตราย จะต้องดำเนินการกดข่มข้าแน่นอน”
“อย่างในโลกยอดนิรันดร์ มีเพียงน่านฟ้าที่เก้าที่สามารถรับการต่อสู้ของระดับนิรันดร์ได้ ที่นั่นคือฟ้าดินแห่งนิรันดร์ และสามารถทำให้ระดับนิรันดร์ฝึกปราณที่นั่นได้”
“ทั้งหมดนี้หมายความว่าหากเจ้าอยู่ที่อื่น แทบจะเจอผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์ที่แท้จริงได้อย่างยิ่ง อย่างมากก็เจอได้แค่รูปจำลองเจตจำนงอย่างข้า”
ฟังจบหลินสวินเข้าใจทันที และกระจ่างในจุดหนึ่งด้วย นั่นคือกฎระเบียบฟ้าดินทั้งสามารถถูกระดับนิรันดร์นำมาใช้งาน และก็สามารถเกิดการสะท้อนกลับใส่ระดับนิรันดร์ได้เช่นกัน!
“ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว รีบไปแดนผนึกเรืองแสงนั่นเถอะ”
ไท่เสวียนชี้ไปไกลๆ
บริเวณนั้นกลิ่นอายขุ่นมัวแรกกำเนิดอบอวล เส้นแสงเรียวยาวสายแล้วสายเล่าปรากฏให้เห็นเป็นบางคราว แสงประกายพริบไหวพาให้คนใจสั่น
นั่นคือพลังของเขตแดนกาลเวลา!
และในเขตแดนกาลเวลานั่นก็คือแดนผนึกเรืองแสง สถานที่ที่บิดามารดาของหลินสวินถูกขังอยู่
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มุ่งตรงไปข้างหน้า
“จำไว้ว่าต้องเร่งมือ”
ไท่เสวียนเตือนประโยคหนึ่ง
หลินสวินพยักหน้า เขาเรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมาป้องกันรอบตัว
เพียงแต่เมื่อเข้าสู่พื้นที่ขุ่นมัวแถบนั้นจริงๆ มองเห็นทิวทัศน์ในนั้น หลินสวินก็ชะงักเท้าทันใด
ตูม โครม!
รอยแยกกาลเวลาที่เจิดจ้าหนาใหญ่นับไม่ถ้วนราวกับพายุคลั่งเป็นสายๆ โหมกระหน่ำตัดสลับอยู่ภายในไม่หยุด สำแดงภาพการทำลายล้างที่ปั่นป่วนโกลาหลยิ่งยวด
มองเพียงแวบเดียวหลินสวินก็หนาวเยือกในใจอย่างอดไม่ได้
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
มิน่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา แม้รู้ดีว่าบิดามารดาตนติดอยู่ในแดนผนึกเรืองแสง แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถบุกเข้าไปได้
ต่อให้เป็นขั้นหลุดพ้นเหล่านั้นก็ไม่กล้าก้าวเข้ามาในนี้
เพราะเขตแดนกาลเวลาที่ปกคลุมอยู่ที่นี่น่ากลัวเกินไปจริงๆ!
จากแค่ความรู้สึกหลินสวินก็ตัดสินได้แล้วว่า ด้วยอานุภาพของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง เกรงว่าจะขวางการโจมตีของพลังกาลเวลาไม่ได้
หลินสวินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วเรียกโลงนิรันดร์ออกมา
ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าเมื่อกลิ่นอายของโลงนิรันดร์แผ่ออกมา กระแสกาลเวลาที่อยู่ใกล้ที่สุดถึงกับค่อยๆ สงบลง
‘ผู้อาวุโสไท่เสวียนเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ เป็นไปได้สูงมากว่าโลงนิรันดร์จะเป็นกุญแจเปิดเขตแดนกาลเวลาแห่งนี้’
นอกจากความกระจ่างแจ้งแล้ว หลินสวินยังอดประหลาดใจไม่ได้ ‘เพียงแต่ ตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ไม่มีโลงนิรันดร์ เช่นนั้นพวกเขาเข้าไปในแดนผนึกเรืองแสงแห่งนี้ได้อย่างไร’
คิดถึงตรงนี้ใจเขาพลันกระตุกวูบ เสียงชิ้งดังขึ้นคราหนึ่ง กระบี่ศุภโชคปรากฏในฝ่ามือ
วู้ม!
พริบตานั้นกระบี่ศุภโชคเกิดเสียงแปลกประหลาด ราวกับโห่ร้องยินดี ตัวกระบี่ที่สั่นเทิ้มแผ่ระลอกคลื่นกาลเวลาวงแล้ววงเล่าออกมาเป็นวงกว้าง
ทันใดนั้นกระแสกาลเวลาที่ปั่นป่วนโกลาหลนั่นพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์ เหมือนสัตว์ที่ถูกกำราบ จมสู่ความเงียบงัน นิ่งไม่ขยับ
‘กระบี่ศุภโชค โลงนิรันดร์… สมบัติสองชิ้นนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากต่อแดนผนึกเรืองแสง และตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นท่านตาทวดหรือท่านพ่อท่านแม่ คงเข้าสู่ที่นี่ด้วยกระบี่ศุภโชค’
หลินสวินเข้าใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เขาไม่ได้ชักช้า เก็บโลงนิรันดร์และถือเพียงกระบี่ศุภโชคเดินเข้าไปในส่วนลึกของเขตแดนกาลเวลาที่อยู่ในสภาพเงียบงันนั้น
โครม!
เมื่อเงาร่างหลินสวินหายไปในนั้นแล้ว เขตแดนกาลเวลาที่เงียบสงบในตอนแรกจู่ๆ ก็โหมกระหน่ำขึ้นมา พลิกม้วนปั่นป่วนไม่หยุด
ฟ้าดาราไกลลิบ ไท่เสวียนนั่งขัดสมาธิ
พื้นที่บริเวณนั้นยังมีผู้ฝึกปราณแต่ละตระกูลซ่อนตัวอยู่ในตำหนักแต่ละหลัง ตัวสั่นระริก ตื่นกลัวยากจะสงบ
เพียงแต่ไท่เสวียนคร้านจะไปสนใจ
……
ในเขตแดนกาลเวลา
แดนลับที่ภูเขางามแม่น้ำใสแห่งหนึ่ง
ใจกลางของโลกนี้มียอดเขาสูงเสียดฟ้าสีดำลูกหนึ่งตั้งอยู่ พุ่งทะลวงเมฆาราวกับเสาค้ำสวรรค์ สูงตระหง่านอย่างที่สุด
ตรงยอดเขา หมอกเมฆลอยแผ่ว ตำหนักที่เก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ อาบอยู่ในราตรีรัตติกาลที่มืดมิด ลึกลับและน่าเกรงขาม
ข้างตำหนักนี้มีกระท่อมฟางหลังหนึ่งสร้างอยู่ หน้ากระท่อมปลูกดอกไม้และพืชผล ตัดแต่งอย่างสวยงาม
กำแพงรั้วที่ก่อจากก้อนอิฐโอบล้อมกระท่อมแห่งนี้ให้กลายเป็นลานเรือนหลังหนึ่ง
ตรงกลางลานเรือนวางโต๊ะเตี้ยและเบาะรองนั่ง
เวลานี้ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ฝ่ายชายกำลังนั่งสมาธิ
ฝ่ายหญิงกำลังเย็บผ้า นิ้วมือกระจ่างเรียวยาวหยิบแก่นประกายเมฆที่เพรียวบางโปร่งแสงซึ่งเพิ่งเก็บมาเมื่อครู่นี้ขึ้น แล้วนำมาเย็บไปมาไม่หยุด
ไม่นานชุดคลุมที่เรียบง่ายสะอาดสะอ้านก็เสร็จสมบูรณ์
นางลุกขึ้นหยิบชุดคลุมขึ้นมาพินิจแล้วพูดอย่างดีใจ “เหวินจิ้ง เจ้าว่าชุดนี้เป็นอย่างไร”
ชายที่นั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นแล้วยิ้มกล่าว “ดี ดีมาก ดีที่สุด ทำให้ข้าใช่หรือไม่”
ฝ่ายหญิงเก็บชุดคลุมราวกับของรักของหวง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เก็บไว้ให้สวินเอ๋อร์ เจ้าก็อย่าหวังเลย”
ฝ่ายชายยิ้มขื่น พูดอย่างจนใจ “รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเราจะถูกขังอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน เจ้าเย็บเสื้อผ้าไว้ให้เขามากแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสได้ใส่”
ฝ่ายหญิงน้ำตารื้น เอ่ยอย่างจริงจัง “ต่อไปต้องได้ใส่แน่”
ฝ่ายชายขานรับว่าอืม พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ชิงสวิน ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าคิดถึงและเป็นห่วงเด็กคนนั้นมาโดยตลอด เพียงแต่เขาไปจากเราตั้งแต่แบเบาะ ต่อไปแม้มีโอกาสได้เจอ เกรงว่าในช่วงสั้นๆ ก็ยังยากจะอยู่ร่วมกับพวกเราซึ่งเป็นพ่อแม่ได้โดยไม่มีช่องว่าง เฮ้อ… เจ้าก็รู้ว่าพวกเรา… กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ทังมีนิสัยเป็นอย่างไร…”
ระหว่างที่กล่าวเสียงก็เปลี่ยนเป็นต่ำเบา แววตามืดมน
นี่คือโรคในใจของเขา
เขาถึงขั้นรู้สึกว่าคนเป็นบิดาอย่างตนไม่เอาไหนและไร้ประโยชน์เกินไป
ฝ่ายหญิงเดินเข้าไปกอดเขาจากด้านหลัง เอ่ยพูดเสียงเบา “ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะรูปลักษณ์เป็นอย่างไร ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยอย่างไร ในใจข้าเขาก็ดีที่สุด เจ้าน่ะอย่าโทษตัวเองอีกเลย ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะข้า จะนำความวุ่นวายมาสู่ตระกูลหลินของเจ้าได้อย่างไร”
ฝ่ายชายสูดหายใจลึกคราหนึ่ง จับมือนางไว้เบาๆ แล้วยิ้มพูด “นี่ก็คือโชคชะตา สมควรให้พวกเราสองคนได้อยู่ด้วยกัน”
ฝ่ายหญิงเองก็ยิ้มแล้ว เอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาหรอก แต่เจ้าว่าแปลกหรือไม่ ยามอยู่ที่จักรวรรดิจื่อเย่า ข้าดันมาถูกใจเจ้า แม้ความทรงจำฟื้นคืนมาแล้วก็ไม่เคยมีความคิดจะทิ้งเจ้าไป”
ฝ่ายชายอดเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในแบบลูกผู้ชายไม่ได้ เอ่ยว่า “สามารถเข้าตาผู้กล้าหญิงอย่างเจ้าได้ พูดได้เพียงว่าข้าหลินเหวินจิ้งก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
ฝ่ายหญิงเม้มปากยิ้มกล่าว “นั่นย่อมแน่นอน ต่อให้เจ้าเป็นตัวอัปลักษณ์ แต่ถ้าเข้าตาข้าก็เป็นตัวอัปลักษณ์ที่ดีที่สุดในโลก”
ฝ่ายชายแสร้งทำเป็นโกรธ “ดีนักนะ เจ้าถึงกับกล้าเสียดสีว่าข้าเป็นตัวอัปลักษณ์”
เขาลุกขึ้นจะโผเข้าไป หมายจะกอดฝ่ายหญิงเอาไว้
ก็เป็นตอนนี้เองที่เขาพลันสังเกตเห็นความผิดปกติ
ฝ่ายหญิงจ้องนอกเรือนตาไม่กะพริบ เหมือนเหม่อไป ทั้งคล้ายสูญเสียจิตวิญญาณ
เกิดอะไรขึ้น…
เขามองตามสายตาของนางไป
ก็เห็นว่านอกประตูไม้มีเงาร่างผ่าเผยสายหนึ่งยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร เขาสวมชุดขาวพระจันทร์ทั้งตัว ผมดำแผ่สยายร่วงลู่ เผยใบหน้าที่หนักแน่นหล่อเหลา
ฝ่ายชายเองก็อึ้งไปทันที ราวกับถูกฟ้าผ่า
ทั้งในและนอกเรือนเงียบกริบ ราวกับมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ก่อตัวและพวยพุ่งขึ้นมา
ครู่ใหญ่ฝ่ายหญิงถึงเอ่ยเสียงสั่น “สวินเอ๋อร์ เป็นเจ้าหรือ”
เสียงสะอื้น น้ำตาสีใสสองสายไหลลงจากใบหน้าขาวกระจ่างนุ่มนวลของนาง เรือนงามสง่าตอนนี้สั่นไหวเบาๆ ขึ้นมา
แววตาของนางเลื่อนลอย มีทั้งความดีใจ ประหม่า และตื่นเต้นที่ยากปกปิด ราวกับกลัวว่าทุกสิ่งตรงหน้าจะเป็นความฝัน
แม้หลินสวินจะเตรียมใจไว้แล้ว แม้จะเคยเจอรูปจำลองเจตจำนงของมารดาที่โลกยอดนิรันดร์แล้ว แต่ยามเห็นตัวจริงของนาง ในใจหลินสวินยังคงเสียการควบคุมดังเดิม
“ท่านแม่ เป็นข้าเอง”
เสียงของเขาแหบพร่า ทุกคำพูดคล้ายหนักหน่วง
แต่ละภาพในอดีตม้วนตลบในหัวสมองราวกับลมพายุ ทำเอาแววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยไปเช่นกัน
ลั่วชิงสวินราวกับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป พุ่งเข้าไปกอดหลินสวินไว้แน่น “สวินเอ๋อร์ ข้า… ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้าแล้ว…”
พูดพลางนางก็ร่ำไห้ไปด้วย น้ำตาซึมสาบเสื้อของหลินสวินจนชุ่ม
หลินสวินเองก็กอดลั่วชิงสวินแน่น ในใจผุดความดีใจและตื่นเต้นที่ยากจะอธิบาย เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไปหลายครั้ง แต่กลับพบว่าตอนนี้ไม่ว่าคำพูดใดเห็นชัดว่าไร้ความหมาย
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นลั่วชิงสวินถึงเงยหน้าขึ้น ถอยหลังไปสองก้าวแล้วเช็ดดวงตาที่แดงก่ำจับจ้องหลินสวินอย่างจริงจัง หว่างคิ้วค่อยๆ ปรากฏความดีใจที่บอกไม่ถูก
“สวินเอ๋อร์ หลายปีนี้ข้าคิดมาโดยตลอดว่าเจ้าจะหน้าตาเป็นอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร แต่เมื่อครู่นี้พอเจอเจ้าข้าก็ลืมสิ้นทุกอย่าง มีเพียงความคิดเดียวว่าเจ้าก็คือลูกของข้า ไม่มีทางผิดแน่”
พูดจบนางเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หันหน้ากลับไปกล่าว “เหวินจิ้ง สวินเอ๋อร์มาแล้ว เหตุใดเจ้าไม่เข้ามา”
“ข้า…”
หลินเหวินจิ้งที่อยู่ในสภาพอึ้งค้างมาตลอด ตอนนี้ก็ตื่นเต้นอย่างที่สุด ท่าทางทำอะไรไม่ถูก เหมือนไม่รู้ว่าควรไปปฏิสัมพันธ์กับลูกที่แยกจากตนไปนานคนนี้อย่างไร
“ท่านพ่อ”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเดินเข้าไป กางสองแขนกอดหลินเหวินจิ้งไว้ “ข้ามารับท่านกับท่านแม่ไปจากที่นี่ ต่อไปครอบครัวเราก็จะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว”
หลินเหวินจิ้งเหมือนควบคุมความรู้สึกในใจไม่ไหวอีกต่อไป ตบหลังหลินสวินด้วยมือที่สั่นเทา เอ่ยว่า “ลูกพ่อ หลายปีนี้… ลำบากเจ้าแล้ว”
พูดพลางเขาก็แสบจมูกขึ้นมา เกือบจะร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ความรู้สึกผิด ความตื่นเต้น ความดีใจ… สารพัดความรู้สึกปะปนกัน ทำเอาบุรุษเต็มตัวอย่างเขายังเสียการควบคุมไปบ้าง
“ความลำบากนับเป็นอะไรได้ ขอเพียงแค่ครอบครัวพวกเราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ล้วนสำคัญกว่าสิ่งใด”
หลินสวินยิ้มออกมา
ห่างไปไม่ไกล เมื่อเห็นภาพที่พ่อลูกกอดกัน รอยยิ้มของลั่วชิงสวินก็เจิดจรัส ในขอบตากลับมีน้ำตาไหลลงมา
นี่คือน้ำตาแห่งความดีใจ ผ่านไปนานปี ครอบครัวได้กลับมาพบกัน บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรทำให้คนมีความสุขได้มากกว่านี้แล้ว
ครู่ใหญ่ลั่วชิงสวินสูดหายใจลึกแล้วพุ่งปราดเข้าไปในกระท่อม ตอนที่กลับออกมา ในอ้อมอกก็กอดเสื้อผ้ากองโตเหมือนกอดภูเขาลูกย่อมๆ เอาไว้
“สวินเอ๋อร์ หลายปีมานี้ข้าเย็บเสื้อผ้าและรองเท้าไว้ให้เจ้ามากมาย เจ้ารีบลองดูว่าใส่ได้หรือไม่”
ลั่วชิงสวินพูดอย่างคาดหวัง
มองเห็นเสื้อผ้าเหล่านี้ เห็นสีหน้าที่คาดหวังและยินดีของมารดา ส่วนลึกในใจที่อ่อนยวบที่สุดของหลินสวินเหมือนถูกสะกิดโดน ขอบตาค่อยๆ ชื้นขึ้นมา
——