Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2832 ศึกแห่งดับเทพ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2832 ศึกแห่งดับเทพ

ตอนที่ 2832 ศึกแห่งดับเทพ

ลานมรรคสำแดงสวรรค์

ผู้คนเต็มแน่น ทุกที่ล้วนมีแต่เงาร่างมากมาย มีคนใหญ่คนโตของลัทธิแรกกำเนิด แต่ที่มากกว่าคือศิษย์และผู้สืบทอดของสามหอเก้ายอดเขา

บรรยากาศคึกคัก เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบดังไม่ขาดสาย

สายตามากมายมองไปยังกลางลานมรรคสำแดงสวรรค์เป็นระยะๆ หยุดอยู่ที่ร่างกำยำที่ยืนตระหง่านในนั้น

เขาสวมชุดคลุมอสรพิษ ผิวเผยสีทองอ่อนๆ สองมือไพล่หลัง ท่าทางองอาจเกรียงไกร

จงหลีเจ๋อ!

ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในสิบสองผู้ดูแลหอแรกนภา พลังปราณขั้นดับเทพขั้นสัมบูรณ์

หากอยู่ในโลกภายนอก บุคคลอย่างเขาสามารถค้ำยันเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหนึ่งได้!

แม้อยู่ในแดนแรกเริ่ม ฐานะของจงหลีเจ๋อก็เทียบเท่าผู้นำเก้ายอดเขา สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตแล้ว

ตอนนี้จงหลีเจ๋อสีหน้านิ่งสงบ จดจ่ออยู่กับตัวเอง ไม่สนใจสายตาที่มองมาจากรอบๆ เลยสักนิด

เขารู้ว่าจะต้องมีคนมากมายดูหมิ่นเขาแน่ คิดว่าที่เขาตอบรับคำท้าของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่กลั่นแกล้งเด็ก

แต่เขาไม่ใส่ใจ

ว่ากันถึงที่สุดเป็นหลินสวินที่ท้าสู้ เขามารับคำท้าจึงส่งผลต่อชื่อเสียงไม่มากนัก

กลับกันหากสามารถอาศัยการต่อสู้ครั้งนี้เล่นงานหลินสวินอย่างหนักได้สักรอบต่างหาก จึงจะเป็นเรื่องที่จงหลีเจ๋ออยากทำที่สุด

ในหลายปีมานี้หลินสวินชื่อเสียงพุ่งทะยาน อานุภาพสะดุดตา ทุกการเคลื่อนไหวล้วนส่งผลต่อทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิด คนโดดเด่นเช่นนี้หากถูกตนเหยียบให้จมดินในวันนี้…

ต้องน่าสนใจมากกระมัง

คิดถึงตรงนี้ในใจจงหลีเจ๋อเกิดความคึกคักขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง

ผู้คนที่อยู่ไกลๆ ฮือฮาระลอกหนึ่ง จากนั้นมีเสียงจอแจดังออกมา

“หลินสวินมาแล้ว!”

“เฮ้อ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอย่างไร เหตุใดจึงบุ่มบ่ามไปท้าสู้ผู้ดูแลจงหลีเจ๋อ หากพ่ายแพ้บารมีทั้งร่างต้องถูกโจมตีพินาศแน่”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ารองผู้ดูแลหลินจะแพ้”

“ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นสัมบูรณ์คนหนึ่ง สามารถเอาชนะขั้นดับเทพสัมบูรณ์ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันทอดสายตามองไปทั้งโลกยอดนิรันดร์ยังไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น!”

ในเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เงาร่างของหลินสวินและฟางเต้าผิงมาถึงหน้าลานมรรคสำแดงสวรรค์แล้ว และหลินสวินก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งที่นั้นทันที

สายตาของคนมากมายซับซ้อน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินสวินจึงต้องทำเรื่องที่เสี่ยงเช่นนี้

ทั้งมีคนที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง คิดว่าที่หลินสวินกล้าทำเช่นนี้จะต้องมีความมั่นใจแน่

หลินสวินกวาดมองถ้วนทั่ว เห็นรองหัวหน้าหออย่างพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น ชือเวิน และเห็นพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงเช่นกัน

เพียงแต่ยามสายตาเขากวาดมองไปที่มุมหนึ่งกลับอดอึ้งไม่ได้ เอ่ยว่า “ผู้ดูแลมู่ฉินปิดด่านอยู่ไม่ใช่หรือ วันนี้กลับว่างมาชมความครึกครื้นด้วยหรือ”

ผู้คนมองตามสายตาเขาไปก็เห็นผู้ดูแลมู่ฉินแห่งหอแรกนภาเช่นกัน สีหน้าต่างแฝงความดูถูกไม่มากก็น้อย

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้คู่ต่อสู้คนแรกที่หลินสวินจะท้าสู้ก็คือมู่ฉิน แต่ขั้นดับเทพคนนี้กลับหลีกเลี่ยงไม่ต่อสู้ อ้างว่าปิดด่านอยู่

แต่ตอนนี้เขากลับมาชมการต่อสู้ นี่จะไม่ให้ผู้อื่นดูถูกได้อย่างไร

“หึ”

สีหน้าของมู่ฉินปรากฏแววอึมครึม “ข้าออกด่านตอนไหนคล้ายว่าไม่จำเป็นต้องรายงานรองผู้ดูแลหลินกระมัง”

“แน่นอน”

หลินสวินพยักหน้า “หากผู้ดูแลมู่ฉินไม่ถือสา ข้าดลับยินดีใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านสักหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้ผู้ดูแลมู่ฉินยังจะหลีกเลี่ยงไม่ต่อสู้อีกหรือไม่”

ทั่วลานล้วนฮือฮา

ใครก็คิดไม่ถึงว่าเวลานี้แล้วหลินสวินยังจะหาเรื่องเพิ่ม

มู่ฉินเองก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ในใจเกิดความเดือดดาลที่พูดไม่ออก ภายใต้สายตาของผู้คน ถูกท้าสู้เช่นนี้ หากไม่ตอบรับ ต่อไปเขาจะมีที่ยืนในสำนักได้อย่างไร

เพียงแต่ไม่รอเขาอ้าปาก จงหลีเจ๋อที่รออยู่ในลานมรรคสำแดงสวรรค์ก่อนแล้วก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “รองผู้ดูแลหลิน การทดสอบครั้งนี้คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า ไม่ใช่คนอื่น”

เสียงดังไปทั่วลาน

“ไม่ต้องรีบ ท่านเป็นคนแรกอยู่แล้ว”

หลินสวินยิ้มพูด “หนึ่งเดือนก่อนเพราะผู้ดูแลจำนวนมากล้วนมีธุระสารพัด ไม่สามารถรับคำท้าสู้ของข้าได้ ทำให้ในใจข้าเสียดายอยู่บ้าง จึงคิดใช้โอกาสนี้ หากสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ดูแลเหล่านี้สักหน่อยจะได้ไม่ต้องติดใจเรื่องนี้อีก”

สายตาของคนทั่วลานต่างแปลกพิกลขึ้นมา

หรือเขายังคิดว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของจงหลีเจ๋อได้

“หยุดพูดไร้สาระ รีบมาต่อสู้!”

ในลานมรรคสำแดงสวรรค์ จงหลีเจ๋อหมดความอดทนแล้ว “รีบหน่อยไม่ได้หรือ”

“หลินสวิน วันนี้เป็นการทดสอบเลื่อนขั้นของเจ้า เป็นเรื่องใหญ่ อย่าได้ถ่วงเวลาของทุกคน”

ไกลออกไปรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีเองก็เอ่ยอย่างเย็นชา ในใจเขาระอากับทุกการกระทำก่อนหน้านี้ของหลินสวินนัก

“รองหัวหน้าหอฝูพูดถูก ไม่ควรถ่วงเวลาอีกแล้วจริงๆ”

หลินสวินเงาร่างพริบไหวโดยพลัน ลอยมาถึงกลางลานมรรคสำแดงสวรรค์

บรรยากาศที่อึกทึกทั่วลานเงียบลงทันที ทุกสายตาหยุดที่หลินสวินและจงหลีเจ๋อ

“รองผู้ดูแลหลิน นี่เป็นการทดสอบ แม้บอกว่าระดับขั้นปราณของข้ากับเจ้าห่างกันมาก แต่ทันทีที่เริ่มต่อสู้ ข้าจะไม่ออมมือเด็ดขาด ยามเจ้าพ่ายแพ้ก็อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้าจะดีที่สุด”

จงหลีเจ๋อพูดอย่างเย็นเยียบ

“นี่แน่นอนอยู่แล้ว”

หลินสวินพยักหน้า

ครืน!

จงหลีเจ๋อไม่พูดพล่ามอีก อานุภาพบนตัวเขาพลันเปลี่ยนไป วงแหวนเทพอมตะทองอร่ามสายหนึ่งปรากฏ รูปจำลองเจตจำนงองค์หนึ่งนั่งอยู่ภายใน สาดประกายแสงหมื่นจั้ง

กลิ่นอายของขั้นดับเทพสัมบูรณ์แผ่กระจายออกมา

คนมากมายหน้าเปลี่ยนสี ในใจหนักอึ้ง ด้วยอานุภาพระดับนี้หลินสวินจะเอาอะไรไปประชัน

“ทะยาน!”

แววตาจงหลีเจ๋อดุจกระบี่ ริมฝีปากพ่นคำหนึ่งออกมาเบาๆ

ชิ้ง!

ทวนศึกสีดำเล่มหนึ่งปรากฏออกมาและถูกจงหลีเจ๋อคว้าเอาไว้ จากนั้นเงาร่างทะยานห้วงอากาศ แทงทวนศึกสีดำออกมาราวกับสายฟ้าสายหนึ่ง

รวดเร็วเกินไปแล้ว!

ทันทีที่ลงมือก็เหมือนการโจมตีของสายฟ้าหมื่นสาย ไม่ปรานีใดๆ สักนิด

ขั้นดับเทพมากมายนอกลานมรรคเห็นภาพนี้ ในใจยังอดเครียดเกร็งไม่ได้ รู้สึกถึงการคุกคามและแรงกดดันอย่างที่สุด

การต่อสู้เช่นนี้อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งขั้นอายุขัยเทียมฟ้า แม้แต่ขั้นดับเทพอย่างพวกเขายังต้องสู้เต็มกำลัง

แล้วหลินสวินจะต้านทานได้อย่างไร

ทุกสายตาต่างหันมองหลินสวินโดยพร้อมเพรียง

แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน หลินสวินไม่ได้ถอยหลบ กลับพุ่งเข้าไปรับ!

“นี่….”

ในสมองคนมากมายล้วนเกิดความคิดหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย ตั๊กแตนขวางรถ ไข่กระทบหิน!

ระดับขั้นห่างกันขนาดนี้ยังจะไปปะทะซึ่งหน้า นี่ไม่ใช่ตั๊กแตนขวางรถหรือ

เคร้ง!!!

ทวนศึกสีดำกับพลังหมัดของหลินสวินปะทะกัน ทั้งลานมรรคสำแดงสวรรค์สั่นสะเทือน กระแสทำลายล้างรุนแรงกระจายออกมาระหว่างคนทั้งสอง รุนแรงพร่าตา เสียดแทงสายตาจนผู้คนลืมตาไม่ขึ้น

ทว่าภาพที่หลินสวินถูกโจมตีพินาศในความคาดหมายของผู้คนไม่ได้เกิดขึ้น เงาร่างที่พุ่งไปข้างหน้าของเขาถึงขั้นไม่ได้ถูกสะเทือนสักนิด

กลับเป็นทวนศึกสีดำในมือจงหลีเจ๋อที่สั่นไหวรุนแรง

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนตระหนักถึงบางอย่าง

แต่ไม่รอให้เขาตอบสนอง พริบตานั้นหลินสวินก็ซัดหมื่นพันหมัดออกมา ทุกหมัดประหนึ่งเตาหลอมกลียุคทึบกระแทกลงมา ดุจดั่งหมายจะผลาญหมื่นลักษณ์ฟ้าดิน

และยามหมื่นพันหมัดที่แน่นขนัดซัดออกมาราวกับพายุคลั่ง ภาพนั้นทำให้จงหลีเจ๋อเองยังมึนงงเล็กน้อย

นี่คือพลังต่อสู้ที่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์สามารถครอบครองได้หรือ!?

แต่อย่างไรเขาก็เป็นขั้นดับเทพสัมบูรณ์ สามารถตอบโต้ได้ทันที ทวนศึกสีดำในมือโบกสะบัด กวาดไปตามแนวขวางทันใด

กระบวนท่าเรียบง่ายกลับเลิกสายฟ้าสีดำนับไม่ถ้วนออกมา รุนแรงราวกับพายุคลั่ง โหมซัดดั่งห้วงสมุทร พลังกฎเกณฑ์ที่หนาใหญ่ทับซ้อนตัดสลับ ทำให้การโจมตีนี้อหังการเหนือธรรมดา

ตูม โครม!

พลังหมัดหมื่นพันถูกซัดกวาดเกลี้ยง

นอกลานมรรคเกิดเสียงอุทานตกใจ มองเห็นว่าขณะที่หลินสวินใกล้จะถูกทวนศึกสีดำกวาดโดน ก็เห็นเบื้องหน้าเขามีเตากระบี่เตาหนึ่งพุ่งทะยานออกมา หอบม้วนประกายแสงไพศาลกำราบลงมาอย่างหนักหน่วง

ฟ้าดินพลันปั่นป่วน

มองเห็นด้วยตาเปล่าว่าทันทีที่เตากระบี่กระแทกลงมา ทวนศึกสีดำของจงหลีเจ๋อที่บิดงอยิ่งยวด เหมือนจะหักอย่างไรอย่างนั้น

และเมื่อเผชิญการโจมตีเช่นนี้ เงาร่างของจงหลีเจ๋อถูกซัดจนถอยออกไปอย่างหนัก สีหน้าทั้งเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว ในดวงตาเต็มไปด้วยความยากจะเชื่อ

“พลังของขั้นดับเทพ!!”

เขาตะโกน สีหน้าตกใจผสมเดือดดาล มีความรู้สึกเหมือนโดนหลอก

เขาคิดมาโดยตลอดว่าหลินสวินมีปราณขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ ใครจะคิดว่าเวลาแค่หนึ่งเดือนอีกฝ่ายกลับเหมือนทะลวงขั้นแล้ว ก้าวสู่ขั้นดับเทพ!

นอกลานมรรคก็ฮือฮาอย่างที่สุดเช่นกัน

พลังที่การโจมตีนี้สำแดงออกมา ไม่ใช่พลังที่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสามารถครอบครองได้จริงๆ นี่พิสูจน์ว่าหลินสวินมีปราณขั้นดับเทพแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

ขั้นดับเทพที่ครอบครองศักยภาพยอดอมตะคนหนึ่ง!

“มิน่ารองผู้ดูแลหลินถึงได้ไม่เกรงกลัว ที่แท้ก็ทะลวงขั้นแล้ว คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!”

คนไม่รู้เท่าไหร่ตื่นเต้นไม่หยุด

‘เจ้าสารเลวนี่!’

เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มองหลินสวินเป็นศัตรูล้วนอดก่นด่าคำโตในใจไม่ได้

พวกเขาเองก็คิดไม่ถึง ว่าเพียงแค่หนึ่งเดือนหลินสวินจะถึงกับทะลวงขั้นแล้ว

“เหอะๆ ข้าก็ว่าแล้ว”

ฟางเต้าผิงลูบเคราแย้มยิ้ม ก่อนหน้านี้ในใจเขาก็สงสัยอยู่ก่อนแล้ว และเดาว่าหลินสวินทะลวงขั้นแล้ว แต่กลิ่นอายคลุมเครือบนร่างหลินสวินทำให้เขาแยกแยะไม่ใคร่ออก

แต่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็มั่นใจแล้ว

“ข้าก็ว่าอยู่ว่าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่พวกบุ่มบ่าม ที่แท้ก็ทะลวงขั้นแล้ว…”

ไกลออกไปหยวนฉางเทียนยืนไพล่หลัง บนใบหน้าหล่อเหลาเผยความกระจ่าง เอ่ยอย่างสนใจ “เช่นนี้การประลองครั้งนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยแน่”

ขั้นดับเทพที่เพิ่งทะลวงขั้นคนหนึ่งกับขั้นดับเทพสัมบูรณ์คนหนึ่ง ยังคงห่างกันอย่างมาก สำหรับหยวนฉางเทียน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พลังปราณของหลินสวินยังคงเสียเปรียบมาก

ขณะที่นอกลานมรรคฮือฮา หลินสวินและจงหลีเจ๋อในลานมรรคสำแดงสวรรค์ได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดยิ่งแล้ว

ตูม!

หลินสวินยังคงซัดหมัดมือเปล่า แต่อานุภาพแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง องอาจกร้าวแกร่ง ทุกหมัดที่ซัดออกไปล้วนเหมือนดั่งเทพสวรรค์ทุ่มภูเขาเทพดึกดำบรรพ์

ด้านจงหลีเจ๋อ หลังผ่านความตกใจในตอนแรกก็กลับมาตั้งสติได้ ประลองอย่างใจเย็น ทวนศึกสีดำถูกเขาสำแดงอานุภาพมหัศจรรย์ไร้สิ้นสุดออกมา

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ดูแลอันดับหนึ่งของหอแรกนภา ทั้งยังครอบครองวิชาลับและพลังพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งยิ่งยวด ยามต่อสู้เต็มกำลัง อานุภาพระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบได้

แต่พร้อมๆ กับเวลาที่ล่วงเลยไป สีหน้าของจงหลีเจ๋อค่อยๆ เผยความเคร่งขรึม ความตกตะลึงวาบผ่านในดวงตาเป็นครั้งคราว

เขาได้ใช้พลังทั้งหมดแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้กลับยังไม่สามารถกำราบหลินสวินได้ นี่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันแล้ว!

แต่จงหลีเจ๋อยังคงเยือกเย็นยิ่ง สภาวะจิตมั่นคง

คนเช่นเขา การเปลี่ยนแปลงเพียงเท่านี้ย่อมไม่มีทางกระทบต่อจิตต่อสู้!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท