Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2831 ทะลวงขั้นดับเทพ นัดต่อสู้สะเทือนฟ้า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2831 ทะลวงขั้นดับเทพ นัดต่อสู้สะเทือนฟ้า

ตอนที่ 2831 ทะลวงขั้นดับเทพ นัดต่อสู้สะเทือนฟ้า

หลังจากกลับถ้ำสถิต หลินสวินก็เริ่มปิดด่านฝึกปราณ

ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เขาก็มีรากฐานพลังและโอกาสในการทะลวงขั้นแล้ว

จนถึงตอนนี้สามารถก้าวเข้าธรณีประตูนี้ได้ตลอดเวลา

เมื่อวานหลังจากกลับมา ที่ตัดสินใจไปทดสอบเลื่อนเป็นผู้ดูแลวันนี้ ล้วนเพราะอยากปิดด่านฝึกปราณเพิ่มเติมหลังจากกลายเป็นผู้ดูแล และหลังจากออกด่านก็จะไปทำสอบตำแหน่งผู้อาวุโสโดยตรง

แต่ตอนนี้หลินสวินเปลี่ยนความคิดแล้ว

หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง พลังขับเคลื่อนรอบตัวโคจรออกมา ทันใดนั้นแสงมรรคบนตัวเขาพวยพุ่ง ประกายศักดิ์สิทธิ์ไหลวน สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดมหามรรคที่เหลือเชื่อออกมา

เสียงมรรคปานเสียงสวดท่องธรรมเป็นระลอกดังออกจากร่างเขา

ชั่วขณะหนึ่งทั้งร่างเขาราวกับเทพไท้นั่งอยู่ในหมู่เทพ วิวัฒน์นัยเร้นลับแห่งมหามรรคมากมายออกมา

ขั้นดับเทพ ก็คือการทำให้จิตวิญญาณและรูปจำลองเจตจำนงเกิดการแปรสภาพถึงขีดสุด จนชักนำให้มรรควิถีแห่งตนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย

ในขั้นอายุขัยเทียมฟ้า หยั่งรู้ได้จากในพลังระเบียบเท่านั้น จากนั้นควบรวมกฎเกณฑ์อมตะของตนออกมา

ส่วนการทะลวงสู่ขั้นดับเทพ กลับสามารถหลอมพลังระเบียบให้เป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อมตะแห่งตนโดยตรง!

ตัวอย่างเช่นพลังระเบียบระดับสวรรค์เหมือนกัน ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสามารถหยั่งถึงนัยเร้นลับได้จากในนั้นเท่านั้น จากนั้นควบรวมกฎเกณฑ์อมตะด้วยพลังมหามรรคของตน

แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพ กลับสามารถหลอมระเบียบระดับสวรรค์นี้ได้โดยตรง ผสานเข้าไปในกฎเกณฑ์อมตะของตน!

นี่ก็คือจุดที่น่ากลัวของขั้นดับเทพ

โดยเฉพาะยามต่อสู้ ต่อให้ผู้แข็งแกร่งขั้นอายุขัยเทียมฟ้าบางส่วนใช้พลังระเบียบ ก็ยังยากจะกำราบพวกขั้นดับเทพ เหตุผลเพราะว่ากฎเกณฑ์อมตะของผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพมีพลังระเบียบหลอมรวมอยู่แต่แรกแล้ว ย่อมไม่กลัวการกำราบเช่นนี้

อีกทั้งยิ่งระดับของพลังระเบียบที่ผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพหลอมยิ่งสูง อานุภาพที่สำแดงออกมายามต่อสู้ก็ยิ่งน่ากลัว

นี่แตกต่างกับกฎเกณฑ์อมตะที่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าครอบครอง

ครืน… ครืน…

ไม่ทันไรร่างกายของหลินสวินก็ราวกับเตาหลอมมหามรรค เสียงมรรคดังอย่างต่อเนื่อง ทรงพลังไร้ขอบเขต แสงมรรคประกายศักดิ์สิทธิ์ทั่วร่างก็ประหนึ่งโหมคลั่ง มีท่าทีจะปะทุอยู่กลายๆ

หากไม่ใช่เพราะถ้ำสวรรค์แดนมงคลนี้มีพลังระเบียบของลัทธิแรกกำเนิดบดบัง ทั้งยังปกคลุมด้วยกระบวนผนึกหนาแน่น เพียงแค่ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ก็คงชักนำปรากฏการณ์ประหลาดที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว

ไม่กี่วันหลังจากนั้น

หลินสวินที่นั่งสมาธิอยู่ขับเคลื่อนความคิดในใจ ลูกกลอนโอสถที่เจิดจ้าพร่างพราวราวกับตะวันดวงเล็กเม็ดหนึ่งพุ่งออกมา และถูกเขากลืนเข้าไปในร่างกาย

ลูกกลอนหมื่นแปรดับเทพ!

หลอมจาก ‘ระเบียบวิญญาณโอสถ’ ระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่หายาก ทุกๆ หมื่นปีจึงสามารถหลอมออกมาได้เพียงหนึ่งเม็ด เมื่อกินโอสถนี้เข้าไป ยามทะลวงขั้นดับเทพเพิ่มโอกาสได้อีกห้าส่วน และโอสถนี้ยังมีประโยชน์มหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อต่อการหลอมชะระมรรควิถีขั้นดับเทพ

และหากอยากได้โอสถนี้ จะต้องได้รับความยินยอมจากหัวหน้าหอทั้งสามหอ หรือไม่ก็ต้องได้รับความยินยอมจากรองหัวหน้าหอเก้าคน ไม่เช่นนี้ต่อให้สร้างความชอบมากเพียงใดก็ยากจะได้รับสมบัตินี้

ลูกกลอนหมื่นแปรดับเทพเม็ดนี้เป็นรางวัลที่หลินสวินได้รับหลังจากศึกถกมรรคเก้ายอดเขา

สำหรับเขา ย่อมไม่สนใจผลลัพธ์ที่มีต่อการทะลวงขั้นของลูกกลอนโอสถนี้ แต่สนใจประโยชน์มหัศจรรย์ที่ลูกกลอนนี้มีต่อการหลอมชำระฐานมรรคขั้นดับเทพ

ตูม!

ทันทีที่กลืนลูกกลอนโอสถนี้เข้าไป หลินสวินเพียงรู้สึกว่าจิตวิญญาณ สภาวะจิต ร่างกาย ล้วนราวกับเพลิงเทพที่ลุกโชนรุนแรง ทั้งร่างมีความรู้สึกเหมือนถูกหล่อหลอมอยู่ในเตาไฟ

เขาจดจ่อทำสมาธิ ทำการหลอมเต็มกำลัง

ชั่วขณะหนึ่งในถ้ำสถิตแสงสมบัติพวยพุ่ง ประกายศักดิ์สิทธิ์สาดจ้า เงาร่างของหลินสวินถูกกลบอยู่ในนั้น

จนกระทั่งเจ็ดวันให้หลัง

โครม!

ในถ้ำสถิตที่หลินสวินอยู่เกิดเสียงสนั่นโดยพลัน ราวกับจักรวาลแรกกำเนิด พลังมหามรรคที่เดือดพล่านแผ่กระจายอย่างเสิบสาน ซัดจนพลังผนึกในถ้ำสถิตส่งเสียงดังวู้มๆ สั่นสะเทือนรุนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้ดำเนินอยู่หนึ่งเค่อเต็มๆ

จากนั้นก็เห็นว่าบริเวณที่หลินสวินนั่งสมาธิปรากฏวังวนหุบเหวที่ลึกล้ำคลุมเครือ ยามโคจรช้าๆ แสงมรรคประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ราวกับคลื่นนั่นล้วนเหมือนวัวดินโยนลงทะเล หายเกลี้ยงไม่เหลือ ถูกกลืนกินจนหมด

และเงาร่างผ่าเผยของหลินสวินก็ปรากฏออกมา

มองเห็นว่าด้านหลังเขาวงแหวนเทพอมตะอุบัติขึ้น กลมเกลี้ยงมหัศจรรย์ กลางวงแหวนเทพมีรูปจำลองเจตจำนงที่สูงใหญ่ไร้ใดเปรียบนั่งบัญชา กลืนเมฆคายหมอก ลมหายใจดั่งลมสายฟ้า สุริยันจันทราดารา ภูผาธาราสรรพสิ่ง หลักการฟ้าดินหมื่นลักษณ์ทั่วหล้า ล้วนวนเวียนอยู่รอบๆ รูปจำลองเจตจำนงอย่างชัดแจ้งบ้างเลือนรางบ้าง

ท่ามกลางความเลื่อนลอย วงแหวนเทพอมตะนั่นเหมือนจักรวาลแห่งหนึ่ง และรูปจำลองเจตจำนงนั่นก็คือนายเหนือหัวไร้ใดเปรียบหนึ่งเดียวในนั้น!

ครั้งมองดูบนร่างหลินสวินอีกครั้ง พลังมหามรรคที่พลุ่งพล่านไร้ขอบเขตแฝงท่วงทำนองเร้นลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง บนผิวหนังที่ราวกับหลอมจากหยกเซียนทองเทพเผยแสงประกายพร่างพราว ผิวหนัง เอ็นกระดูก น้ำเลือดล้วนเปล่งคลื่นพลังชีวิตที่น่ากลัวออกมา แม้แต่เส้นผมของเขายังเผยประกายศักดิ์สิทธิ์

และในร่างเขาเหมือนดั่งโลกวัฏจักรที่ความขุ่นมัวแรกกำเนิดอบอวล กระแสมหามรรคประหนึ่งธารยาวแม่น้ำใหญ่ไหลบ่าพวยพุ่ง ทะลวงผ่านเส้นปราณจุดชีพจร อวัยวะตันห้ากลวงหก วิถีโคจรที่เร้นลับนั่นประหนึ่งพลังกฎระเบียบของโลกจักรวาลแห่งหนึ่งกำลังโคจรและวิวัฒน์อย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของกายมรรคและพลังปราณ การเปลี่ยนแปลงของรูปจำลองเจตจำนงในห้วงนิมิตน่าตกใจยิ่งกว่า

ห้วงนิมิตที่เดิมก็กว้างใหญ่ไพศาลอยู่แล้ว มีแสงเทพไพศาลไหลเคลื่อน พร่าวพราวโปร่งแสง รูปจำลองเจตจำนงที่เหมือนดั่งเตาหลอมตั้งตระหง่านอยู่ภายใน สำแดงอานุภาพไม่เสื่อมไม่ดับ หนึ่งเดียวไม่เสื่อมคลายอยู่รางๆ

พลังจิตวิญญาณที่พวยพุ่งกลายเป็นกฎเกณฑ์มหามรรคหลากชนิดรอบๆ รูปจำลองเจตจำนง ล้วนตัดสลับไปมาปานระเบียบโซ่เทพ เกรียงไกรอย่างที่สุด

นี่ก็คือขั้นดับเทพ

วงแหวนเทพอมตะกำเนิดรูปจำลอง ห้วงนิมิตเจตจำนงดั่งโลกจักรวาล!

วงแหวนเทพอมตะของขั้นอายุขัยเทียมฟ้าไม่มีรูปจำลองเจตจำนงควบคุมดูแล อีกทั้งรูปจำลองจิตวิญญาณในห้วงนิมิตก็ไม่สามารถสำแดงพลังมหามรรคทั้งมวลที่เหมือนดั่งระเบียบได้

‘ดับเทพ…’

เมื่อสัมผัสการแปรสภาพประหนึ่งพลิกฟ้าพลิกดินของมรรควิถีทั้งร่างแล้ว ในใจหลินสวินกลับไม่ดีใจหรือเสียใจ นิ่งสงบอย่างที่สุด

ไม่มีอุปสรรค ไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ทุกอย่างล้วนราบรื่น แน่นอนว่าไม่ถึงอาจเรียกได้ว่าตื่นเต้นเกินไป

เดิมทีทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้แล้ว

แต่ตอนนี้ก็ไม่นับว่าสายเกินไป

ไม่นานหลินสวินก็สลัดความคิดฟุ้งซ่าน นั่งขัดสมาธิอีกครั้ง

เขาเริ่มทำความคุ้นเคยและสร้างความมั่นคงให้พลังของระดับขั้นใหม่

……

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น

เช้าตรู่วันนี้

จู่ๆ จงหลีเจ๋อที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำสถิตก็ลืมตาขึ้น

เมื่อเปิดกระบวนผนึกของถ้ำสถิตออก เสียงหนึ่งดังเข้ามาโดยพลัน

“รายงานผู้ดูแล รองผู้ดูแลหลินส่งคำท้าสู้กับท่านในหอแรกพิสุทธิ์ หากท่านรับคำท้า รองหัวหน้าหอฟางเต้าผิงให้เชิญท่านไปที่หอแรกพิสุทธิ์ตอนนี้”

จงหลีเจ๋ออึ้งไป เจ้าคนแซ่หลินนี่ยังไม่ตัดใจอีกหรือ

“อีกครึ่งชั่วยามเจ้าค่อยมาอีกครั้ง” หลังใคร่ครวญครู่หนึ่งจงหลีเจ๋อก็เอ่ยพูด

“ขอรับ”

ศิษย์นอกถ้ำสถิตรับคำสั่งแล้วจากไป

จงหลีเจ๋อลุกขึ้นแล้วออกจากถ้ำสถิต

ไม่นานในถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่รองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีอยู่ จงหลีเจ๋อได้แจ้งเรื่องที่หลินสวินท้าสู้ออกไป

ฝูเหวินหลีอึ้งไปเช่นกัน “เจ้าหมอนี่กล้าขนาดนี้จริงหรือ”

จงหลีเจ๋อกล่าว “เห็นชัดว่าความล้มเหลวครั้งก่อนทำให้ในใจเจ้าหมอนี่ไม่จำยอม”

ฝูเหวินหลีคิดๆ แล้วยิ้มออกมา “ข้ากลับไม่กังวลว่าเจ้าจะพ่ายแพ้ แต่กังวลว่าเมื่อข่าวกระจายออกไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงผู้ดูแลอันดับหนึ่งของหอแรกนภา มีมรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ หากรับคำท้าอาจถูกมองว่าจงใจกลั่นแกล้งเจ้าหลินสวินนั่น”

จงหลีเจ๋อเองก็ยิ้มกล่าว “ในเมื่อเขาหาเรื่องเอง ข้าย่อมไม่ถือที่จะช่วยให้เขาสมปรารถนา”

ฝูเหวินหลีเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ในเมื่อกล้าท้าสู้ย่อมมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง หากเจ้ารับคำท้า ต้องระวังพรสวรรค์อภินิหารดาบกาลเวลาของเขา หากถูกโจมตีเข้า มรรควิถีทั้งร่างของเจ้าก็จะถูกตัดลง”

จงหลีเจ๋อนัยน์ตาหดรัดโดยพลัน จากนั้นก็ยิ้มพูด “รองหัวหน้าหอวางใจ การต่อกรกับขั้นอายุขัยเทียมฟ้าอย่างเขา ข้าย่อมมีวิธีหลบการโจมตีของดาบกาลเวลา”

“ดี เจ้าไปก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะไปชมการต่อสู้ด้วยตัวเองเช่นกัน เสริมอานุภาพให้กับเจ้า!”

ฝูเหวินหลีกล่าว

“ขอรับ!”

จงหลีเจ๋อหมุนตัวจากไป

“รองผู้ดูแลหลินท้าสู้อีกครั้ง หมายจะเลื่อนขั้นเป็นผู้ดูแล!”

“ผู้ดูแลจงหลีเจ๋อแห่งหอแรกนภาเคลื่อนไหวแล้ว รับคำท้าตามนัดหมาย!”

ข่าวนี้กระจายไปทั่วทั้งสามหอเก้ายอดเขาของลัทธิแรกกำเนิดด้วยความเร็วอย่างที่สุด

“หลินสวินบ้าไปแล้วหรือ เขามีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าเท่านั้น ไปท้าสู้จงหลีเจ๋อที่เป็นขั้นดับเทพสัมบูรณ์ได้อย่างไร”

ไม่เพียงแค่บรรดาผู้สืบทอดที่รู้สึกตะลึง แม้แต่คนใหญ่คนโตในสามหอเก้ายอดเขายังตกใจ ยากจะเชื่อ

“นี่ไม่ใช่สมใจศัตรูหรือ เกรงว่าจงหลีเจ๋อคงรอวันนี้มาตลอด!”

คนใหญ่คนโตบางส่วนที่รู้สึกดีกับหลินสวินอดเคียดแค้นชิงชังไม่ได้

“เร็ว ไปหอแรกพิสุทธิ์”

“ระดับขั้นต่างกันขนาดนี้ การต่อสู้เช่นนี้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่เคยเห็นมากก่อน ก็ไม่รู้ว่ารองผู้ดูแลหลินเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกับกล้าทำเช่นนี้”

“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว รีบไป!”

…ทั้งลัทธิแรกกำเนิด ไม่ว่าคนใหญ่คนโตหรือผู้สืบทอดล้วนหยุดการกระทำในมือ เร่งเดินทางไปหอแรกพิสุทธิ์ทันที

การประลองเช่นนี้หายากจริงๆ

ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าคนหนึ่ง ไปท้าสู้ขั้นดับเทพสัมบูรณ์คนหนึ่ง น่าตกตะลึงจริงๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันพบเห็นได้น้อยยิ่ง

“เพิ่งจะหนึ่งเดือนเท่านั้นเขาก็หมดความอดทนแล้วหรือ”

ได้รู้ข่าวนี้หยวนฉางเทียนอดอึ้งไปไม่ได้ ยากจะเชื่ออยู่บ้าง

“ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งพิสูจน์ว่าเจ้าหมอนี่ไม่คู่ควรเป็นศัตรู และไม่คุ้มกับการที่นายน้อยจะมองเป็นศัตรูตัวฉกาจ” หยวนซีหลิวที่อยู่ข้างๆ เผยความดูถูก

“ไม่ ข้ารู้สึกว่าหลินสวินคงไม่มุทะลุขนาดนั้น”

หยวนฉางเทียนเอ่ยเสียงขรึม “ท่านอาซีหลิว ท่านไปดูกับข้าหน่อย ว่าไปแล้วแม้เคยเจอเจ้าหมอนี่ครั้งหนึ่ง แต่ข้าไม่เคยเห็นศักยภาพของเขา ถือโอกาสนี้ไปสังเกตการณ์สักหน่อย”

“ขอรับ”

หยวนซีหลิวพยักหน้าตอบรับ

ในเวลาเดียวกันที่หอแรกพิสุทธิ์

“จงหลีเจ๋อตอบรับคำท้าของเจ้าแล้ว ข้าตัดสินใจจัดการประลองครั้งนี้ในลานมรรคสำแดงสวรรค์”

ฟางเต้าผิงเอ่ยเสียงขรึม

“แล้วแต่ผู้อาวุโสขอรับ” หลินสวินพูดง่ายๆ

ฟางเต้าผิงมองหลินสวินคราหนึ่งแล้วอดพูดไม่ได้ “เวลานี้แล้วยังไม่คิดจะบอกความจริงกับข้าหรือ”

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หลินสวินที่ถูกปฏิเสธคำท้าสู้อย่างต่อเนื่องพูดไว้ว่าจะท้าสู้ในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง

และตอนนี้จงหลีเจ๋อตอบรับคำท้าแล้ว แต่ฟางเต้าผิงกลับไม่รู้ว่าหลินสวินไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันแน่

“ผู้อาวุโส ให้ข้าอุบไว้ก่อนเถอะ รอหลังจากการประลองเริ่มขึ้นท่านก็จะได้รู้แล้ว”

หลินสวินยิ้มพูด

“เจ้านี่นะ”

ฟางเต้าผิงส่ายหน้าอย่างเหลืออด “ไปเถอะ ไปลานมรรคสำแดงสวรรค์ด้วยกัน”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท