ตอนที่ 2815 หายไปดั่งเซียน เทพผีไม่ตระหนก
สีหน้าทุกคนแตกต่างกันออกไป บ้างอิจฉา บ้างเกลียดชัง บ้างตกตะลึง
หกปีแล้ว
หลินสวินที่ถูกเผ่าเทพแต่ละตระกูลมองเป็นศัตรู ไม่เพียงอยู่ดีมีสุข ยังมองทะลุนัยเร้นลับยิ่งใหญ่ของนภาดาราศุภโชค นำมาซึ่งปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินด้วย!
เขาได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้เพียงใด
ยอดสมบัติในตำนานที่บุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นทิ้งไว้ตกอยู่ในมือเขาแล้วหรือไม่
จิตใจทุกคนกระเพื่อมไหว
หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ในใจเขามีข้อสงสัยมากมาย ต้องการสงบสติใคร่ครวญ
ครู่ต่อมาเงาร่างเขาหายไปกลางอากาศ
“ฮึ ต่อให้ได้รับประโยชน์มากแค่ไหนก็เป็นแค่สัตว์ติดบ่วงตัวหนึ่งเท่านั้น”
มีคนแค่นเสียงเย็นชา ในบริเวณนภาดาราศุภโชคนี้เห็นได้ว่าเสียดหูนัก
ผู้คนมากมายต่างประหลาดใจ ด้วยในเมืองตอนนี้มีน้อยคนนักที่กล้าสบประมาทหลินสวินต่อหน้า เกรงแต่จะถูกหลินสวินโจมตีเพื่อล้างแค้น
เมื่อทุกคนเห็นรูปลักษณ์ของคนแค่นเสียงเย็นชานั้นอย่างชัดเจนก็ดูเหมือนเข้าใจทันที
นั่นคือชายผมขาวชุดดำ ร่างผอมสูงโปร่ง สีผิวขาวกระจ่างดุจหยก หว่างคิ้วประทับสัญลักษณ์ลายกระแสน้ำลึกลับ
เจียงหลินชิว!
บุตรเทพคนหนึ่งในเผ่าเทพตระกูลเจียงแห่งโลกทวยเทพ
ทั่วเมืองเทพศุภโชค ตระกูลเจียงคือยักษ์ใหญ่ทรงอิทธิพลสมชื่อ ขุมอำนาจนี้อยู่ในสามอันดับแรกในหมู่เผ่าเทพ
ส่วนเจียงหลินชิวก็เป็นปีศาจในหมู่ปีศาจคนหนึ่ง รากฐานพลังวิปริตชวนประหวั่น ในการถกมรรคร้อยตระกูลเมื่อนานมาแล้วเป็นอันดับสี่ของคนระดับเดียวกัน!
บุคคลที่ความเป็นมาและรากฐานพลังเรียกได้ว่าโดดเด่นเป็นหนึ่งเช่นนี้ ย่อมมีความมั่นใจที่จะกล้าพูดเช่นนี้เป็นธรรมดา
แต่ทุกคนกลับไม่กล้าคล้อยตาม
สุดท้ายที่นี่ก็คือเมืองเทพศุภโชค หกปีก่อนหลินสวินก็ใช้ผลงานต่อสู้นองเลือดเกริกก้องมากมายมาพิสูจน์ความน่ากลัวของตน
ทั้งหลินสวินยังไม่กลัวภัยคุกคามของเผ่าเทพแต่ละตระกูลด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเจียงหลินชิวจะมีฝีมือเอาชนะหลินสวินได้หรือไม่
“พูดเรื่องพวกนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าหมอนี่จะจากไปเมื่อไหร่ต่างหากที่สำคัญที่สุด เรื่องเร่งด่วนคือป้องกันตรงสี่ประตูเมือง ไม่ปล่อยโอกาสใดให้เขาหลบหนี”
เสียงนุ่มนวลดั่งวารีดังขึ้น ผู้พูดคือหญิงสวมชุดกระโปรงเขียวน้ำทะเลคนหนึ่ง ตากระจ่างฟันขาว รูปงามพริ้งเพรา เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา
จี้เซียว!
ธิดาเทพจากเผ่าเทพตระกูลจี้แห่งโลกทวยเทพ!
อันดับสามในการถกมรรคร้อยตระกูล
มีพรสวรรค์ ‘เลือดเทพแรกปฐม’
เหยียบย่างบนมรรคาอมตะเมื่อนานมาแล้ว เป็นธิดาเทพอันดับหนึ่งแห่งยุคทวยเทพและในหมู่เผ่าเทพอย่างสมเกียรติ!
เมื่อเห็นว่าจี้เซียวก็ปรากฏตัว ทุกคนในที่นั้นล้วนเบิกตากว้าง เผยสีหน้าคลั่งไคล้และเลื่อมใส
“นอกเมืองมีผู้อาวุโสนับไม่ถ้วนบัญชาการ หากเขาหนีออกไปทางประตูเมืองก็ต้องถูกเจอตัวทันที ตอนนี้สิ่งที่ข้าสนใจคือเขาจะหดหัวอยู่ในเมืองอีกกี่ปีกันแน่”
เจียงหลินชิวขมวดคิ้วกล่าว
“ใกล้แล้ว”
เสียงเฉยชาหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล “มีผู้อาวุโสมากมายคาดเดาว่าช่วงใกล้ๆ นี้เมืองเทพศุภโชคจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงคืออะไร แต่ก็คาดเดาได้ว่าการเปลี่ยนแปลงครานี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลินสวินแน่”
เสียงนี้คลุมเครือจนไม่รู้ว่าดังมาจากไหน
แต่นัยน์ตาของเจียงหลินชิวกับจี้เซียวล้วนหดรัดลงอย่างเงียบเชียบ
มีแค่พวกเขาที่รู้ว่าเจ้าของเสียงมาจากเผ่าเทพตระกูลเกาหยาง เป็นคนวิปริตที่ลึกล้ำยากหยั่งถึง แม้แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์มากมายยังวิจารณ์ว่า ‘มรรคาของเขาโดดเด่นเหนือปวงสวรรค์’!
คนผู้นี้ก็คือ ‘เกาหยางเจวี๋ย’!
มาจากเผ่าเทพตระกูลเกาหยาง เป็นตำนานที่อหังการเหนือเส้นทางระดับจักรพรรดิ สยบบุตรเทพและธิดาเทพคนอื่นจนมืดมนหม่นแสงด้วยตัวคนเดียว
“ขอบคุณพี่เกาหยางที่กล่าวเตือน”
คนหยิ่งทะนงอย่างเจียงหลินชิว เวลานี้ก็ประสานหมัดขอบคุณ
แต่เสียงของเกาหยางเจวี๋ยกลับไม่ปรากฏขึ้นอีก
ไม่นานเจียงหลินชิวกับจี้เซียวก็ทยอยจากไป
แต่พื้นที่ใกล้นภาดาราศุภโชคกลับไม่อาจนิ่งสงบแล้ว
“ช่วงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหรือ นี่หมายความว่าอย่างไร”
“หรือหลินสวินคิดออกจากเมืองเทพศุภโชคแล้ว”
“ไม่มีทาง ออกไปก็คือรนหาที่ตาย ได้ยินว่าหกปีมานี้ จำนวนของผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์ที่บัญชาการอยู่รอบเมืองมีเกือบสามสิบคนแล้ว!”
“ในบรรดาเผ่าเทพนับร้อย ขุมอำนาจที่มีระดับนิรันดร์บัญชาการมีประมาณสามส่วนเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับเคลื่อนพลผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์มากเช่นนี้ นี่ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว…”
วันนี้หลังจากผ่านมาหกปี เมืองเทพศุภโชคเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง อึกทึกครึกโครมไม่หยุด
ด้านหนึ่งเป็นเพราะหลินสวินมองทะลุนัยเร้นลับสุดท้ายของนภาดาราศุภโชคแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน นำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดนับไม่ถ้วน
อีกด้านมาจากข่าวหนึ่ง…
ในเวลาอันใกล้นี้เมืองเทพศุภโชคจะเกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึง!
การเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงครานี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทั้งเป็นอะไรนั้นกลับไม่มีใครรู้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนกังวล
สิ่งที่ไม่อาจระบุคือเรื่องน่ากลัวที่สุด ทันทีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ก็มีโอกาสสูงว่าจะทำให้ผู้ฝึกปราณในเมืองอย่างพวกเขาติดร่างแห
ดังคำกล่าวที่ว่าไฟไหม้ประตูเมือง เดือดร้อนถึงปลาในบ่อ
ขณะที่ในเมืองอลหม่าน หลินสวินกลับไปยังทะเลสาบจันทร์หม่นแล้ว
หกปีแล้ว แม้ว่าหลินสวินจะไม่อยู่ แต่อาณาเขตที่เดิมเป็นของเผ่าเทพตระกูลเหลียงชิวแห่งนี้ยังคงไม่มีใครกล้ายึดครอง
นี่คือบารมีจากการบุกสังหารสะท้านทั้งเมือง!
‘บุคคลไร้เทียมทานแซ่เฉินนั้นเคยเจอมหาเคราะห์แต่ไม่ตาย นี่อาจเป็นสาเหตุที่ปีนั้นร่างต้นของซย่าจื้อต้องมุ่งหน้ามาเมืองเทพศุภโชค คิดอยากเสาะหาคำตอบ’
‘น่าเสียดาย ปีนั้นระหว่างทางมาเมืองเทพศุภโชคมหาเคราะห์นั้นมาเยือนกะทันหัน ขัดขวางการเคลื่อนไหวของร่างต้นซย่าจื้อ…’
ภายในหอกลางทะเลสาบ หลินสวินนั่งขัดสมาธิใคร่ครวญเพียงลำพัง
‘หลังจากสร้างเมืองเทพศุภโชคก็ใช้พลังกฎระเบียบต้องห้ามลึกลับปกคลุม เพื่อป้องกันต้นกำเนิดศุภโชคไม่ให้ถูกทำลาย’
‘ใครมองทะลุนัยเร้นลับของนภาดาราศุภโชคออก เขาผู้นั้นก็จะกลายเป็นเจ้าแห่งเมืองเทพศุภโชค หรือกล่าวได้ว่าเดิมทีเมืองเทพศุภโชคก็เป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง’
หลินสวินนึกถึงตรงนี้แล้วฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ชายชุดเขียวนั้นเคยกล่าวว่าใครมองทะลุนัยเร้นลับนภาดาราศุภโชคออกก็หมายความว่า ‘บนมรรคานี้ไม่ได้มีข้าคนแซ่เฉินคนเดียวอีก’!
นี่หมายความว่าตนเป็น ‘ผู้ร่วมวิถี’ ของเขาหรือไม่
หลังใคร่ครวญเนิ่นนาน
หลินสวินเริ่มสงบจิตสัมผัส เพียงพริบตาทุกอย่างในเมืองเทพศุภโชคล้วนปรากฏในใจอย่างชัดเจน
ความรู้สึกนี้เหมือนเมืองเทพศุภโชคกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาแล้ว ขอเพียงตนคิดในใจก็ใช้พลังในเมืองนี้ได้ตามใจ!
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ ในหัวหลินสวินเกิดความคิดบ้าบิ่นหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เผ่าเทพแต่ละตระกูลล้วนมีอาณาเขตในเมือง หากไปจัดการพวกเขาทีละกลุ่มต้องเป็นเรื่องยุ่งยากน่าเบื่อหน่ายแน่ ไม่เพียงแต่ต้องใช้จิตใจและเวลา ปลายังหลุดจากแหได้ง่ายอีก
แต่ตอนนี้ต่างออกไปแล้ว เมืองนี้ถูกตนครอบครอง ถ้าตนอยากให้พวกเขาตาย พวกเขามีหรือจะมีโอกาสรอดชีวิต
การคัดกรองศัตรูก็ง่ายดายนัก แต่ละสถานที่ในเมือง ทุกการเคลื่อนไหวของผู้ฝึกปราณแต่ละคน ทุกคำพูดทุกการกระทำล้วนถูกเขาสัมผัสรู้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็จับตำแหน่งและฐานะของศัตรูได้อย่างแม่นยำง่ายดาย!
หลินสวินนึกถึงตรงนี้แล้วเริ่มสัมผัสทันที
ทันใดนั้นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นทั่วเมืองเทพศุภโชคปรากฏขึ้นในใจหลินสวินราวกับกระแสน้ำหลากที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง
ทางตะวันออกของเมือง ในตำหนักเทพหลังหนึ่ง
“หลินสวินนั่นมองทะลุนัยเร้นลับนภาดาราศุภโชคแล้ว ถ้าข่าวลือเป็นจริงเขาต้องได้ยอดสมบัติชิ้นหนึ่งแน่ น่าชังที่ในเมืองนี้มรรควิถีของพวกเราถูกกำราบอยู่ระดับจักรพรรดิ หากไม่เป็นเช่นนี้คงฆ่าเขาไปนานแล้ว”
บุตรเทพกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันพูดคุยอย่างลับๆ
“หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าหลินสวินคนนี้คงถูกฆ่าไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
“พูดเรื่องพวกนี้ไปล้วนไร้ประโยชน์ ข้ากลับเฝ้ารอนัก การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นั่นคืออะไรกันแน่”
“การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับหลินสวินนี่เป็นธรรมดา”
ระดับบุตรเทพพวกนี้มีทั้งชายและหญิง มาจากเผ่าเทพต่างๆ ยามพูดถึงหลินสวินล้วนแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่หยุด
หกปีมานี้หลินสวินหดหัวอยู่ที่นี่มาตลอด ทำให้พวกเขาได้แต่อดทนเฝ้ารอ ทำอะไรไม่ได้ ในใจล้วนอึดอัดถึงขีดสุด
แต่ยามพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ เงาร่างหลินสวินปรากฏตัวกลางอากาศโดยไร้สุ้มเสียง
พริบตานี้เสียงพูดคุยพลันหยุดลง เหล่าบุตรเทพในที่นั้นล้วนอึ้งไป จากนั้นก็ผุดลุกขึ้น เผยสีหน้ายากจะเชื่อ
“เจ้า… เข้ามาได้อย่างไร”
มีคนถามด้วยท่าทางเหมือนเห็นผี
ตำหนักเทพหลังนี้ไม่เพียงปกคลุมด้วยกระบวนผนึกแน่นหนา ก่อนหน้านี้แม้แต่จิตรับรู้ของพวกเขาก็ยังไม่สังเกตเห็นคลื่นพลังแม้เพียงเสี้ยว สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา
“แน่นอนว่าเดินเข้ามา”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “ทุกท่าน ไปเดินเล่นกับข้าสักรอบเถอะ”
เหล่าบุตรเทพแปลกใจสงสัยไม่หยุด หลังจากสบตากันวูบหนึ่งก็เลือกลงมือโดยไม่ลังเล
ตูม!
ทันทีที่ลงมือก็ใช้กระบวนท่าสังหารเต็มกำลัง ตำหนักใหญ่หลังนี้ล้วนสั่นสะเทือนกึกก้อง
แต่เมื่อหลินสวินขับเคลื่อนความคิด พลังกฎระเบียบหนึ่งปรากฏและสลายการโจมตีทั้งหมดนี้ไปโดยไร้สุ้มเสียง
ครู่ต่อมาเหล่าบุตรเทพถูกกำราบให้คุกเข่ากับพื้นพร้อมกัน ไร้แรงดิ้นรนโดยสิ้นเชิง!
“นี่คือพลังกฎระเบียบในเมือง เจ้าควบคุมได้อย่างไร!?”
มีคนตะโกนขุ่นเคือง
คนอื่นก็ไม่อาจนิ่งเฉย หน้าเปลี่ยนสีอย่างสมบูรณ์
จากอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบันพลังกฎระเบียบของเมืองเทพศุภโชคไม่มีใครต้านทานได้ ต่อให้เป็นผู้มีมรรคาอมตะ พลังปราณก็จะถูกกำราบอยู่แค่ระดับจักรพรรดิ
หากระดับนิรันดร์อยากบุกเข้ามา ก็จะถูกพลังกฎระเบียบในเมืองต่อต้านและกระหน่ำโจมตี เรียกได้ว่าอัศจรรย์ชวนประหวั่นถึงขีดสุด
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับควบคุมพลังกฎระเบียบในเมืองได้!
สิ่งนี้ล้มล้างความเข้าใจของเหล่าบุตรเทพโดยสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาเหมือนถูกฟ้าผ่า รับรู้ได้ถึงความไม่เข้าทีของสถานการณ์
“นี่ก็คือความลับที่ซ่อนอยู่ในนภาดาราศุภโชค”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ
ประโยคเดียวเหมือนทำให้บุตรเทพพวกนั้นเข้าใจอะไรขึ้นมา ต่างสบตากัน แต่ละคนทั้งตระหนกและขุ่นเคือง ในใจมีคลื่นซัดสาด
หรือนัยเร้นลับสุดท้ายของนภาดาราศุภโชคก็คือวิธีควบคุมพลังกฎระเบียบของเมืองนี้
“หลินสวิน เจ้ากล้าสู้กับข้าอย่างยุติธรรมไหม”
ชายหนุ่มคนหนึ่งสีหน้าอึมครึม ถูกกำราบให้คุกเข่าลงกับพื้นเช่นนี้ทำให้เขาอับอายแทบคลุ้มคลั่ง
“หากเจ้าสามารถทำให้พวกเฒ่าชรานอกเมืองนั่นถอนตัวไปได้ ข้าจะสู้กับเจ้าอย่างยุติธรรม”
หลินสวินกล่าวราบเรียบ “หากทำไม่ได้ก็หุบปากไปดีกว่า จะได้ไม่รนหาที่ตายเอง”
“เจ้า…”
ชายหนุ่มนั่นดิ้นรนอยากลุกขึ้น แต่ก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
บุตรเทพแล้วอย่างไร
พลังกฎระเบียบของเมืองเทพศุภโชคไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้านทานได้แต่แรก!
หลินสวินเห็นดังนี้แล้วก็ไม่ชักช้าอีก โบกสะบัดแขนเสื้อ ระดับบุตรเทพเจ็ดคนที่โดนกำราบนี้ถูกพาตัวไปทันที
จากนั้นเงาร่างหลินสวินก็หายไปกลางอากาศ
ตั้งแต่ต้นจนจบผู้คนนอกตำหนักเทพหลังนี้ไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย
หายไปดั่งเซียน เทพผีไม่ตระหนก
………………….