ตอนที่ 2842 ท้าทายอย่างไม่ปิดบัง
ราชครูดินทั้งหมดของลัทธิพ่อมดในที่นี้ มีจู่เหวินเหิงเป็นผู้นำ
เขาเป็นราชครูดินฝ่ายศึกในลัทธิพ่อมด มรรควิถีขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ เจ้าตัวยิ่งเป็นคนในตระกูลจู่ หนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปด
เมื่อเห็นว่าทุกคนในที่นี้เผยไอสังหารต่อหลินสวินออกมา จู่เหวินเหิงกระแอมแห้งๆ คราหนึ่ง กล่าวเสียงเข้มว่า “ทุกคนอย่ารีบร้อน รอศึกมรรคอมตะเริ่มขึ้น เจ้าหลินสวินนี่ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
“หากเขารอดชีวิตออกจากแดนมารสิบทิศจะทำอย่างไร”
มีคนถาม
“ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ หากเจ้าหมอนี่ยังสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ เช่นนั้นก็มีแต่ยืนยันว่าสำนักของพวกเราไร้สามารถเกินไปแล้ว!”
จู่เหวินเหิงกล่าวเย็นชา
ประโยคเดียวทำเอาทุกคนในที่นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปน้อยๆ
“นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว สถานการณ์ในวันนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพสัมบูรณ์คนใดก็ตามในโลกก็ต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาเช่นกัน นับประสาอะไรกับเจ้าตัวจ้อยขั้นดับเทพขั้นต้นคนหนึ่ง”
มีคนยิ้มเย็น
“ไม่ผิด ยิ่งกว่านั้นผู้ที่อยากกำจัดเขาหลินสวิน ไม่ได้มีเพียงลัทธิพ่อมดของพวกเราเท่านั้น”
มีคนสีหน้าเฉยชา
“รายงาน…! ผู้แข็งแกร่งลัทธิแรกกำเนิดทั้งหมดมาถึงแล้ว!”
เสียงประดุจอสนีบาตสายหนึ่งดังลอยมาจากไกลๆ
ทันใดนั้นทุกคนหยุดการสนทนา ทอดสายตามองไปโดยพร้อมเพรียง
ก็เห็นฟางเต้าผิงและหยวนซีหลิวสองคนอยู่ข้างหน้า ผู้เข้าร่วมอย่างพวกหลินสวินห้าคนอยู่ข้างหลัง พุ่งปราดเข้ามาทางนี้ด้วยกัน
“ข้าจู่เหวินเหิง คารวะเหล่าสหายจากลัทธิแรกกำเนิด!”
หน้าตำหนักภารเทพ จู่เหวินเหิงก้าวเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากทักทายปราศรัยเสร็จ พวกหลินสวินทั้งขบวนถูกจัดให้นั่งที่นั่งข้างตำหนัก
หลังจากพวกหลินสวินและหยวนฉางเทียนห้าคนนั่งลงก็กลายเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ในที่นั้น
ยามสายตาของผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดเหล่านี้มองทางหยวนฉางเทียน ล้วนเก็บงำไว้ไม่น้อย ไม่กล้าโอหังปานนั้น เห็นชัดว่ารู้เช่นกันว่าเขามาจากน่านฟ้าที่เก้า มีฐานะพิเศษ
แต่ยามสายตาพวกเขามองหลินสวิน หลีเจิน เฉาเป่ยโต้ว และอวิ๋นเทียนหมิง ก็ไม่ได้เก็บงำขนาดนั้นแล้ว เปลี่ยนเป็นจองหองไร้เกรงกลัว เจือกลิ่นอายตรวจสอบอยู่รำไร
โดยเฉพาะสายตาที่มองหลินสวิน หลายคู่ล้วนแฝงไอสังหารเย็นเยียบ ไม่ได้ปิดบังใดๆ สักนิด
นี่ก็คือพฤติกรรมการวางตัวของผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมด ไม่เคารพฟ้าดิน ไม่เกรงกลัวเทพผี ไม่ยึดถือมารยาท ฉะนั้นจึงไม่ปิดบังความคิดใดๆ ต่อคู่ต่อสู้สักนิด
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินคร้านจะใส่ใจ
แม้ว่าที่นี่จะเป็นถิ่นของหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด แต่พวกเขามาครั้งนี้ในฐานะตัวแทนของลัทธิแรกกำเนิด ต่อให้ผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดเหล่านี้จะโอหังแค่ไหนก็ไม่กล้าทำเรื่องเกินไปบางอย่าง
‘พี่หลินเจ้าดู นั่นก็คือชางฝูเฟิง’
ทันใดนั้นเสียงสื่อจิตของหยวนฉางเทียนก็ดังขึ้นข้างหูหลินสวิน เมื่อหันมองตามสายตาเขา ก็เห็นผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดห้าคนนั่งอยู่บนที่นั่งด้านข้างตำหนักภารเทพ
ห้าคนนี้คือผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดที่จะเข้าร่วมศึกมรรคอมตะ ชายสี่หญิงหนึ่ง กลิ่นอายแต่ละคนแข็งแกร่งน่าสะพรึง
ชางฝูเฟิงที่หยวนฉางเทียนพูดถึงนั่งอยู่ในตำแหน่งแรกทางซ้ายมือ สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว ผิวขาวกระจ่าง ผมยาวสีดำทั่วศีรษะทิ้งตัวระช่วงเอว บนเครื่องหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยแววเย็นชาดุกร้าว
เมื่อรับรู้ถึงสายตาของหลินสวิน ชางฝูเฟิงค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น ก็เห็นดวงตาที่ประดุจหินสมบัติเปลวเพลิงวาวโรจน์คู่นั้นของเขามีเปลวเพลิงน่าสะพรึงไหลเวียน คล้ายสามารถแผดเผาเวิ้งฟ้า!
หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป ถูกเขาจ้องเช่นนี้เกรงว่าสภาวะจิตคงสะเทือนไหว ขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว
แต่หลินสวินสงบนิ่งดังเดิม
มุมปากชางฝูเฟิงผุดเส้นโค้งแปลกประหลาดขึ้นเสี้ยวหนึ่ง ก่อนเก็บสายตากลับมา
หยวนฉางเทียนที่มองเห็นทุกอย่างนี้ในสายตาสื่อจิตเอ่ยถาม ‘เป็นอย่างไร พี่หลินเชื่อมั่นว่าจะจัดการกับบุตรเทพเผ่าเทพตระกูลชางผู้นี้ได้หรือไม่’
หลินสวินสื่อจิตตอบ ‘คนร้ายกาจเช่นนี้ก็มีเพียงคนอย่างพี่หยวนเท่านั้นจึงจะกำราบได้’
หยวนฉางเทียนอึ้งไป ก่อนยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดมากความอีก
ทันใดนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งติดกับชางฝูเฟิงก็หยัดตัวลุกขึ้น เดินตรงดิ่งเข้ามาทางหลินสวิน
เขาผิวดำแดด โครงร่างใหญ่กำยำ ยามเดินดุจภูเขาลูกหนึ่งเคลื่อนขวาง เจือกลิ่นอายแข็งกร้าวกดข่มผู้คนอย่างที่สุด
หั่วเซียว!
หนึ่งในห้าผู้แข็งแกร่งตัวแทนลัทธิพ่อมดที่เข้าร่วมศึกมรรคอมตะในครั้งนี้ มรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ เป็นผู้อาวุโสฝ่ายศึกคนหนึ่ง
ยามเห็นเขาเดินไปหาหลินสวิน สายตามากมายล้วนถูกดึงดูดให้มองมาอย่างอดไม่ได้
“เป็นเจ้าเองหรือที่เอาชนะสิงจวิ้น”
หั่วเซียวยืนตรงหน้าหลินสวิน ปรายตามองจากมุมสูง เอ่ยปากเหยียดหยัน
“ไม่ผิด”
หลินสวินหยิบน้ำเต้าสุราขึ้นดื่ม
หั่วเซียวยกปากยิ้ม เผยเรียวฟันขาวกล่าวว่า “ตอนนี้ศึกมรรคอมตะยังไม่เริ่ม ไม่สู้เจ้ากับข้าสู้กันสักตาเป็นอย่างไร ข้ารับรองว่าจะไม่ทุบตีเจ้าจนตาย”
ในที่นั้นฮือฮา
เฉาเป่ยโต้วและอวิ๋นเทียนหมิงสบตากันปราดหนึ่ง ในใจอดมีความสุขบนคราวเคราะห์ของผู้อื่นไม่ได้
ศึกมรรคอมตะยังไม่ทันเริ่มก็มีคนเดินอาดๆ เข้ามาหาเรื่องถึงที่ จากจุดนี้เห็นได้ว่าหลินสวินทำให้ผู้อื่นชิงชังมากแค่ไหน
ไกลออกไปคนใหญ่คนโตลัทธิพ่อมดทั้งกลุ่มล้วนยิ้มมองภาพเหตุการณ์นี้ สีหน้านึกสนุก ไม่ได้ไปขัดขวางแต่อย่างใด
หยวนฉางเทียนแววตาวาบประกาย นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ
หยวนซีหลิวก้มหน้า ไม่มีท่าทีจะสนใจ
ส่วนฟางเต้าผิงขมวดคิ้วน้อยๆ
ก็เห็นหลินสวินเก็บน้ำเต้าสุรา หยัดตัวลุกขึ้นกวาดสายตามองรอบบริเวณ สุดท้ายก็มองหั่วเซียวที่อยู่ตรงหน้าแล้วยิ้มกล่าวว่า “เอาสิ เจ้าเลือกสถานที่ ข้ารับรองว่าจะไม่ให้เจ้าแพ้อย่างน่าเกลียดเกินไป ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของลัทธิพ่อมดของพวกเจ้า” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ทั่วตำหนักฮือฮา
ใครต่างก็ไม่คาดคิดว่าหลินสวินจะตอบตกลงตรงๆ!
แม้แต่หยวนฉางเทียน เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงยังอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าหลินสวินทนคำยั่วยุไม่ได้ และตอบรับตรงๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
เดิมฟางเต้าผิงยังอยากพูดอะไร แต่เห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มขื่น
ตอบตกลงไปแล้ว หากไปห้ามปรามอีก ก็ออกจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าลัทธิแรกกำเนิดของพวกเขาหวาดกลัว
แม้แต่ตัวหั่วเซียวยังอึ้งไปเช่นกัน ยิ้มแสยะกล่าว “ในเมื่อเป็นการต่อสู้ เอาแถวตำหนักภารเทพแห่งนี้ก็ได้”
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นจู่เหวินเหิงที่อยู่ไกลออกไปเอ่ยปากเสียงเย็น “หั่วเซียว ต่อให้เจ้ารีบร้อนต่อสู้แค่ไหนก็ต้องไว้หน้าสหายจากลัทธิแรกกำเนิดสักหน่อย ศึกมรรคอมตะใกล้จะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้แล้ว หากเจ้ามีความสามารถจริงก็ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในแดนมารสิบทิศ”
หั่วเซียวไม่ยินยอมอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด “ใต้เท้า จัดการคนผู้นี้ไม่ต้องใช้เวลามากมายสักนิด…”
จู่เหวินเหิงกล่าวตัดบท “ข้าบอกให้เจ้าถอยไป!”
หั่วเซียวจนปัญหา เม้มปากน้อยๆ จากนั้นยื่นมือชี้หน้าหลินสวินพลางกล่าว “เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”
ว่าจบก็หมุนตัวออกไป
“ข้าตอบรับคำท้าสู้แล้ว แต่เจ้ากลับขี้ขลาด ยังจะให้ข้ารออีก…”
หลินสวินยิ้มชอบใจ ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วนั่งประจำที่อีกครั้ง
แต่กลิ่นอายถากถางในสีหน้าและคำพูดของเขายั่วโทสะจนสีหน้าหั่วเซียวล้วนอึมครึมลงมา ไอสังหารเดือดพล่านกลางนัยน์ตา
ผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดคนอื่นๆ ต่างก็ขมวดคิ้วไม่หยุด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่เหวินเหิงไม่ยอมให้หั่วเซียวสั่งสอนหลินสวินงามๆ สักตั้งในเวลานี้
เมื่อเห็นภาพนี้ เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงล้วนอดผิดหวังไม่ได้ ลัทธิพ่อมดแข็งกร้าวเสมอมา โอหังไร้เกรงกลัว มายอมถอยได้อย่างไร
“รายงาน…! ผู้แข็งแกร่งลัทธิฌานมาแล้ว!”
เสียงดุจอสนีบาตสายหนึ่งดังก้องฟ้าดินแถบนี้
“รีบเชิญ”
จู่เหวินเหิงกล่าว
ไม่นานใต้เวิ้งฟ้าไกลโพ้น เมฆมงคลแถบหนึ่งปรากฏขึ้น แสงธรรมคละคลุ้ง เสียงสวดท่องธรรมดังระงม เงาร่างเป็นสายๆ ยืนมั่นอยู่ในนั้น ศักดิ์สิทธิ์เคร่งขรึม
ผู้แข็งแกร่งหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน!
ผู้นำคือจอมมุนีชื่อเย่
ในงานถกมรรคเก้ายอดเขาลัทธิแรกกำเนิดก่อนหน้านี้ชื่อเย่ก็เคยปรากฏตัว หลินสวินย่อมคุ้นหน้ายิ่ง
ข้างหลังชื่อเย่มีเงาร่างห้าสายยืนอยู่
ภิกษุสี่รูปและชายหนุ่มชุดฟ้าคนหนึ่ง
ภิกษุสี่รูปได้แก่ พุทธองค์ขู่เสวียน พุทธองค์ขู่จี้ พุทธองค์เจวี๋ยเวิน และพุทธองค์เจวี๋ยเจิน
ตำแหน่ง ‘พุทธองค์’ ของหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน เทียบเท่ากับผู้อาวุโสสามหอลัทธิแรกกำเนิด และผู้อาวุโสสามฝ่ายในลัทธิพ่อมด
ส่วนชายหนุ่มชุดฟ้าอีกคน เงาร่างผอมบางดุจต้นสน ผมยาวสีดำม้วนเป็นมวย ทั่วร่างสะอาดผุดผ่อง หน้าตาหล่อเหลาราวกับหยก
ยามมองเห็นเงาร่างของเขา ในที่นี้เกิดความปั่นป่วนระลอกหนึ่งทันที
เหวินเฉียวสุ่ย!
บุตรเทพจากเผ่าเทพตระกูลเหวิน นิสัยนิ่งสุขุมดุจขุนเขา สภาวะจิตแน่วแน่ดั่งศิลา
หยวนฉางเทียนและชางฝูเฟิงล้วนสังเกตเห็นเหวินเฉียวสุ่ยแล้วเช่นกัน สีหน้าราบเรียบ ไม่มีระลอกคลื่นใดๆ มากนัก แค่ไม่รู้ว่าในใจคิดอย่างไรอยู่
หลังจากขบวนของหอบรรพจารย์ลัทธิฌานมาถึงก็ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ถูกจัดให้นั่งอยู่ข้างขบวนคนจากหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด
“สหายยุทธ์ฟาง พบกันอีกแล้ว”
จอมมุนีชื่อเย่เอ่ยปากยิ้มๆ
ฟางเต้าผิงพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดมากความอะไร
“สหายน้อยหลินสวิน วันนี้ได้พบกันอีกครั้ง มาดของเจ้าเหนือกว่าในอดีตนัก”
ชื่อเย่ทอดสายตามองหลินสวิน
“ผู้อาวุโสชมเกินจริงแล้ว”
หลินสวินประสานหมัดคารวะ
ชื่อเย่ยิ้มน้อยๆ มองทุกคนข้างตัวพวกเขาแล้วกล่าวว่า “ทุกคน นี่ก็คือผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดหลินสวิน ศิษย์พุทธอวี่เฟิงจื่อก็พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของสหายน้อยหลินสวินในงานถกมรรคเก้ายอดเขาในปีนั้น”
เขาเอ่ยพูดเรียบเรื่อย ฟังอารมณ์ใดๆ ไม่ออก
“คารวะสหายยุทธ์”
พวกขู่เสวียนโค้งคารวะทั้งหมด
ไม่ตีคนหน้ายิ้ม หลินสวินย่อมต้องคารวะตอบทุกคนเช่นกัน
มีเพียงเหวินเฉียวสุ่ยที่แค่พยักหน้าน้อยๆ
บรรยากาศนี้แปลกพิกลยิ่ง
ไม่ว่าใครล้วนมองออก ผู้แข็งแกร่งลัทธิฌานเหล่านั้นจ้องเล่นงานหลินสวินอย่างเห็นได้ชัด แต่ยามที่พวกเขาต่างฝ่ายต่างแสดงความเคารพกันกลับเรียบเรื่อยสบายๆ ไม่โจ่งแจ้ง
แน่นอนว่าไม่มีใครเปิดโปงเรื่องพวกนี้
เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงที่มองดูอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดถึงขั้นกล้ายืนยันว่าหลังจากเข้าแดนมารสิบทิศ หากภิกษุลัทธิฌานเหล่านี้เจอหลินสวิน เกรงว่าจะกลายร่างเป็นโพธิสัตว์ปราบมาร สำแดงวิชาเกรี้ยวกราดรุนแรงในทันที
สาเหตุง่ายดายยิ่ง เพราะศิษย์พุทธอวี่เฟิงจื่อเคยถูกหลินสวินตัดมรรควิถีในคราวเดียว!
นี่เป็นแค้นฝังลึกที่ไม่อาจคลี่คลาย!
ไม่นานนักกลางฟ้าดินก็มีเสียงรายงานสายหนึ่งดังขึ้นมาอีก
“รายงาน…! ผู้แข็งแกร่งลัทธิวิญญาณมาถึงแล้ว!”
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งสามหอบรรพจารย์อย่างลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน และลัทธิแรกกำเนิดในที่นี้ล้วนหยุดการสนทนา ทอดสายตามองไปไกลๆ โดยพร้อมเพรียง
หาใช่เพราะหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณมีอะไรพิเศษ
หากแต่เป็นเพราะในผู้เข้าร่วมศึกห้าคนที่หอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณส่งมาในครั้งนี้ มีธิดาเทพจากน่านฟ้าที่เก้าคนหนึ่ง!
หลินสวินรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าหยวนฉางเทียนที่ลุ่มลึกเก็บงำเสมอมา เวลานี้ถึงกับมีอาการตื่นเต้นหน่อยๆ อยู่บ้าง แววตาเจือความตั้งตาคอย และมีความเกรงกลัวอย่างผิดประหลาด
ไม่นานรุ้งเทพสว่างไสวแถบหนึ่งก็ปรากฏบนเวิ้งฟ้าไกลโพ้น
ผู้นำคือใบหน้าที่ทำให้หลินสวินคุ้นตาคนหนึ่ง
จอมวิญญาณชิงอวิ๋น!
ตำแหน่ง ‘จอมวิญญาณ’ ของลัทธิวิญญาณ เทียบเท่ารองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด จอมมุนีลัทธิฌาน และราชครูดินลัทธิพ่อมด
ข้างหลังจอมวิญญาณชิงอวิ๋นคือผู้เข้าร่วมศึกห้าคน
ชายสี่หญิงหนึ่ง
ทว่าเมื่อพวกเขาทั้งขบวนมาถึง กลับมีเพียงสตรีคนนั้นที่กลายเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ในที่นี้
นางรูปร่างสูงระหงยิ่งยวด เพรียวบางงดงาม สวมชุดสีเข้มตัวหลวมเรียบง่าย ผมยาวดำสนิทดุจสีหมึกถูกมวยขึ้นด้วยปิ่นปักผมสีเขียวมรกต เผยให้เห็นดวงหน้าพิสุทธิ์งดงามขาวเนียน
ความงามของนางดุจดั่งกล้วยไม้ป่ากลางหุบเขาลึก นิ่งสงบเหนือโลกีย์ โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียว
จี้ซานไห่!
นางถูกยกย่องว่า ‘เป็นเลิศในหมู่โฉมสะคราญ พิสุทธิ์หนึ่งเดียวในโลกีย์’ ถูกมองเป็นไข่มุกกลางฝ่ามือของเผ่าเทพตระกูลจี้
ในน่านฟ้าที่เก้า พวกผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์มากมายล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงของนาง!
——