ตอนที่ 2839 ออกด่าน
วันนี้
ในถ้ำสถิตของหลินสวิน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งลอยอยู่เบื้องหน้า พื้นผิวเตาที่เรียบง่าย เมื่อเทียบกับในอดีตแล้วมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์เป็นประกายมายาเพิ่มเข้ามา คล้ายมีแสงกาลเวลาอันมหัศจรรย์ไหลเคลื่อนอยู่บนนั้น
ในเตากระบี่ไอหมอกอบอวล เงาแสงคละคลุ้ง กฎเกณฑ์มหามรรคมากมายลอยอยู่ภายใน ยิ่งมีพลังกาลเวลาปานระลอกคลื่นกระจายอยู่ภายใน
เมื่อเทียบกับในอดีตแล้ว ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งเกิดการเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากเดิมโดยสมบูรณ์
ในดวงตาหลินสวินยังอดตะลึงไม่ได้
สามปีมานี้เพื่อหลอมเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง เขาแทบจะเข้าแดนเนรเทศวันละครั้ง ฝึกปราณบริเวณธารแสงกาลเวลาอยู่นาน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็ดูดซับพลังกาลเวลามากขึ้นในทุกวันเช่นกัน
ขณะเดียวกันอัตราการสิ้นเปลืองเหล็กเทพพลังแม่เหล็กก็น่าตกใจมาก
เดิมทีหลินสวินสะสมเหล็กเทพพลังแม่เหล็กมาได้หนึ่งแสนชั่ง แต่หมดไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนเท่านั้น โชคดีที่การหลอมภูเขาเทพสนามแม่เหล็กทำให้หลินสวินได้รับเหล็กเทพพลังแม่เหล็กสามล้านกว่าชั่ง จึงทำให้เขาสามารถหลอมเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งมาถึงระดับอย่างทุกวันนี้ได้
เหล็กเทพพลังแม่เหล็กมี ‘พลังสนามแม่เหล็ก’ สามารถรองรับพลังกาลเวลาได้ และการหลอมพลังสนามแม่เหล็กมากขนาดนี้ ทำให้ทั้งในและนอกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งล้วนแผ่กลิ่นอายของกาลเวลา
ยังไม่ต้องพูดถึงอานุภาพของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งในตอนนี้ แค่วางเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งไว้ตรงนั้น ผู้ฝึกปราณทั่วไปก็ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อยแล้ว
เพราะมันหนักเกินไป บรรจุเหล็กเทพพลังแม่เหล็กหลายล้านชั่ง อีกทั้งพลังกาลเวลาอบอวล ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณในระดับเดียวกันก็ยากจะมากที่จะดูดซับได้
‘เมื่อก่อนข้าทำได้เพียงสำแดงอภินิหารหยุดเวลาและใช้วิชาอื่นสังหารศัตรูไปด้วย แต่ตอนนี้สามารถใช้เตากระบี่ปลดปล่อยอภินิหารหยุดเวลาโดยตรง ทั้งสามารถคุมขังศัตรูได้ชั่วขณะ และสามารถสังหารอีกฝ่ายไปได้พร้อมกัน’
หลินสวินตาเป็นประกาย
ไม่เพียงแค่อภินิหารหยุดเวลา แม้แต่อภินิหารต้องห้ามอีกสองอย่างอย่างดาบกาลเวลาและประตูเนรเทศ ก็สามารถปลดปล่อยออกจากเตากระบี่นี้ได้เช่นกัน
นี่หากใช้ในการต่อสู้ ย่อมทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เหนือจินตนาการอย่างแน่นอน
หลินสวินสัมผัสเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ก่อนอ้าปากออก เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งพลันกลายเป็นแสงมรรคสายหนึ่งพุ่งเข้ามาในร่างของหลินสวิน
“เก้าปีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าในเก้าปีมานี้ในสำนักเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
หลินสวินลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย
สำหรับเขา เก้าปีนี้เป็นเก้าปีที่สงบสุข
นอกจากฝึกปราณ ขอเพียงมีเวลาว่างเขาก็จะไปคุยเล่นกับซย่าจื้อในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
เขารับปากซย่าจื้อว่ารอครบกำหนดกักบริเวณจะยื่นขอสำนัก ให้ซย่าจื้ออยู่ข้างกายในฐานะศิษย์ของเขา ให้นางไม่ต้องซ่อนตัวในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งอีกต่อไป
อีกทั้งขอเพียงซย่าจื้อได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิด ต่อให้ออกไปข้างนอกเพียงลำพัง ซย่าจื้อก็จะไม่เกิดอันตรายอย่างแน่นอน
หลังพักผ่อนครู่หนึ่งหลินสวินนั่งขัดสมาธิอีกครั้ง เริ่มทำสมาธิ
เก้าปีแล้ว ตอนนี้พลังปราณของเขายังเป็นขั้นดับเทพขั้นต้น การทะลวงขั้นช้ามาก
เหตุผลก็คือ ขาดพลังระเบียบ!
ว่ากันถึงที่สุด ในขั้นดับเทพหากคิดจะพัฒนาพลังปราณอย่างรวดเร็ว วิธีที่ได้ผลที่สุดคือการหลอมพลังระเบียบ พลังระเบียบที่หลอมยิ่งมาก มรรควิถีก็ยิ่งพัฒนาเร็ว
แต่หลินสวินไม่ได้รีบร้อน
ด้วยมรรควิถีของเขาในตอนนี้ ขอเพียงไม่ถูกขังในถ้ำสถิต ย่อมมีเวลาไปแสวงหาและกำราบพลังระเบียบ
……
สามเดือนหลังจากนั้น
เถาเหลิ่งมาบอกหลินสวินว่าครบกำหนดกักบริเวณแล้ว!
“รู้สึกอย่างไรบ้าง”
เถาเหลิ่งถามพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่เลวเลย”
หลินสวินเองก็ยิ้ม เขาเชิญเถาเหลิ่งเข้ามาในถ้ำสถิต หยิบเหล้าออกมาดื่มกับอีกฝ่าย
และค่อยๆ รู้เรื่องราวหลายอย่างในเก้าปีมานี้
ช่วงนี้คนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือบุตรเทพหยวนฉางเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย ในเวลาสั้นๆ เก้าปี มรรควิถีของเขาก็ทะลวงสู่ขั้นดับเทพสัมบูรณ์แล้ว ความเร็วของการทะลวงขั้นเรียกได้ว่าน่าทึ่ง
นอกจากนี้ผู้ดูแลเจิ้งเฉียนของยอดเขาที่เก้าก็ถูกถอดถอนตำแหน่งผู้ดูแลแล้ว ถูกขังในคุกสำนึกผิดพันปี
ได้รู้เรื่องพวกนี้หลินสวินเองก็อดอึ้งไม่ได้ เถาเหลิ่งอธิบายพร้อมรอยยิ้มว่าเป็นฝีมือของผู้นำยอดเขาฉินอู๋อวี้ เขาเพียงแค่พายเรือตามน้ำก็เท่านั้น
สรุปแล้วหลินสวินไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง เจิ้งเฉียนก็ถูกลากลงมาแล้ว
ว่ากันถึงที่สุด ด้วยฐานะของหลินสวินในตอนนี้ พวกคนที่มีอำนาจในสำนักอย่างแท้จริงอย่างฉินอู๋อวี้ เถาเหลิ่งล้วนยินดีช่วยเขาแก้ไขปัญหาบางส่วน
แต่ตอนที่เถาเหลิ่งพูดถึงเสวียนเฟยหลิง สีหน้ากลับแฝงความกังวล
“ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้มีข่าวจากน่านฟ้าที่เก้า ว่ามีผู้ยิ่งใหญ่แสดงท่าที หวังให้รองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงไปฝึกปราณในน่านฟ้าที่เก้า”
เถาเหลิ่งพูดด้วยเสียงต่ำลึก “แม้รองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงปฏิเสธแล้ว แต่ตอนนี้ทั้งสำนักล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ เกรงว่าอีกไม่นานรองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงก็จำต้องจากไปตามคำสั่ง”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด “ผู้ยิ่งใหญ่น่านฟ้าที่เก้านั่นเป็นใคร มีคุณสมบัติอะไรมาแทรกแซงเรื่องของลัทธิแรกกำเนิด”
“น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเทพตระกูลหยวน ว่ากันว่าผู้อาวุโสชั้นสูงคนหนึ่งของตระกูลหยวนเป็นญาติสนิทของบรรพจารย์สำนักเรา ส่วนจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จนั้นข้าก็ไม่รู้ชัด”
เถาเหลิ่งเอ่ยเสียงเบา “แต่สิ่งที่สามารถแน่ใจได้คือ ที่ตระกูลหยวนทำเช่นนี้เพราะวางแผนจะปูทางให้หยวนฉางเทียน”
“ตอนนี้เจ้าหมอนี่ครอบครองมรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ ห่างจากการก้าวสู่ขั้นหลุดพ้นเพียงก้าวเดียว หากเขาทะลวงขั้นสำเร็จต้องวางแผนชิงตำแหน่งรองหัวหน้าหอแน่!”
“ตอนนี้หากสามารถทำให้ตำแหน่งรองหัวหน้าหอว่างลงหนึ่งตำแหน่งได้ ย่อมเป็นผลดีต่อเขาที่สุด”
ฟังจบหลินสวินขมวดคิ้วกล่าว “ในสามหอมีผู้ดูแลเก้าคน ในนั้นส่วนใหญ่ล้วนมีมรรควิถีขั้นหลุดพ้น ยิ่งไม่ขาดขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ ต่อให้รองหัวหน้าหอเสวียนจากไป ก็ดูเหมือนไม่น่าจะถึงตา ‘คนใหม่’ อย่างเขา”
“สำหรับหยวนฉางเทียน ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงด้วยซ้ำ”
สีหน้าของเถาเหลิ่งเผยความเย็นเยียบ “อย่างหอแรกนภาของพวกเรา หากรองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงจากไป รองหัวหน้าหอสองคนที่เหลือล้วนเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหยวนฉางเทียน มีพวกเขาคอยช่วยเหลือ ขอเพียงหยวนฉางเทียนแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้น ก็สามารถแทนที่ตำแหน่งของรองหัวหน้าหอเสวียนได้อย่างแน่นอน”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนี้ก็รับมือลำบากอยู่บ้างจริงๆ”
เถาเหลิ่งใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “น้องชาย ข้ามีข้อเสนอหนึ่ง หากเจ้ามีโอกาสไปชิงตำแหน่งผู้อาวุโส ก็สามารถไปท้าสู้หยวนฉางเทียนได้ หากสามารถแทนที่ตำแหน่งของเขา เขาย่อมไม่มีโอกาสไปชิงตำแหน่งรองหัวหน้าหออีก”
หลินสวินเอ่ย“ ข้าสามารถทำเช่นนี้ได้ไม่มีปัญหา แต่หากเจ้าหมอนั่นปฏิเสธคำท้าขึ้นมา… เช่นนั้นก็จัดการยากแล้ว”
เถาเหลิ่งอดถอนหายใจยาวไม่ได้ “ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด”
หลินสวินกลับนิ่งสงบมาก “เรื่องนี้ข้าจะไปถามรองหัวหน้าหอเสวียนด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้หยวนฉางเทียนสมปรารถนาไม่ได้”
ทั้งสองคุยกันอีกไม่นาน เถาเหลิ่งก็จากไปอย่างเร่งรีบแล้ว
ส่วนหลินสวินตรงออกจากถ้ำสถิต มุ่งหน้าไปเยี่ยมเสวียนเฟยหลิง
เรือนเมฆาคลั่ง
ราวกับเดาไว้นานแล้วว่าหลินสวินจะมา เสวียนเฟยหลิงรออยู่ที่นั่นแล้ว
เขาเอ่ยว่า “เรื่องของน่านฟ้าที่เก้าเจ้ายังสอดมือไม่ได้ ดังนั้นต่อให้เจ้าถามมาข้าก็ไม่บอก”
หลินสวินอึ้งไป เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสจำต้องไปจริงๆ หรือ”
เสวียนเฟยหลิงยิ้มกล่าว “ไม่ใช่จำต้อง แต่เป็นข้าตัดสินใจจะไปน่านฟ้าที่เก้าไว้นานแล้ว หากสามารถทะลวงระดับไปด้วยได้เช่นนั้นยิ่งดี”
เขามีมรรควิถีขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ ห่างจากระดับนิรันดร์เพียงก้าวเดียว หากทะลวงระดับย่อมเป็นการก้าวสู่มรรคานิรันดร์
คำตอบนี้ทำให้หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้ “ผู้อาวุโสไม่กังวลว่าจะโดนรังแกหรือ”
“ฮ่าๆๆ แม้น่านฟ้าที่เก้าจะเป็นสถานที่ที่เผ่าเทพนิรันดร์ยึดครอง แต่อย่างไรก็เป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่สุดแห่งหนึ่ง ด้วยมรรควิถีของข้า บนโลกนี้คนที่สามารถรังแกข้าได้ก็มีเพียงแค่พวกเฒ่าชราระดับนิรันดร์เท่านั้น”
เสวียนเฟยหลิงหัวเราะลั่น “ยิ่งกว่านั้นในเมื่อข้ากล้าไป ก็ไม่มีทางไม่มั่นใจ จะไปรนหาที่ตายโง่ๆ ได้อย่างไร เจ้าไม่ต้องกังวลแทนข้าหรอก”
เขาดูไม่ใส่ใจยิ่ง
หลินสวินไม่รู้จักน่านฟ้าที่เก้า จึงไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ
“เช่นนั้น… ผู้อาวุโสคิดจะจากไปเมื่อไร” หลินสวินาถาม
เสวียนเฟยหลิงเหมือนตระหนักได้ว่าหลินสวินจะทำอะไร ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะขัดขวางการชิงตำแหน่งรองหัวหน้าหอของหยวนฉางเทียนก่อนข้าจะจากไปหรือ”
หลินสวินพยักหน้า “แน่นอน”
เสวียนเฟยหลิงกล่าว “นี่ยากมาก อีกอย่างต่อให้เจ้าเป็นรองหัวหน้าหอ แต่คู่ต่อสู้คือพวกเฒ่าชราอย่างพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น ยังมีเจ้าเฒ่าหยวนซีหลิว ชือเวิน ทังชิวอีก นี่กลับจะทำให้เจ้าเจอปัญหาที่ไม่คาดคิดมากมาย”
“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าข้าจะสนใจปัญหาพวกนี้หรือ”
หลินสวินย้อนถาม
เสวียนเฟยหลิงอึ้งำแ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “แต่ตอนนี้เจ้ามีมรรควิถีเพียงขั้นดับเทพขั้นต้น ห่างจากขั้นหลุดพ้นอีกไกล ส่วนข้า… อย่างมากก็อยู่ลัทธิแรกกำเนิดอีกสามสิบปี”
สามสิบปี!
ในใจหลินสวินหนักอึ้ง
นี่ยุ่งยากอยู่บ้าง ต่อให้เขารวบรวมพลังระเบียบมาได้มากกว่านี้ ก็คงยากจะทะลวงขั้นไปถึงขั้นหลุดพ้นในสามสิบปี
หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ก่อนท่านจะจากไปข้าอยากลองดูสักครั้ง”
เสวียนเฟยหลิงมองหลินสวินอย่างจริงจังแล้วกล่าวว่า “ยิ่งเร่งยิ่งช้า ทำเลยเถิดไปก็ไม่มีประโยชน์ จะเกิดความอคติเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อมรรคคาของเจ้า”
“ยิ่งไปกว่านั้นก็แค่ตำแหน่งรองหัวหน้าหอเท่านั้น เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ข้ากลับอยากแนะนำให้เจ้าไม่ต้องรีบเร่งไปประชันกับหยวนฉางเทียน แต่ควรมองที่การแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ในอนาคต”
ฟังจบหลินสวินยิ้มกล่าว “แค่ลองดูเท่านั้น หากแพ้จริงๆ เช่นนั้นก็รอต่อไปค่อยประชันอีกครั้ง”
เห็นได้ชัดว่าเขาเยือกเย็นมาก
ภายใต้ท่าทีที่เยือกเย็นกลับแฝงความแน่วแน่และไม่ยอมให้สงสัย
เสวียนเฟยหลิงจ้องมองหลินสวินครู่หนึ่งแล้วพลันถอนหายใจยาว “หากลื่อไม่รักดีของข้าคนนั้นมีปณิธานและความกล้าหาญอย่างเจ้า ให้ข้าอายุสั้นลงหนึ่งหมื่นปีก็ยอม”
เขาหมายถึงเสวียนจิ่วอิ้น เห็นได้ชัดว่าเอาเสวียนจิ่วอิ้นมาเทียบกับหลินสวิน
หลินสวินกล่าว “เส้นทางมหามรรคใช่ว่าจะต้องเลือกวิธีเช่นเดียวกับข้า ขอแค่ตัวเขาสบายใจก็พอแล้ว”
เสวียนเฟยหลิงโบกมือพูด “นี่เรียกว่าไม่รักดี รอเจ้ามีลูกหลานก็จะเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าก็จะไม่เกลี้ยกล่อมไปมากกว่านี้ หลังจากนี้จะสนับสนุนเจ้าอสุดความสามารถ”
พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงอีกเรื่อง ยิ้มพูดว่า “ไม่นานมานี้คนใหญ่คนโตในสำนักได้หารือและตัดสินใจเป็นเอกฉันท์แล้ว ว่าจะส่งเจ้าและระดับอมตะอีกสี่คนไปร่วมศึกมรรคอมตะที่หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดจัดขึ้น”
——