Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2800 งานสำเร็จ กายสลาย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2800 งานสำเร็จ กายสลาย

ตอนที่ 2800 งานสำเร็จ กายสลาย

ครืน!

นอกแดนผนึกเรืองแสง แสงมรรคม้วนตัว ดวงดาวสั่นสะเทือน

เงาร่างนั้นราวกับเทพมาเยือน สวมเกราะทองทั้งตัว ผมยาวสีหมึกปลิวสยาย รูปลักษณ์หล่อเหลาไร้ใดเปรียบมีไอสังหารเยียบเย็นรัดพัน

“ทุกท่าน เมื่อครึ่งเค่อก่อนเป้าหมายออกจากแดนผนึกเรืองแสง หากไม่ผิดคาดจะต้องมุ่งหน้าไปเมืองเทพศุภโชคอย่างไม่ต้องสงสัย!”

ร่างในชุดเกราะทองกวาดมองรอบๆ จากนั้นส่งเจตจำนงน่ากลัวหนึ่งสายออกมา แผ่การะจายออกไปไกล

จากนั้นเขาก้าวเท้าหนึ่งออกไป ก่อนหายตัวไปกลางอากาศ

“ตาม!”

“ไม่ว่าอย่างไรอย่าให้เขาหนีไปได้เด็ดขาด”

“ไป!”

แทบจะในเวลาเดียวกัน ส่วนลึกของฟ้าดาราปรากฏเจตจำนงน่ากลัวสายแล้วสายเล่า ไอสังหารที่ไม่ปกปิดสักนิดเหล่านั้นราวกับจะหมายจะเลิกเปิดฟ้าดารา น่ากลัวอย่างที่สุด

……

ระหว่างทาง

ไท่เสวียนเลิกคิ้วกล่าว “มาเร็วยิ่ง”

ความเร็วของร่างของเขาเพิ่มขึ้นทันที ประหนึ่งลำแสงที่ลอดผ่านกาลเวลาหมื่นกาล พุ่งไปยังทิศทางของเมืองเทพศุภโชค

ทว่าเพียงครู่เดียว…

ชิ้ง!

ทวนวงเดือนเหลืองทองปรากฏออกมา กดข่มฟ้าดาราแถบนี้ เผยพลังนิรันดร์ที่สามารถทำให้หมื่นโลกหวาดหวั่น ฟันไปเบื้องหน้าไท่เสวียน

ฟ้าดาราแถบนั้นราวกับถูกฟันตัดขวาง แหวกเป็นสองสาย เผยช่องว่างที่ยาวหลายหมื่นจั้ง สองฝั่งของช่องว่างมีดวงดาวไม่รู้เท่าไรแตกระเบิด

“เปิด!”

ด้านหลังไท่เสวียน กระบี่มรรคเล่มหนึ่งโฉบพุ่ง

เคร้ง!!!

ทวนวงเดือนเหลืองทองสะเทือนรุนแรง เสียงปะทะน่ากลัวดังก้องจักรวาล ซัดห้วงอากาศโดยรอบแตกระเบิดเป็นชิ้นๆ เส้นทางดารารอบๆ ปั่นป่วน

ตูม!

สุดท้ายทวนวงเดือนเหลืองทองก็ไม่อาจสกัดขวาง ถูกซัดกระเด็นออก

ส่วนไท่เสวียนเหยียบกระบี่มรรค แขนเสื้อกว้างโบกสะบัดออกไป

ทว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น

ระหว่างทางหลังจากนั้น เคราะห์สังหารน่ากลัวไร้ใดเปรียบมากมายมาเยือน มีเตาหลอมแดงเพลิงราวกับไฟลุก มีบรรทัดหยกที่ขาวกระจ่างดั่งหิมะ มีม้วนภาพที่ประทับลายมรรคบิดเบี้ยวนับไม่ถ้วน มีระฆังสำริด กระบี่โบราณ ดาบขอ…

การโจมตีเหล่านี้ล้วนมาจากพลังของระดับนิรันดร์ ทุกการโจมตีล้วนมีอานุภาพอหังการที่สามารถทำลายท้องนภา ปั่นป่วนฟ้าดารา

และตอนนี้เคราะห์สังหารเหล่านี้ขวางทางอยู่ เข้าโจมตีไท่เสวียน!

ภาพอันตรายเหล่านั้นหลินสวินมองไม่เห็นสักนิด ด้วยจิตใจของเขาถูกพลังของไท่เสวียนปกป้อง จึงไม่อาจมองเห็นการต่อสู้น่าตกตะลึงระหว่างทางเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ หลินสวินยังคงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่พุ่งเข้ามา!

นั่นคือการลงมือของผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์ ไม่ใช่หนึ่งคน แต่เป็นหนึ่งกลุ่ม!

เคราะห์สังหารเช่นนี้สามารถทำให้ทุกคนบนโลกสิ้นหวังได้

แม้ไท่เสวียนจะพุ่งสังหารตลอดทาง ทุกครั้งล้วนสามารถพลิกสถานการณ์ แต่หลินสวินสังเกตเห็นว่าพลังรูปจำลองเจตจำนงของเขาเสียพลังไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นจางลง…

นี่ทำให้ในใจหลินสวินบีบรัด กังวลไม่หยุด

‘สหายน้อยไม่ต้องกังวล แม้รูปจำลองเจตจำนงถูกทำลาย ข้าก็มั่นใจว่าจะส่งเจ้าเข้าเมืองเทพศุภโชคได้’

เสียงกระจ่างกังวานของไท่เสวียนดังขึ้นในใจหลินสวิน

ตูม!

เสียงกึกก้องสะเทือนฟ้าดินดังขึ้น เงาร่างของไท่เสวียนส่ายไหวกะทันหัน รูปจำลองเจตจำนงยิ่งจางลง เผยสัญญาณใกล้จะเลือนราง

แต่เขากลับยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เห็นหรือไม่ แม้เฒ่าชราพวกนั้นจะแข็งแกร่ง ทว่าแต่ละคนก็ไม่กล้าใช้ร่างต้น ก็เพราะกังวลว่าจะถูกกฎระเบียบฟ้าดินสะท้อนพลังกลับ”

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ภายหน้าหากข้าก้าวสู่ระดับนิรันดร์ จะต้องมาแหล่งสถานศุภโชคอีกครั้งเพื่อแก้แค้นเรื่องวันนี้แน่!”

“ฮ่าๆๆ ความมุ่งมั่นน่าชื่นชม แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ การประลองระหว่างระดับนิรันดร์ใช่ว่าจะสามารถตัดสินแพ้ชนะได้ในวันสองวัน”

ไท่เสวียนหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน

แววตาของหลินสวินลุ่มลึกและเย็นเยียบ เอ่ยว่า “ทำไม่ได้ในวันสองวัน เช่นนั้นก็ใช้เวลาเยอะหน่อย สรุปแล้วความแค้นครั้งนี้ไม่คืนไม่ได้”

ชั่วขณะนี้เขานึกถึงเหตุการณ์ยามอยู่นอกโบราณสถานทวยเทพ ที่ศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อและอาจารย์อาคงเจวี๋ยพาตนหนี

ในใจทั้งอัดอั้นและเดือดดาล

“เจ้าฝึกปราณมาถึงตอนนี้ยังไม่ถึงสองร้อยปี ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ด้วยรากฐานมรรคายอดอมตะของเจ้า สักวันย่อมสามารถเป็นหนึ่งเหนือทุกคนบนโลก”

ไท่เสวียนพูดถึงตรงนี้ก็คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยว่า “ในเมืองเทพศุภโชคนั่น ตั้งแต่อดีตมีนภาดาราที่ลึกลับยากคาดเดาผืนหนึ่ง ถูกเรียกว่า ‘นภาดาราศุภโชค’ ดวงดาวทุกดวงที่ประดับบนนภาดาราผืนนั้น ล้วนแปลงมาจากระบบฝึกปราณสมบูรณ์หนึ่งแบบ มหัศจรรย์อย่างที่สุด หลังเจ้าไปถึงก็ไปดูสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจได้ประโยชน์มาก”

นภาดาราศุภโชคหรือ

หลินสวินอึ้งไป จากนั้นอดยิ้มขื่นไม่ได้ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส เวลานี้แล้วเหตุใดท่านยังห่วงเรื่องของข้าอีก”

ไท่เสวียนยิ้มกล่าว “เคราะห์สังหารเหล่านี้ไม่สำคัญสำหรับข้า ก็แค่เสียรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น ไม่เกินร้อยปีก็สามารถควบรวมออกมาได้แล้ว ไม่กระทบกับมรรควิถีของร่างต้นของข้า”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “กลับเป็นเจ้า หลังจากไปถึงเมืองเทพศุภโชคจะประมาทไม่ได้ แม้พลังของระดับนิรันดร์เหล่านั้นจะไม่สามารถบุกเข้าไปในเมืองได้ แต่ในเมืองก็มีผู้แข็งแกร่งมากมายที่มาจากขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขา หากจะทำร้ายเจ้าย่อมต้องเกิดความยุ่งยากไม่น้อยแน่”

ในดวงตาหลินสวินมีไอสังหารพวยพุ่ง เอ่ยว่า “ข้ากลับอยากให้เกิดความยุ่งยากพวกนี้ยิ่ง”

เมืองเทพศุภโชคปกคลุมด้วยพลังกฎระเบียบที่ลึกลับแปลกประหลาด ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนใดที่เข้าไปในเมือง ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใดก็จะถูกกดไปอยู่ในมรรควิถีระดับจักรพรรดิ

อย่างระดับนิรันดร์ ขอเพียงเข้าใกล้เมืองเทพศุภโชค ยังถึงขั้นจะถูกเมืองนี้ต่อต้านและจู่โจม!

และในระดับจักรพรรดิ…

หลินสวินซึ่งครอบครองรากฐานพลังแห่ง ‘บรรพจารย์หมื่นมรรค’ มานานแล้ว จะกลัวการท้าทายและโจมตีของผู้อื่นได้อย่างไร

คำพูดของไท่เสวียนกลับเตือนหลินสวิน ว่าแม้พลังของเขาอาจไม่สามารถต่อกรกับระดับนิรันดร์ได้ ทว่าอยู่ในเมืองเทพศุภโชค กลับสามารถเล่นงานคนใต้อาณัติระดับนิรันดร์เหล่านี้ได้!

ตูม โครม!

ดาบขอเล่มหนึ่งโจมตีเข้ามากลางอากาศ พลิกเปิดแสงประกายสีเขียวเต็มฟ้าดารา

ไท่เสวียนหยุดการสนทนากับหลินสวินทันที

ระหว่างทางนี้เคราะห์สังหารเกิดขึ้นทั่วทิศ ขัดขวางต่อเนื่อง แม้หลินสวินมองไม่เห็น แต่ความอัดอั้นและความชิงชังที่สั่งสมอยู่ในใจกลับยิ่งรุนแรงขึ้น

ทันใดนั้นไท่เสวียนก็เอ่ยปาก “สหายน้อย ข้างหน้าก็คือเมืองเทพศุภโชค เจ้าพร้อมหรือยัง”

หลินสวินพลันเงยหน้าขึ้น

ในฟ้าดาราไกลลิบมีเมืองใหญ่ที่เก่าแก่สูงตระหง่านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ บนห้วงอากาศปกคลุมด้วยหมอกเมฆที่คลุมเครือเป็นชั้นหนาๆ ดวงดาวมากมายส่องแสงวับแวมในหมอกเมฆ

เมืองนี้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามจริงๆ ดาวแต่ละดวงใหญ่เพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเมืองนี้กลับเล็กเหมือนเศษฝุ่น!

นี่ก็คือเมืองเทพศุภโชค

เป็นที่ที่ ‘เพิกเฉยเทพ’ เป็นเมืองเทพที่เผ่าเทพมากมายไม่สามารถยึดครองเป็นของตนได้

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนอารยธรรมยุคสมัยนับร้อยแห่ง ทุกวันล้วนมีผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาจากโลกยุคสมัยที่แตกต่างกัน!

หลินสวินนึกถึงภาพที่เห็นหน้าตำหนักมืดมิดในแดนผนึกเรืองแสงขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม…

เมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้ ร่างต้นของซย่าจื้อเคยยกกระบี่ศุภโชคให้กับชายที่นามว่า ‘สือซาน’ และกำชับให้เขานำกระบี่นี้มาที่เมืองเทพศุภโชค

ตอนนี้ ‘สือซาน’ ยังอยู่ในเมืองนี้หรือไม่

“สหายน้อย ข้าส่งเจ้าจากตรงนี้”

เสียงของไท่เสวียนดังขึ้น

จากนั้นหลินสวินรู้สึกเพียงว่าเงาร่างสั่นขึ้นมา ถูกเคลื่อนย้ายผ่านอากาศไปอย่างไม่อาจควบคุม เงาแสงตรงหน้าแปรเปลี่ยน ยามที่ยืนมั่นก็มาถึงหน้าประตูเมืองที่ตระหง่านสูงใหญ่แห่งนั้นแล้ว

เสียงอุทานด้วยความตกใจระลอกหนึ่งดังขึ้นจากรอบๆ บริเวณประตูเมืองมีผู้ฝึกปราณมากมายเข้าออก ตอนที่เงาร่างของหลินสวินมาเยือนกะทันหันจึงล้วนตกใจ

หลินสวินกวาดมองรอบๆ ไม่ได้สนใจสายตาประหลาดใจของผู้ฝึกปราณมากมายบริเวณนั้น สายตามองไปยังฟ้าดาราไกลๆ โดยตรง

“เอ๋ นั่นคืออะไร”

“กลิ่นอายน่ากลัวนัก!”

แทบจะในเวลาเดียวกัน

บริเวณ ‘ประตูสวรรค์ทิศใต้’ ของเมืองเทพศุภโชค เหล่าผู้ฝึกปราณต่างสังเกตเห็นความผิดปกติ ล้วนแต่มองไปยังฟ้าดาราไกลๆ

ก็เห็นว่า…

ในห้วงอากาศไกลๆ ปรากฏกลิ่นอายน่ากลัวไร้ขอบเขตมากมาย ปั่นป่วนฟ้าดาราแถบนั้น ดวงดาวนับไม่ถ้วนร่วงหล่น

เงาร่างที่สูงใหญ่ปานไร้เทียมทานร่างแล้วร่างเล่าก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ บ้างถือทวนใหญ่สีทอง บ้างกำดาบขอสำริด บ้างถือเตาหลอมที่ลุกโชน บ้างใช้กระบี่โบราณ…

มีถึงสิบกว่าคน!

“ระดับเทพมรรค!”

“ระดับท่องเทพ!”

“ระดับราชันเทพ!”

…เสียงอุทานด้วยความตกใจระลอกหนึ่งดังขึ้น บริเวณประตูสวรรค์ทิศใต้ของเมืองเทพศุภโชค เหล่าผู้ฝึกปราณต่างตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากอารยธรรมยุคสมัยที่แตกต่างกัน เรียกระดับนิรันดร์ไม่เหมือนกัน

แต่ตอนนี้ล้วนตกใจกับภาพที่สะท้านสะเทือนนี้

ผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์สิบกว่าคนมาเยือน จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร

จากนั้นผู้คนก็สังเกตเห็นไท่เสวียน และพบว่าระดับนิรันดร์สิบกว่าคนนั้นล้วนเล่นงานไท่เสวียนคนเดียว!

‘สหายน้อย ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าว่าจุดพลิกผันของเมืองเทพศุภโชคคืออะไรใช่หรือไม่ ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่าจุดพลิกผันอยู่ในเมืองนี้ เจ้าเพียงแค่รออยู่ที่นี่ก็พอแล้ว’

ชั่วขณะนี้เสียงของไท่เสวียนดังขึ้นในใจของหลินสวิน

เพิ่งจะสิ้นเสียง

ตูม!

ก็เห็นเงาร่างที่สูงใหญ่ของเขาพลันกลายเป็นปราณกระบี่แน่นขนัดนับไม่ถ้วนปูเต็มฟ้าดารา แผ่ไปทั่วสิบทิศ

เบื้องหน้าสายตาหลินสวินเจ็บแปลบ มองอะไรไม่เห็นแล้ว

ผู้ฝึกปราณบริเวณประตูเมืองก็ร้องด้วยความตกใจเช่นกัน จิตใจหวาดหวั่น เบื้องหน้าสายตาขาวโพลนไปทั้งแถบ

ชั่วขณะนี้ผู้ฝึกปราณทั้งเมืองเทพศุภโชคต่างตกใจเช่นกัน เพราะกลิ่นอายระดับนั้นน่ากลัวเกินไป ส่งผลกระทบถึงเมืองเทพศุภโชคด้วย

ตูม! โครม! โครม!

จากนั้นเหนืออากาศเมืองเทพศุภโชค ในชั้นเมฆหนาปรากฏพลังผนึกที่คลุมเครือและแปลกประหลาด กลายเป็นโซ่เทพระเบียบฟาดไปยังฟ้าดาราไกลๆ อย่างรุนแรง

เห็นได้ชัดว่าพลังของระดับนิรันดร์ถูกเมืองเทพศุภโชคต่อต้าน ดำเนินการจู่โจมในชั่วขณะนี้

“สวรรค์!”

“ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นนานแค่ไหนแล้ว”

“นี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่”

ทั่วบริเวณในเมืองมีเสียงแตกตื่นดังขึ้น

ทั้งหมดนี้ล้วนกะทันหัน ทำให้ผู้คนตั้งตัวไม่ทัน ตกใจอย่างต่อเนื่อง

ทว่าไม่ทันไรเมืองเทพศุภโชคคืนสู่ความสงบอีกครั้ง พลังลึกลับปานต้องห้ามนั่นหายไปแล้ว

ก็เป็นตอนนี้เอง จิตใจและสายตาที่ถูกสยบของผู้คนจึงกลับมาเป็นปกติ

เพียงแต่เมื่อมองไปยังฟ้าดาราไกลๆ อีกครั้ง กลับไม่เห็นเงาร่างของไท่เสวียนแล้ว มีเพียงร่างของระดับนิรันดร์สิบกว่าคนนั้นที่ยืนนิ่งอยู่ในห้วงอากาศ เก็บงำกลิ่นอายทั้งตัว แต่ละคนดูประหนึ่งเทพอย่างไรอย่างนั้น

สองมือของหลินสวินกำแน่นเงียบๆ ดวงตาดำเย็นเยียบจนน่ากลัว

แม้รู้ว่าไท่เสวียนที่ร่วงหล่นไปเป็นเพียงแค่รูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่ง แต่ตอนที่เห็นภาพนี้ ในใจเขาก็ยังเกิดความเดือดดาลที่พูดไม่ออก

ความแค้นครั้งนี้จะไม่แก้แค้นได้อย่างไร!?

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท