Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2835 ความเร้นลับของแดนมารสิบทิศ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2835 ความเร้นลับของแดนมารสิบทิศ

ตอนที่ 2835 ความเร้นลับของแดนมารสิบทิศ

ไม่กี่ปีมานี้หยวนฉางเทียนที่ได้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสหอแรกนภา เป็นคนที่ได้รับความสนใจที่สุดคนหนึ่งในลัทธิแรกกำเนิดอย่างไม่ต้องสงสัย

เขามาจากน่านฟ้าที่เก้า เป็นหนึ่งในบุตรเทพของเผ่าเทพตระกูลหยวน มีมรรควิถีขั้นดับเทพขั้นกลาง พรสวรรค์ มรรควิถี ฐานะ ล้วนแข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อาจเทียบได้

แต่หยวนฉางเทียนไม่ใช่คนหยิ่งผยอง

ตรงกันข้ามเขาถ่อมตนอ่อนโยน การวางตัวไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงตอนนี้ได้รับความรู้สึกดีๆ มากมายในสำนักแล้ว

ตอนนี้ก้าวออกมาสำแดงความยินดีกับหลินสวิน แน่นอนว่าไม่อยากดึงดูดความสนใจของผู้คนคงยาก

“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสหยวน”

หลินสวินยิ้มออกมา “มาหาข้าครั้งนี้มีเรื่องอะไรอีกหรือ”

หยวนฉางเทียนรอยยิ้มอบอุ่น เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ได้เห็นความองอาจของพี่หลิน เก็บความชื่นชมในใจไม่อยู่จึงอดมาแสดงความยินดีด้วยไม่ได้”

“ขอบคุณมาก” หลินสวินกล่าว “หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าขอตัวก่อน”

หยวนฉางเทียนบื้อใบ้ไป เอ่ยว่า “พี่หลิน เหตุใดต้องรีบขนาดนี้”

“ยังมีอะไรอีกหรือ” หลินสวินถาม

หยวนฉางเทียนเอ่ยเสียงขรึม “พี่หลินรู้หรือไม่ว่าเหตุใดหัวหน้าหอเหยียนจี้จึงกักบริเวณพี่หลินเก้าปี”

“หรือผู้อาวุโสหยวนรู้” หลินสวินย้อนถาม

หยวนฉางเทียนยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเองก็เพียงแค่คาดเดา อย่าได้คิดเป็นจริง แต่ถ้าพี่หลินอยากฟัง ข้าย่อมสามารถบอกการคาดเดาได้คร่าวๆ”

“โปรดชี้แนะด้วย”

“สิบปีหลังจากนี้ ‘ศึกมรรคอมตะ’ ที่หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดจัดขึ้นจะเปิดฉากในแดนมารสิบทิศ เมื่อถึงเวลานั้นสี่หอบรรพจารย์จะส่งระดับอมตะห้าคนเข้าร่วม ประลองสูงต่ำ”

หยวนฉางเทียนกล่าว “คาดการณ์เช่นนี้ ที่ให้พี่หลินกักบริเวณเก้าปี เกรงว่าคงเพื่อให้พี่หลินมีโอกาสเข้าร่วมศึกมรรคนี้ในอีกสิบปีได้”

หลินสวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”

หยวนฉางเทียนยิ้มพูด “ศึกมรรคอมตะจะต้องจัดอยู่แล้ว ส่วนหัวหน้าหอเหยียนจี้คิดเช่นนี้หรือไม่นั้น ข้าเองก็แค่คาดเดา”

ฟังจบหลินสวินคิดๆ แล้วยิ้มกล่าว “เช่นนั้นรออีกเก้าปีข้าคนแซ่หลินออกมาแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

หยวนฉางเทียนประสานหมัดพูด “เช่นนั้นไม่รบกวนพี่หลินแล้ว ลาก่อน”

เขาหมุนตัวจากไป หยวนซีหลิวตามไปติดๆ ติดตามทุกฝีเท้า คนใหญ่คนโตที่ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสพิเศษคนหนึ่ง กลับราวกับข้ารับใช้ ยิ่งขับให้ฐานะของหยวนฉางเทียนไม่ธรรมดา

‘ศึกมรรคอมตะ…’

หลินสวินมองเงาร่างของหยวนฉางเทียนจากไป ไม่ได้คิดมากความอะไร หมุนตัวกลับถ้ำสถิตของตน

……

พลบค่ำ

เถาเหลิ่งนำป้ายสำนักชิ้นใหม่มาให้หลินสวิน

“น้องชาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าก็เป็นผู้ดูแลเหมือนข้าแล้ว”

เถาเหลิ่งแสดงความยินดีพร้อมรอยยิ้ม

ในฐานะผู้ดูแล ทุกเดือนจะได้รับแกนเทพอมตะห้าพันชั่ง สามารถเข้าออกเขาตำราอ่านตำราได้ตามใจ และสามารถรับผู้สืบทอดของตนได้!

ตามกฎแล้วหากผู้ดูแลจะรับผู้สืบทอด สามารถเลือกได้จากเก้ายอดเขา และสามารถหาต้นกล้าชั้นยอดจากโลกภายนอกได้ แต่รับผู้สืบทอดได้เพียงคนเดียว

ผลประโยชน์ของผู้สืบทอดเหมือนกับศิษย์ของสามหอ สำนักจะมอบทรัพยากรฝึกปราณให้ทุกเดือน

“ผู้อาวุโส…”

หลินสวินเพิ่งจะพูดก็ถูกเถาเหลิ่งขัดจังหวะ “ข้ากับเจ้าล้วนเป็นผู้ดูแลแล้ว แน่นอนว่าเรียกได้ว่าเป็นคนระดับเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเรียกว่า ‘ผู้อาวุโส’ อีก”

หลินสวินยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธ ประสานหมัดพูด “พี่เถา”

เถาเหลิ่งเองก็ยิ้ม “นี่ถึงจะถูก เจ้าในตอนนี้มากอำนาจฐานะสูงส่ง สามารถเทียบกับผู้นำเก้ายอดเขา และเจ้ายังแทนที่ตำแหน่งของจงหลีเจ๋อ ซึ่งยามเขาดำรงตำแหน่งผู้ดูแล รับผิดชอบเรื่องการลงโทษและให้รางวัลผู้อาวุโสเก้ายอดเขามาโดยตลอด ตอนนี้หน้าที่นี้น้องชายเป็นผู้ดูแลแล้ว”

เอ่ยถึงตรงนี้เขาพูดอย่างคล้ายไม่ตั้งใจ “จริงสิ น้องชาย ข้าจำได้ว่าตอนที่อยู่ยอดเขาที่เก้า เจ้าเคยถูกผู้อาวุโสเจิ้งเฉียนสร้างความลำบากให้กระมัง”

หลินสวินเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที ยิ้มกล่าว “เช่นนั้นพี่เถาว่าข้าควรทำอย่างไร”

เถาเหลิ่งเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “นอกในตีขนาบ”

“นอกในตีขนาบหรือ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”

“ในยอดเขาที่เก้า ตั้งแต่ผู้นำยอดเขาจนถึงผู้สืบทอดล้วนยืนอยู่ข้างเจ้าแล้ว นี่ก็คือคนใน ขอแค่เชิญผู้นำยอดเขาฉินอู๋อวี้ลงมือ รวบรวมสิ่งที่ไม่เป็นผลดีต่อเจิ้งเฉียน แล้วเจ้าค่อยออกหน้า ย่อมสามารถทำลายเจิ้งเฉียนได้ในคราเดียว”

เถาเหลิ่งหรี่ตาน้อยๆ ประกายเย็นเยียบวาบไหว “แต่ถ้าเจ้าอยากล้มคนผู้นี้อย่างสิ้นเชิง เท่านี้ยังไม่เพียงพอ ยังต้องสร้างโอกาสให้เจิ้งเฉียนกระทำความผิด ขอเพียงแค่เขาทำความผิด บวกกับหลักฐานความผิดที่รวบรวมมาได้ ทั้งสองอย่างย่อมสามารถถอดถอนตำแหน่งผู้อาวุโสของเขา ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะลืมตาอ้าปากอีก”

หลินสวินอดตะลึงไม่ได้ มิน่าตอนอยู่ยอดเขาที่เก้าคนมากมายถึงหวาดกลัวเถาเหลิ่ง พูดถึงเขาแล้วหน้าเปลี่ยนสี วิธีการเช่นนี้ร้ายกาจมากจริงๆ

“น้องชาย เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้” เถาเหลิ่งไม่เข้าใจ

หลินสวินยิ้มพูด “ฟังคำพูดของท่านแล้วข้าอดตะลึงไม่ได้”

“เจ้านี่นะ” เถาเหลิ่งส่ายหน้ายิ้มๆ

หลินสวินกล่าว “เรื่องของเจิ้งเฉียนข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กลับอยากฉวยโอกาสนี้ขอคำแนะนำเรื่องของศึกมรรคอมตะกับพี่เถาสักหน่อย”

เถาเหลิ่งยิ้มพูด “นี่ไม่ใช่ความลับอะไร ข้าย่อมบอกทุกอย่างที่รู้ได้”

ครึ่งเค่อหลังจากนั้นเถาเหลิ่งถึงจากไป

ส่วนหลินสวินจมสู่ภวังค์ความคิด

เถาเหลิ่งเล่าเรื่องศึกมรรคอมตะแล้ว

ที่แท้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ทุกๆ สามพันปีหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดจะจัดศึกมรรคหนึ่งครั้ง สถานที่คือแดนมารสิบทิศ

เมื่อถึงตอนนั้นสี่หอบรรพจารย์จะส่งระดับอมตะห้าคนเข้าร่วม

หากผู้แข็งแกร่งขั้นอายุขัยเทียมฟ้าเข้าสู่แดนมารสิบทิศ ง่ายมากที่จะประสบภัย ส่วนขั้นหลุดพ้นเป็นกำลังสำคัญของสี่หอบรรพจารย์ โดยทั่วไปจึงไม่เคลื่อนกำลังง่ายๆ

ดังนั้นที่ผ่านมาในศึกมรรคอมตะ สี่หอบรรพจารย์มักจะส่งผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพไป

กฎของศึกมรรคอมตะก็เรียบง่ายมาก ล่าสังหาร ‘สัตว์ระเบียบ’ ในแดนมารสิบทิศ สัตว์ระเบียบที่สังหารยิ่งมาก อันดับก็ยิ่งสูง

หลังจากศึกมรรคอมตะสิ้นสุดลง จะดำเนินการจัดอันดับระหว่างสี่หอบรรพจารย์โดยอิงตามจำนวนสัตว์ระเบียบที่ผู้แข็งแกร่งแต่ละหอบรรพจารย์ล่ามาได้รวมกัน

ในสายตาหลินสวิน นี่ก็คืองานที่วัดความสูงต่ำระหว่างระดับอมตะของสี่หอบรรพจารย์ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

แต่จากที่เถาเหลิ่งพูด ศึกมรรคอมตะกลับมีความพิเศษอย่างมาก!

เพราะทุกสามพันปี ในแดนมารสิบทิศจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นจะปรากฏวาสนาที่น่าเหลือเชื่อมากมาย

อย่างเช่นที่ในอดีตผ่านมา มีคนเคยกำราบระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่หายาก รวมถึงวิญญาณระเบียบด้วย

มีบางคนได้รับเศษเสี้ยวระเบียบระดับเทพที่แตกหัก

มีบางคนได้รับโอสถเทพนิรันดร์’

และมีคนได้รับจุดเปลี่ยนชั้นเลิศในการทะลวงมรรควิถี ก้าวสู่ขั้นหลุดพ้นในคราเดียว!

และนี่ก็คือจุดประสงค์ที่สี่หอบรรพจารย์จัดศึกมรรคอมตะ

เพราะศุภโชคเช่นนี้สามพันปีจึงจะปรากฏขึ้นครั้งหนึ่ง ดังนั้นศึกมรรคอมตะจึงจะจัดขึ้นทุกๆ สามพันปีเท่านั้น

ได้รู้เรื่องพวกนี้ทำให้หลินสวินเองก็เกิดความสนใจอย่างยิ่ง

ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะ อยากทะลวงขั้นก็ยากมากจริงๆ ใช่ว่าจะสามารถทะลวงได้ด้วยการฝึกปราณเป็นเวลานาน และใช่ว่าจะสามารถทะลวงได้จากการสั่งสมทรัพยากรฝึกปราณ

ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความเพียรพยายามและความสามารถในการหยั่งรู้สูง หากเอาแต่ฝึกปราณตามความคิดของตน ก็ไม่อาจทำให้มรรควิถีแห่งตนเกิดการเปลี่ยนแปลงได้

ว่ากันถึงที่สุด บนโลกนี้ ‘วาสนา’ ที่สามารถตอบสนองความต้องการในการทะลวงระดับขั้นนี้ก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย

อย่างเช่นขั้นดับเทพ

ทรัพยากรฝึกปราณทั่วไปไม่อาจใช้ได้ แต่สิ่งที่ช่วยในการฝึกปราณระดับขั้นนี้ที่สุดก็คือการหลอมพลังระเบียบ

แต่พลังระเบียบเป็นสมบัติล้ำค่าหายากยิ่ง อีกทั้งระดับยิ่งสูงก็ยิ่งหายาก

อย่างในพื้นที่น่านฟ้าที่เจ็ดของโลกยอดนิรันดร์ มีพลังระเบียบระดับปฐพีสายหนึ่งก็สามารถค้ำเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหนึ่งได้แล้ว

ใครจะทำใจหลอมพลังระเบียบเช่นนี้ได้

นี่ก็คือเหตุผลที่ในน่านฟ้าที่เจ็ดนี้ยากจะได้เห็นผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพ

เหตุผลก็ง่ายดายยิ่ง เพราะในสถานที่เหล่านั้นมีพลังระเบียบน้อยเกินไป ยากลำบากยิ่งต่อการฝึกปราณของขั้นดับเทพ

แม้อยู่ในลัทธิแรกกำเนิด พลังปราณของผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพก็ถือว่าพัฒนาได้ช้ามาก

คนเก่าๆ บางส่วนอยู่ในระดับขั้นนี้นับพันหมื่นปีแล้ว ถึงขั้นยังมีคนที่ฝึกปราณอยู่ในขั้นนี้หลายหมื่นปี

นอกจากเหตุผลส่วนตัวของพวกเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือขาดพลังระเบียบ!

นี่ยังเป็นเพียงแค่ขั้นดับเทพเท่านั้น

เท่าที่หลินสวินรู้ เส้นทางการทะลวงขั้นของขั้นหลุดพ้น ยากลำบากกว่าขั้นดับเทพสิบเท่าร้อยเท่า!

เพราะฉะนั้นสำหรับผู้แข็งแกร่งระดับอมตะ หากมีโอกาสที่สามารถช่วยทะลวงขั้นได้ แน่นอนว่าใครก็ไม่มีทางพลาด

เพียงแต่โอกาสเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าน้อยมาก ต้องรอคอยเป็นเวลานาน และต้องรอให้ถึงช่วงเวลานั้นๆ เท่านั้น

ดังนั้นการเข้าร่วมศึกมรรคอมตะจึงเป็นโอกาสชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งหมดก็เพราะในแดนมารสิบทิศมีสัตว์ระเบียบกระจายอยู่!

ในร่างของสัตว์เหล่านั้นมีพลังระเบียบอยู่ มีส่ประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกปราณของขั้นดับเทพ!

จากที่เถาเหลิ่งพูด แดนมารสิบทิศเป็นสถานที่อันตรายและแปลกประหลาดยิ่งยวดแห่งหนึ่ง ภายในมีพลังระเบียบที่หลงเหลือหลังจากการดับสิ้นแห่งยุคสมัยมากมาย

นี่คล้ายกับแดนใหญ่พันศึกอยู่บ้าง

แต่ต่างกันตรงที่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ ไม่มีใครรู้ว่าในแดนมารสิบทิศมีพลังระเบียบของอารยธรรมยุคสมัยอยู่เท่าไหร่กันแน่

เพราะทุกๆ สามพันปีในแดนมารสิบทิศจะปรากฏทัพสัตว์ขึ้นครั้งหนึ่ง ทัพสัตว์พวกนี้ก็คือสัตว์ระเบียบ!

ว่ากันว่าสัตว์พวกนี้ดูดซึมพลังระเบียบที่แตกหักมาหล่อเลี้ยงชีวิตตั้งแต่ถือกำเนิด ทำให้ศักยภาพแข็งแกร่งหาใดเปรียบ

กับเรื่องนี้แน่นอนว่าหลินสวินเองก็สนใจมาก

หลายปีที่ผ่านมานี้แม้เขารวบรวมพลังระเบียบได้ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนถูกอู๋ซวงหลอมไปหมด

และตอนนี้เขามีมรรควิถีขั้นดับเทพแล้ว ต้องหลอมพลังระเบียบเพื่อยกระดับพลังปราณเช่นกัน แน่นอนว่าต้องใคร่ครวญว่าจะรวบรวมพลังระเบียบให้มากกว่านี้ได้อย่างไร

‘อีกเก้าปี จะต้องคว้าโอกาสเช่นนี้มาให้ได้!’

หลินสวินลอบตัดสินใจ

เวลาไม่เคยคอยใคร ตอนนี้ห่างจากช่วงเวลาที่หัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์โหยวเป่ยไห่จะแจ้งมรรคนิรันดร์อีกประมาณเก้าสิบปีเท่านั้น

และหลินสวินในตอนนี้เป็นเพียงขั้นดับเทพขั้นต้นเท่านั้น

ถึงตอนนั้นถ้าอยากชิงตำแหน่งหัวหน้าหอ อย่างน้อยก็ต้องมีพลังปราณขั้นหลุดพ้น นี่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุด และถ้าอยากชิงตำแหน่งหัวหน้าหอภายใต้การแข่งขันระหว่างรองหัวหน้าหอ เกรงว่าต่อให้มีพลังขั้นหลุดพ้นก็ยังไม่พอ…

และทั้งหมดนี้จำเป็นต้องทำให้เป็นจริงในเก้าสิบปี

นี่ทำให้หลินสวินยังรู้สึกถึงแรงกดดัน

การทะลวงขั้นไม่เคยเป็นเรื่องง่าย

โดยเฉพาะอยากทะลวงขั้นอย่างก้าวกระโดดบนมรรคาอมตะ อิงตามเส้นทางฝึกปราณปกติ พันหมื่นปีก็ใช่ว่าจะสามารถแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นได้

ดังนั้นจึงต้องคิดหาหนทางอื่น!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท