Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2817 ตัวเขาดูภูมิฐาน มาดสง่างามดั่งเซียน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2817 ตัวเขาดูภูมิฐาน มาดสง่างามดั่งเซียน

ตอนที่ 2817 ตัวเขาดูภูมิฐาน มาดสง่างามดั่งเซียน

ริมทะเลสาบจันทร์หม่น

“กลับไปบอกเฒ่าชราพวกนั้นว่ารอเมื่อข้าคนแซ่หลินออกไป ค่อยคุยเรื่องความเป็นตายของบุตรเทพธิดาเทพกับพวกเขา”

หลินสวินพูดจบแล้วหันหลังกลับไป

ผู้ฝึกปราณของเผ่าเทพแต่ละตระกูลที่มาตามคำสั่งพวกนั้นล้วนยกภูเขาออกจากอก

พวกเขาต่างเตรียมใจตายมาส่งข่าว แต่ยังดีที่หลินสวินไม่สนใจพวกตัวเล็กๆ ที่มาส่งข่าวอย่างพวกเขา

ไม่นานคำตอบของหลินสวินก็กระจายไปทั่วเมือง ทั้งถูกเฒ่าดึกดำบรรพ์ในส่วนลึกของฟ้าดารานอกเมืองพวกนั้นรับรู้

“เจ้าหมอนี่ฉลาดนัก”

เฒ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งแค่นเสียงเย็นชา

หากหลินสวินต่อรองตอนนี้ สำหรับเฒ่าชราพวกนี้กลับเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็พอเจรจาเงื่อนไขได้ ถึงขั้นว่าอาจรับปากเรื่องบางอย่างเป็นเหยื่อล่อให้หลินสวินออกมา

แต่เห็นชัดว่าหลินสวินไม่คิดจะคุยกันตอนนี้

“ต่อให้เป็นคนฉลาดแค่ไหนก็ไม่อยากติดอยู่ที่นี่ชั่วชีวิตแน่”

อีกคนหนึ่งกล่าว “คำตอบครั้งนี้ของเจ้าหมอนี่เผยให้เห็นแล้ว ข้อแรกเขามีแผนการออกจากเมืองเทพศุภโชค ข้อสองบุตรเทพกับธิดาเทพแต่ละเผ่าของพวกเรายังมีชีวิตอยู่”

“ทุกอย่างนี้ล้วนหมายความว่าหลินสวินมองพวกเขาเป็นตัวประกัน คิดเจรจาเงื่อนไขกับพวกเรายามออกจากเมืองเทพศุภโชค”

เฒ่าดึกดำบรรพ์ในที่นั้นสายตาวูบไหว แน่นอนว่าพวกเขาก็เข้าใจจุดนี้

“ทุกท่าน พวกท่านคิดว่าระหว่างฆ่าหลินสวินกับช่วยพวกบุตรเทพ พวกท่านจะเลือกอย่างไร”

คนผู้หนึ่งเอ่ยปากเสียงเบา

ส่วนลึกของฟ้าดาราพลันเงียบงัน

“ถึงตอนนั้นค่อยลงมือยามสบโอกาส ทั้งฆ่าหลินสวินและช่วยบุตรเทพ”

มีคนกล่าวเสียงแหบพร่า

“หากเลือกได้อย่างเดียวเล่า”

ปัญหานี้ทำให้ในฟ้าดาราเงียบสงัดอีกครั้ง

“ทำไมต้องเลือกด้วย โลงนิรันดร์คือสิ่งที่ต้องได้มา! ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าตัวจ้อยอย่างหลินสวินจะฆ่าพวกบุตรเทพธิดาเทพต่อหน้าต่อตาพวกเราได้หรือ”

มีคนกล่าวเย็นชา

“แต่ถ้าบุตรเทพกับธิดาเทพพวกนั้นมีอันตรายถึงชีวิตเล่าจะทำอย่างไร”

“เรื่องเช่นนี้มีหรือจะไม่หลั่งเลือดล้มตาย ไม่มีบุตรเทพยังบ่มเพาะใหม่ได้ แต่หากไม่มีโลงนิรันดร์… ภายหน้าก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว…”

“ไม่ได้ บุตรเทพตระกูลข้าไม่อาจสิ้นชีพเช่นนี้ ตระกูลข้ายอมละทิ้งโลงนิรันดร์”

เฒ่าดึกดำบรรพ์ทุกคนในส่วนลึกของฟ้าดาราถกเถียงกันทันที

เนิ่นนานก็ไม่มีความเห็นเป็นหนึ่งเดียว กระทั่งในใจพวกเขาทุกคนล้วนไฟสุมอก แค้นหลินสวินจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หกปีมานี้แม้ว่าพวกเขาจะปิดล้อมเมือง แต่ไม่ได้เปรียบอะไร ตรงกันข้ามบุตรเทพกับธิดาเทพของแต่ละตระกูลกลับถูกจับรวบทั้งหมด

นี่จะให้พวกเขาสุขใจได้อย่างไร

หลินสวินไม่สนใจว่าเฒ่าดึกดำบรรพ์นอกเมืองพวกนั้นจะตัดสินใจอย่างไร

เขาไม่เคยฝากความหวังทั้งหมดในการออกจากเมืองเทพศุภโชคไว้กับตัวประกันพวกนั้น

ตอนนี้สำหรับเขามีเพียงเรื่องเดียวที่ต้องจัดการ

นั่นก็คือฐานะของร่างต้นซย่าจื้อ!

ทางตะวันตกของเมือง ยอดเขาราตรีสงัด

หลินสวินมาพบสือซานอีกครั้ง

สำหรับการมาของหลินสวิน สือซานไม่รู้สึกผิดคาด กล่าวว่า “หากนัยเร้นลับในนภาดาราศุภโชคนั้นลึกลับมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกข้าก็ได้”

หลินสวินกล่าว “ไม่ถึงขั้นลึกลับ แต่ข้าไม่อาจยืนยันว่าความลับนี้ใช่คำตอบที่นายหญิงของท่านต้องการเสาะหาเมื่อปีนั้นหรือไม่”

เขาพูดพลางเล่าทุกเหตุการณ์ที่ตนเห็นยามมองทะลุนัยเร้นลับนภาดาราศุภโชคออกมาโดยไม่ปิดบัง

สือซานฟังจบแล้วกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว ปีนั้นสิ่งที่นายหญิงต้องการเสาะหา น่าจะเป็นพลังสลายมหาเคราะห์ครานั้น! ส่วนบุคคลไร้เทียมทานแซ่เฉินนั่นก็ครอบครองวิชาที่สลายเคราะห์นี้ได้!”

หลินสวินกล่าว “ข้าก็เดาว่าเป็นเช่นนี้”

นัยน์ตาสือซานมองหลินสวิน “ในเมื่อครอบครองพลังกฎระเบียบของเมืองเทพศุภโชคแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นไปที่ไหน”

หลินสวินส่ายหัว

“แต่บนตัวเจ้ากลับมีหยกประดับแซ่เฉิน”

สายตาสือซานมองไปยังหยกประดับแดงเพลิงที่ห้อยอยู่ตรงเอวหลินสวิน

หลินสวินกล่าว “นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งมอบให้ น่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้เทียมทานผู้นั้น แต่ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้เลยว่าบุคคลไร้เทียมทานคนนั้นก็แซ่เฉิน”

เห็นชัดว่าสือซานไม่พอใจอยู่บ้าง “นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ไม่มีผลเก็บเกี่ยวอื่นอีกหรือ”

หลินสวินกล่าว “ข้าก็อยากถามผู้อาวุโส เกี่ยวกับภูมิหลังของนายหญิงท่าน ท่านรู้มากแค่ไหนกันแน่”

สือซานพลันเงียบไปก่อนกล่าวว่า “ตอนข้ายังเด็ก ข้าเป็นแค่เด็กเร่ร่อนโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง เพราะแย่งอาหารกับคนอื่นยามขอทานจึงเกือบถูกขอทานคนอื่นตีตายทั้งเป็น ตอนนั้นนายหญิงของข้าผ่านทางมาจึงช่วยข้าไว้”

“นางบอกว่าสาเหตุที่ช่วยข้า เป็นเพราะต่อให้ข้าเกือบถูกตีตายก็ไม่ร้องขอชีวิต ทั้งไม่โทษสวรรค์กล่าวหาผู้คน จุดนี้ดูคล้ายนางอยู่บ้าง”

“และตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็ติดตามข้างกายนายหญิง นางบอกว่าชาตินี้นางจะไม่รับศิษย์ แค่สุ่มช่วยคนบางส่วนที่เข้าตานาง ส่วนข้าเป็นคนที่สิบสามซึ่งถูกนางช่วยไว้”

“ดังนั้นจึงตั้งชื่อให้ข้าว่าสือซาน (หมายถึง สิบสาม)”

“นายหญิงไม่เคยคุยเรื่องอดีตของนางกับข้า แต่ข้ารู้ว่านางแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งถึงขั้นทำให้ทวยเทพก้มหัว ทำให้ใต้หล้ายอมจำนนได้!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้นัยน์ตาเขาฉายแววเร่าร้อน “โลกทวยเทพได้รับการกล่าวขานว่าเป็นโลกอันดับหนึ่งของแหล่งสถานศุภโชค มีเผ่าเทพสามตระกูลใหญ่ครองอาณาเขตอยู่ในนั้น แต่ช่วงหลายปีที่นายหญิงท่องโลกนี้กลับไม่มีใครกล้าหาเรื่องนาง!”

“ต่อมาเมื่อมรรควิถีของข้าเริ่มหยั่งรากลึก ข้ารู้สึกว่าพลังของนายหญิงลึกล้ำยากหยั่งถึงกว่าเดิม นางเหมือนไม่ใช่คนของแหล่งสถานศุภโชคนี้ กลับเหมือนคนผ่านทางคนหนึ่ง คอยเสาะหาอะไรอยู่ตลอด ไม่เคยไต่ถามเรื่องความขัดแย้งทางโลก”

“ข้าจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งนายหญิงเคยถามข้าว่าสักวันหนึ่งหากต้องออกจากแหล่งสถานศุภโชคไป ข้ายอมจากไปพร้อมนางหรือไม่”

“แน่นอนว่าข้ายินดี ทั้งถามนายหญิงว่าหากออกจากแหล่งสถานศุภโชคแล้วนางจะไปที่ไหน”

“นายหญิงบอกว่า…”

สือซานนิ่งเงียบไป

“บอกว่าอะไร” หลินสวินอดถามไม่ได้

สือซานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งพลางกล่าว “นายหญิงบอกว่านางมาจากความมืด ตามหาแสงสว่างเพื่อพักพิง เป็นคนที่มีบ้านให้กลับ”

หลินสวินใจสะท้าน นึกถึงคำพูดพวกนั้นที่ซย่าจื้อเคยบอกตนอย่างจริงจังในอดีต

นางบอกว่าโลกของนางมืดมิดทั้งแถบ และหลังจากเจอตน โลกของนางถึงมีแสงสว่าง!

“มีบ้านให้กลับ…”

ขอบตาสือซานแดงก่ำ น้ำเสียงแหบพร่า “ตอนนั้นข้าถึงรู้ว่าที่แท้นายหญิงก็เหมือนข้า ในอดีตก็เคยเป็นคนไร้บ้าน ต่อให้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ก็โดดเดี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหมือนเดินอยู่ในความมืด…”

ในใจหลินสวินไม่อาจนิ่งสงบ เหมือนคลื่นซัดพลิกสมุทร

ไร้บ้านให้กลับ

ร่างต้นของนางแข็งแกร่งเพียงใด สิ่งที่เสาะหาคือแค่ ‘มีบ้านให้กลับ’ หรือ

ครู่ใหญ่หลินสวินเหมือนตัดสินใจได้ในที่สุด สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สายตามองสือซานพลางกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าคิดว่าข้าให้คำตอบท่านได้แล้ว”

ร่างกายของสือซานสั่นสะท้าน กล่าวว่า “เจ้า… น่าจะหาวิธีทำให้นายหญิงของข้าตื่นขึ้นมาได้แล้วกระมัง”

หลินสวินพยักหน้า

เขาไม่ได้พูดมากความอีก นำเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมา

เมื่อละอองแสงไหลวน เงาร่างอรชรสูงเพรียวนั้นของซย่าจื้อปรากฏตัวต่อหน้าสือซาน

“นายหญิง!!?”

สีหน้าเคร่งขรึมดุจหินผาของสือซานเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งตัวราวกับสูญเสียการควบคุม คุกเข่าลงกับพื้น “นายหญิง ที่แท้ท่านก็ตื่นขึ้นมานานแล้ว…”

น้ำเสียงเขาถึงกับเจือแววสะอื้นอยู่รางๆ

“หลินสวิน?” แววตาซย่าจื้อเจือความสงสัย

“ผู้อาวุโสท่านนี้เกี่ยวข้องกับภูมิหลังของเจ้า เจ้า… จำเขาไม่ได้จริงหรือ” หลินสวินเอ่ยเสียงเบา

นัยน์ตากระจ่างของซย่าจื้อจ้องมองสือซานแล้วกล่าวว่า “ไม่รู้จัก”

สือซานที่คุกเข่ากับพื้นกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “นายหญิง ได้รู้ว่าท่านตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลแล้ว จำข้าน้อยได้หรือไม่ล้วนไม่เป็นไร!”

“ผู้อาวุโส นางไม่ใช่นายหญิงของท่าน”

หลินสวินตั้งสติกล่าว “หรือพูดได้ว่าซย่าจื้อเป็นวิญญาณชีวิตของนายหญิงท่าน มีแค่นางที่ช่วยนายหญิงท่านให้ตื่นขึ้นมาได้”

ซย่าจื้ออึ้งไป “วิญญาณชีวิตหรือ”

หลินสวินจับมือขาวกระจ่างของซย่าจื้อเบาๆ กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ซย่าจื้อ เมื่อก่อนข้ามักจะถามถึงที่มาและประสบการณ์ของเจ้าไม่ใช่หรือ แม้แต่ตัวเจ้าก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ข้าสืบข้อมูลบางอย่างได้แล้ว”

การตอบสนองของซย่าจื้อราบเรียบนัก กล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง “หลินสวิน ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สำคัญ ขอแค่มีเจ้าอยู่ก็พอแล้ว”

ในใจหลินสวินเริ่มเจ็บแปลบรางๆ อย่างบอกไม่ถูก อ้าปากกล่าวอย่างยากลำบาก “เจ้าวางใจ ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าไปตลอด เพียงแต่… เจ้าควรรู้อดีตของตัวเอง ควรรู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่ ทั้งตัวเจ้ามาจากที่ไหน”

ซย่าจื้อเงยหน้ามองหลินสวินแล้วกล่าว “ข้าเชื่อฟังเจ้า”

ประโยคเดียวเพียงสี่คำ

กลับทำให้หลินสวินรู้สึกเพียงหนักในอก เหมือนจะหายใจไม่ออก

นี่คือความเชื่อมั่นโดยไร้เงื่อนไข ในช่วงเวลาที่ผ่านมาซย่าจื้อเคยพูดหลายครั้งมาก

แต่ครั้งนี้กลับทำให้ในใจหลินสวินทุกข์ทน เขากลัวจริงๆ กลัวว่าเมื่อซย่าจื้อฟื้นคืนความทรงจำในอดีตแล้วจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง

เช่นนี้ก็หมายความว่าเขามีโอกาสสูงที่จะเสียซย่าจื้อไป!

“สหายน้อย”

สือซานพลันเอ่ยปาก เสียงต่ำลึกแหบพร่า “ฟังข้าพูดสักคำได้หรือไม่”

“เชิญผู้อาวุโสว่ามาเถิด” หลินสวินกล่าว

“เจ้ายังจำประโยคที่นายหญิงเขียนไว้ก่อนเข้าไปในโลงนิรันดร์ได้ไหม ตัดสิ้นอดีต ไม่ทุกข์ระทมเดียวดายในความมืดอีก”

สือซานพูดถึงตรงนี้แล้วทรวงอกพลันกระเพื่อมไหว คล้ายมีสัญญาณว่าจะเก็บกลั้นความรู้สึกไม่อยู่ “และข้ารู้ว่าความปรารถนาใหญ่ที่สุดของนายหญิงก็คือก้าวออกจากความมืด พบเจอแสงสว่างเสี้ยวหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”

เขาพลันเงยหน้ามองหลินสวิน ตั้งท่าจะพูดอะไร

หลินสวินกล่าวตัดบทแล้ว “ไม่ได้!”

สือซานอึ้งไป

กลับเห็นหลินสวินเงียบไปครู่ใหญ่แล้วเอ่ย “หากไม่ให้ซย่าจื้อรู้เรื่องนี้ เกรงว่าทั้งชาตินี้ข้าคงไม่อาจสงบใจ”

จากนั้นเขาหันกลับไปมองซย่าจื้อ บอกเล่าทุกอย่างทั้งหมด

ซย่าจื้อฟังจบ แต่กลับดูนิ่งสงบนัก กล่าวเสียงใสเย็นดุจเสียงธรรมชาติ “หากเมื่อก่อนข้าคือจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์คนนี้จริงๆ หลินสวินเจ้าจะไม่ต้องการข้าหรือ”

หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าไม่มีทาง”

“ข้าก็ด้วย” ซย่าจื้อตอบอย่างรวดเร็ว ราวกับการตัดสินใจนี้เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลแล้วสำหรับนาง

หลินสวินเอ่ยเสียงเบา “ซย่าจื้อ รอพลังพันธนาการโชคชะตาในตัวเจ้าหายไปแล้ว ก็น่าจะฟื้นคืนความทรงจำในอดีตจากร่างต้นของเจ้าได้ ถึงตอนนั้น…”

“เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับโชคชะตาเช่นนี้ ทำไมต้องรอถึงวันหน้า”

เสียงผ่าเผยสง่างามหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน

จากนั้นเงาร่างผึ่งผายกำยำหนึ่งเดินเข้ามาในตำหนักหลังนี้

ตัวเขาดูภูมิฐาน มาดสง่างามดั่งเซียน

………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท