Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2814 มองทะลุนัยเร้นลับ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2814 มองทะลุนัยเร้นลับ

ตอนที่ 2814 มองทะลุนัยเร้นลับ

หลินสวินหลับตาลงเงียบๆ

เขาเริ่มใช้พลังลายมรรคอนุมานระบบการฝึกปราณนับร้อยบนนภาดาราใหม่อีกครั้ง

ทุกระบบการฝึกปราณล้วนเป็นการตกผลึกแห่งสติปัญญาของอารยธรรมการฝึกปราณอย่างหนึ่ง แต่กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว ทั้งหมดล้วนวิวัฒน์ออกมาจากกฎระเบียบฟ้าดิน

เวลานี้ระบบการฝึกปราณที่แตกต่างกันในใจหลินสวินราวกับกระบวนค่ายกลลายมรรคต่างๆ นัยเร้นลับที่แฝงอยู่ในทุกระดับกลายเป็นร่องรอยมหามรรคของกระบวนค่ายกล…

กล่าวสรุปโดยง่าย สิ่งที่หลินสวินทำตอนนี้คือใช้ลายมรรคคัดลอกระบบการฝึกปราณที่แตกต่างกัน แล้วค่อยใช้พลังของลายมรรคมาอนุมาน

ระบบการฝึกปราณนับร้อย แต่ละชนิดล้วนไม่เหมือนกัน แต่กลับประสานเข้ากับลายมรรคได้ทั้งหมด ใช้ลายมรรคเป็นสื่อนำระบบการฝึกปราณนับร้อยนี้ และก่อตัวเป็นความเกี่ยวโยงกันอย่างหนึ่ง

เปรียบเหมือนนำด้ายเส้นหนึ่งมาร้อยไข่มุกที่กระจัดกระจายนับร้อยเข้าด้วยกัน!

เป้าหมายสุดท้ายคือรวมระบบการฝึกปราณแห่งยุคสมัยนับร้อยไว้ในระบบเดียว!

ก่อนหน้านี้เมื่อหลินสวินตระหนักถึงจุดนี้ก็รู้สึกตะลึงอย่างอดไม่ได้ เข้าใจจุดประสงค์ที่ ‘บุคคลไร้เทียมทาน’ ผู้นั้นสร้างนภาดาราศุภโชคแห่งนี้ได้รางๆ

หากทำได้ถึงขั้นนี้จริง นั่นก็เท่ากับยึดกุมพลังที่เหนือกว่าระบบการฝึกปราณแห่งยุคสมัยนับร้อยแล้ว!

ดังนั้นเมื่อหลินสวินมองนภาดารานี้อีกครั้งจึงเข้าใจในที่สุด ในสายตาของบุคคลไร้เทียมทานคนนั้น ระบบการฝึกปราณแห่งยุคนับร้อยก็คือดวงดาวมากมาย

ส่วนนภาดาราแถบนั้นก็ครอบคลุมพวกมันไว้ภายในอย่างสมบูรณ์!

การสร้าง ‘นภาดารา’ เช่นนี้ออกมาต่างหากที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของ ‘บุคคลไร้เทียมทาน’ ผู้นั้น!

เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องพวกนี้ ยามหลินสวินอนุมานระบบการฝึกปราณแห่งยุคนับร้อยอีกครั้ง สภาวะจิตจึงไม่อาจนำมาเทียบกับก่อนหน้านี้ได้อีกแล้ว

ผ่านไปอีกหนึ่งปี

หลินสวินที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงพลันลืมตามองเวิ้งฟ้า

ขณะเดียวกันตรงหน้าเขาปรากฏกระบวนค่ายกลลายมรรคขนาดเท่ากำปั้นมากมาย ทุกกระบวนค่ายกลลายมรรคล้วนเปล่งประกายเจิดจ้า แผ่กลิ่นอายมหามรรคที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงออกมา

“เอ๋!”

ในพื้นที่ใกล้เคียงผู้ฝึกปราณมากมายล้วนสังเกตเห็นภาพนี้ พวกเขาล้วนรู้สึกผิดคาดอย่างอดไม่ได้ นี่หลินสวินจะทำอะไร

หกปีมานี้หลินสวินนั่งสมาธิอยู่ที่นี่ตลอด ไม่สนใจเรื่องทางโลก ไม่สนใจความขัดแย้ง

นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นเขามีการเคลื่อนไหวเช่นนี้ในรอบหกปี

ไม่นานก็เห็นรอบตัวหลินสวินมีกระบวนค่ายกลลายมรรคนับร้อยปรากฏ ทั้งหมดล้วนเปล่งประกายเจิดจรัส แผ่กลิ่นอายมหามรรคที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงออกมา

จากนั้นกระบวนค่ายกลนับร้อยนี้พลันเปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งขึ้นไปบนนภาดาราเงียบสงบนั้นพร้อมกัน จุดประกายให้ดวงดาวนับร้อยในนภาดารานั้นดุจคบเพลิงมากมาย ส่องประกายสว่างไสวดั่งเพลิงลุกโชน!

ฟ้าดินส่องประกายทันที เบื้องหน้าทุกคนพลันแสบแปลบ จากนั้นล้วนตกตะลึง

“นี่…”

“หรือว่าหลินสวินหยั่งรู้นัยเร้นลับสุดท้ายของนภาดาราศุภโชคแล้ว”

“สวรรค์!”

เสียงฮือฮาดังขึ้น ในครรลองสายตาของทุกคนเวลานี้ บนนภาดาราศุภโชคเหมือนเดือดพล่าน ดวงดาวแต่ละดวงล้วนเจิดจรัสพร่าตา สาดแสงสว่างไสวไร้ขอบเขต!

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ยามนี้ทุกอาณาเขตและทุกมุมทั่วเมืองเทพศุภโชค ผู้ฝึกปราณนับหมื่นแสนล้วนหยุดการเคลื่อนไหว มองไปบนเวิ้งฟ้าพร้อมกัน

พลันเห็นแสงดาวเจิดจรัสลุกโชนกลางนภาคราม!

เหตุการณ์น่าเหลือเชื่อนั้นทำให้ในเมืองอึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์

“เป็นแถวนภาดาราศุภโชค เร็วเข้า ไปดูกัน!”

ผู้คนมากมายร้องตะโกน พุ่งตัวไปยังบริเวณนภาดาราศุภโชค

แต่ละคนล้วนตื่นเต้นหาใดเปรียบ

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน นภาดาราศุภโชคคือปริศนาที่ไม่เคยมีใครมองทะลุ บุคคลสำคัญของเผ่าเทพนับไม่ถ้วนมาที่นี่ ทุ่มเทกายใจและเวลาทั้งหมดไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย

จนกระทั่งถึงตอนนี้ผู้ฝึกปราณบนโลกล้วนคิดว่านัยเร้นลับสุดท้ายของนภาดาราศุภโชคไม่มีอยู่แต่แรก

แต่ตอนนี้ในเมืองกลับเกิดปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินเช่นนี้ นี่หมายความว่านัยเร้นลับที่ไม่มีใครมองทะลุนับแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน มีคนคลายปมได้แล้วหรือไม่

เมื่อผู้ฝึกปราณมากมายมาถึงบริเวณนภาดาราศุภโชค ก็เห็นประกายดาราขาวโพลนดุจเพลิงลุกโชนปกคลุมเงาร่างหนึ่งไว้ภายใน

“เป็นเขา หลินสวิน!”

“เป็นไปได้อย่างไร…”

“เขามองทะลุนัยเร้นลับสุดท้ายของนภาดาราศุภโชคแล้วจริงหรือ”

“นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาได้รับยอดสมบัติที่บุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นทิ้งไว้แล้วหรือ”

ผู้ฝึกปราณซึ่งรีบเร่งมาที่นี่มีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้ว่าผู้ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินนี้คือหลินสวิน แต่ละคนล้วนไม่อาจสงบใจได้แล้ว

ดูเหมือนใครก็ไม่คาดคิดว่าหลินสวินใช้เวลาแค่หกปีก็มองทะลุนัยเร้นลับสุดท้ายของนภาดาราศุภโชคได้ นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

ส่วนพวกที่มองหลินสวินเป็นศัตรูก็ยิ่งริษยาชิงชัง

เรื่องพวกนี้หลินสวินไม่อาจรู้สึกได้

เมื่อเขาใช้ลายมรรคสำแดงระบบการฝึกปราณนับร้อยออกมาทั้งหมดก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เจอกุญแจมองทะลุนัยเร้นลับสุดท้ายนั่นแล้ว!

จากนั้นเขาใช้มรรควิถีของตนเป็นสื่อนำ วิวัฒน์ระบบการฝึกปราณเป็นกระบวนค่ายกลลายมรรคนับร้อย เกิดการขานรับกับดวงดาวนับร้อยบนนภาดาราศุภโชคนั้นทันที ครั้นแล้วจึงนำมาซึ่งปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินเช่นนี้

ยามนี้ประกายดาราขาวโพลนดุจเพลิงผลาญอบอวล ท่ามกลางความเลือนราง หลินสวินเห็นร่างกำยำสูงสง่าโดดเด่นร่างหนึ่ง

เงาร่างนี้สวมอาภรณ์เขียว ที่หลังพาดกระบี่โบราณเล่มหนึ่ง ก้าวเดินกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา

เขาเหมือนเสาะหาอะไรอยู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่ก้าวผ่านอารยธรรมยุคสมัยหนึ่ง เบื้องหลังเขาจะปรากฏกระบวนค่ายกลลึกลับยิ่งใหญ่ สำแดงระบบการฝึกปราณของอารยธรรมยุคสมัยนั้นไว้ในกระบวนค่ายกลอย่างชัดเจน

ส่วนกระบวนค่ายกลนั้นก็คือลายเทพไร้ขอบเขต!

เงาร่างชุดเขียวราวกับไม่กลัวพันธนาการและการโจมตีของกาลเวลาและห้วงอากาศ ก้าวเดินในแต่ละยุคสมัยเหมือนเทพไท้ มาดสง่างามโดดเด่นนั้นทำให้หลินสวินใจสะท้านอย่างอดไม่ได้

กาลเวลาไม่อาจขวาง ยุคสมัยไม่อาจขัง นี่คือพลังปราณระดับใด

กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เงาร่างชุดเขียวปรากฏตัวในพื้นที่ขุ่นมัวแรกกำเนิดแห่งหนึ่ง

จากนั้นมหาเคราะห์พลันมาเยือน!

เคราะห์นี้ไร้รูปไร้ลักษณ์ ไร้สีไร้แก่น ถือกำเนิดจากความว่างเปล่า แม้ว่าหลินสวินไม่อาจมองเห็น แต่กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความสิ้นหวังและความตายอย่างแท้จริง

คล้ายว่ากฎระเบียบมหามรรค กาลเวลา และโชคชะตาจะถูกเคราะห์นี้ลบหายไปสิ้น!

ความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกยากบรรยายโจมตีสภาวะจิตของหลินสวินดุจเขาถล่มสมุทรคำราม ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนพังทลาย

ในตอนนี้เอง…

เงาร่างชุดเขียวกลับถอนใจเฮือกใหญ่ ‘เบื้องหลังทุกอย่างนี้ล้วนมีคนร้ายอยู่ดังคาด’

เมื่อเสียงถอนใจดังขึ้น แสงมรรคเบื้องหน้าเขาแผ่กระจายทันที

ตูม!

เบื้องหน้าหลินสวินขาวโพลนทั้งแถบ

จากนั้นภาพลึกลับหนึ่งพลันปรากฏ

เงาร่างชุดเขียวนั้นสร้างเมืองแห่งหนึ่งท่ามกลางความขุ่นมัวแรกกำเนิด กว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง นั่นคือต้นแบบของเมืองเทพศุภโชค!

จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อ นภาดาราแถบหนึ่งปรากฏขึ้นในเมืองทันที ระบบการฝึกปราณที่เกิดจากอารยธรรมยุคสมัยต่างๆ กลายเป็นดวงดาวมากมาย ถูกประดับไว้บนนภาดาราแห่งนั้น

ฟุ่บ!

สุดท้ายชายชุดเขียวนำกระดองเต่าสีดำกลมเกลี้ยงออกมาสะบัดเบาๆ กลายเป็นพลังกฎระเบียบไร้รูปปกคลุมบนท้องฟ้าเหนือเมืองเทพศุภโชคทันที

‘เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้นกำเนิดศุภโชคก็จะไม่ถึงขั้นถูกทำลาย…’

ชายชุดเขียวพึมพำ

เขาพลันหันกลับมาเหมือนนึกอะไรได้

พริบตานั้นหลินสวินรู้สึกเพียงว่าสายตาของชายชุดเขียวทอดมองมาทางตนผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุด ทำให้เขาใจสะท้านทันที

‘วันหน้าหากมีคนมองทะลุการจัดวางนี้ของข้าคนแซ่เฉินได้ บางทีอาจหมายความว่าบนมรรคานี้ไม่ได้มีข้าคนแซ่เฉินคนเดียวอีก…’

เสียงของชายชุดเขียวยังดังก้อง ภาพตรงหน้าหลินสวินสลายไปดุจฟองอากาศทันที

แต่เวลานี้เองในใจหลินสวินกลับมีภาพหนึ่งปรากฏ

ภาพเมืองเทพศุภโชคที่สมบูรณ์!

ทุกพื้นที่ ทุกสิ่งปลูกสร้าง ทุกมุมของเมืองนี้ รวมถึงทุกการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสนที่อาศัยอยู่ในนั้น ล้วนปรากฏในภาพนี้อย่างชัดเจน

เขาถึงขั้นไม่ต้องมองก็รู้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในที่ใดก็ตามของเมืองนี้

ความกระจ่างแจ้งผุดขึ้นในใจหลินสวิน ตนได้กลายเป็นผู้ควบคุมเมืองเทพศุภโชคแล้ว!

ขอแค่ตนคิดในใจ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานที่ใดก็ตามในเมืองได้

ทั้งครอบครองพลังผนึกลึกลับที่ปกคลุมเมืองนี้ สังหารสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสนในเมืองได้เช่นกัน!

‘นี่…’

หลินสวินตกตะลึงอยู่ตรงนั้นทันที เมืองเทพศุภโชคก็คือยอดสมบัติที่บุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นทิ้งไว้ หลังจากมองทะลุนัยเร้นลับสุดท้ายนั่นหรือ

สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของหลินสวินโดยสิ้นเชิง ใครจะกล้าจินตนาการว่าเมืองเทพศุภโชคที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองอันดับหนึ่งของแหล่งสถานศุภโชค ทั้งมีคำเรียกขานว่า ‘เพิกเฉยเทพ’ ความจริงแล้วกลับเป็นยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง

นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

‘ชายชุดเขียวนั่นต้องเป็น ‘บุคคลไร้เทียมทาน’ ผู้นั้นแน่ แต่เขาเรียกตัวเองว่าคนแซ่เฉิน หรือเป็นผู้อาวุโสเฉินหลินคง หรือไม่ก็เป็นผู้อาวุโสในตระกูลเขา’

ในใจหลินสวินเกิดข้อสงสัยนับไม่ถ้วน

ไม่รอให้หลินสวินเข้าใจ เสียงฮือฮาอลหม่านพลันดังขึ้น

หลินสวินเงยหน้ามองโดยรอบก็เห็นว่าในบริเวณใกล้เคียงมีผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนมองมาที่เขา สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึง อิจฉา ยากจะเชื่อ

ไม่ต้องสงสัยว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ถูกทุกคนตรงนั้นเห็นอยู่ในสายตาแล้ว

“เรียนถามผู้อาวุโสหลินสวิน ท่านมองทะลุนัยเร้นลับสุดท้ายของที่นี่แล้วใช่หรือไม่” ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยปากถามเสียงสั่น

หลินสวินกล่าวง่ายๆ “หากข้าบอกว่ายัง เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่เชื่อ”

ในใจเขายังสั่นสะท้าน กำลังนึกถึงภาพมากมายที่เห็นก่อนหน้านี้

คำตอบที่ร่างต้นของซย่าจื้อเสาะหาอย่างยากลำบาก หรือว่าจะเป็นทุกอย่างที่บุคคลไร้เทียมทานแซ่เฉินนั้นกระทำตอนอยู่ในแหล่งสถานศุภโชค

ใช่แล้ว!

บุคคลไร้เทียมทานแซ่เฉินผู้นั้นก็เคยเจอมหาเคราะห์ที่ประหลาดน่ากลัวถึงขีดสุด แต่กลับไม่ประสบเคราะห์ ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด!

ทั้งหลังจากผ่านเคราะห์นี้เขายังสร้างเมืองเทพศุภโชคขึ้นที่นี่ ใช้พลังกฎระเบียบฟ้าดินที่วิวัฒน์จากสมบัติกระดองเต่าสีดำมาปกคลุมเมืองนี้ไว้อย่างสมบูรณ์

จุดประสงค์ที่เขาทำเช่นนี้คือเลี่ยงการเกิดเหตุการณ์ที่ ‘ต้นกำเนิดศุภโชคถูกทำลาย’ !

นี่หมายความว่าสถานที่ที่เมืองเทพศุภโชคตั้งอยู่ ก็คือแดนต้นกำเนิดของแหล่งสถานศุภโชคใช่หรือไม่

ยามหลินสวินครุ่นคิด คำตอบของเขาก็ทำให้ในที่นั้นโกลาหลโดยสมบูรณ์แล้ว

“นี่ถึงกับเป็นเรื่องจริง!”

“คิดไม่ถึงว่านัยเร้นลับที่ไม่อาจคลี่คลายมาชั่วกาลนี้ ถึงกับถูกคลายปมในวันนี้แล้ว!”

“ก็ไม่รู้ว่ายอดสมบัติที่บุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นทิ้งไว้คืออะไร…”

คลื่นเสียงอลหม่านม้วนซัดกลางฟ้าดินเหมือนเดือดคลั่ง

เวลานี้หลินสวินที่ไขนัยเร้นลับสุดท้ายของนภาดาราศุภโชคออก กลายเป็นคนที่ถูกจับตามองมากที่สุดในที่นั้นโดยไม่ต้องสงสัย

……………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท