Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2842 ท้าทายอย่างไม่ปิดบัง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2842 ท้าทายอย่างไม่ปิดบัง

ตอนที่ 2842 ท้าทายอย่างไม่ปิดบัง

ราชครูดินทั้งหมดของลัทธิพ่อมดในที่นี้ มีจู่เหวินเหิงเป็นผู้นำ

เขาเป็นราชครูดินฝ่ายศึกในลัทธิพ่อมด มรรควิถีขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ เจ้าตัวยิ่งเป็นคนในตระกูลจู่ หนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปด

เมื่อเห็นว่าทุกคนในที่นี้เผยไอสังหารต่อหลินสวินออกมา จู่เหวินเหิงกระแอมแห้งๆ คราหนึ่ง กล่าวเสียงเข้มว่า “ทุกคนอย่ารีบร้อน รอศึกมรรคอมตะเริ่มขึ้น เจ้าหลินสวินนี่ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

“หากเขารอดชีวิตออกจากแดนมารสิบทิศจะทำอย่างไร”

มีคนถาม

“ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ หากเจ้าหมอนี่ยังสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ เช่นนั้นก็มีแต่ยืนยันว่าสำนักของพวกเราไร้สามารถเกินไปแล้ว!”

จู่เหวินเหิงกล่าวเย็นชา

ประโยคเดียวทำเอาทุกคนในที่นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปน้อยๆ

“นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว สถานการณ์ในวันนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพสัมบูรณ์คนใดก็ตามในโลกก็ต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาเช่นกัน นับประสาอะไรกับเจ้าตัวจ้อยขั้นดับเทพขั้นต้นคนหนึ่ง”

มีคนยิ้มเย็น

“ไม่ผิด ยิ่งกว่านั้นผู้ที่อยากกำจัดเขาหลินสวิน ไม่ได้มีเพียงลัทธิพ่อมดของพวกเราเท่านั้น”

มีคนสีหน้าเฉยชา

“รายงาน…! ผู้แข็งแกร่งลัทธิแรกกำเนิดทั้งหมดมาถึงแล้ว!”

เสียงประดุจอสนีบาตสายหนึ่งดังลอยมาจากไกลๆ

ทันใดนั้นทุกคนหยุดการสนทนา ทอดสายตามองไปโดยพร้อมเพรียง

ก็เห็นฟางเต้าผิงและหยวนซีหลิวสองคนอยู่ข้างหน้า ผู้เข้าร่วมอย่างพวกหลินสวินห้าคนอยู่ข้างหลัง พุ่งปราดเข้ามาทางนี้ด้วยกัน

“ข้าจู่เหวินเหิง คารวะเหล่าสหายจากลัทธิแรกกำเนิด!”

หน้าตำหนักภารเทพ จู่เหวินเหิงก้าวเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

หลังจากทักทายปราศรัยเสร็จ พวกหลินสวินทั้งขบวนถูกจัดให้นั่งที่นั่งข้างตำหนัก

หลังจากพวกหลินสวินและหยวนฉางเทียนห้าคนนั่งลงก็กลายเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ในที่นั้น

ยามสายตาของผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดเหล่านี้มองทางหยวนฉางเทียน ล้วนเก็บงำไว้ไม่น้อย ไม่กล้าโอหังปานนั้น เห็นชัดว่ารู้เช่นกันว่าเขามาจากน่านฟ้าที่เก้า มีฐานะพิเศษ

แต่ยามสายตาพวกเขามองหลินสวิน หลีเจิน เฉาเป่ยโต้ว และอวิ๋นเทียนหมิง ก็ไม่ได้เก็บงำขนาดนั้นแล้ว เปลี่ยนเป็นจองหองไร้เกรงกลัว เจือกลิ่นอายตรวจสอบอยู่รำไร

โดยเฉพาะสายตาที่มองหลินสวิน หลายคู่ล้วนแฝงไอสังหารเย็นเยียบ ไม่ได้ปิดบังใดๆ สักนิด

นี่ก็คือพฤติกรรมการวางตัวของผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมด ไม่เคารพฟ้าดิน ไม่เกรงกลัวเทพผี ไม่ยึดถือมารยาท ฉะนั้นจึงไม่ปิดบังความคิดใดๆ ต่อคู่ต่อสู้สักนิด

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินคร้านจะใส่ใจ

แม้ว่าที่นี่จะเป็นถิ่นของหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด แต่พวกเขามาครั้งนี้ในฐานะตัวแทนของลัทธิแรกกำเนิด ต่อให้ผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดเหล่านี้จะโอหังแค่ไหนก็ไม่กล้าทำเรื่องเกินไปบางอย่าง

‘พี่หลินเจ้าดู นั่นก็คือชางฝูเฟิง’

ทันใดนั้นเสียงสื่อจิตของหยวนฉางเทียนก็ดังขึ้นข้างหูหลินสวิน เมื่อหันมองตามสายตาเขา ก็เห็นผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดห้าคนนั่งอยู่บนที่นั่งด้านข้างตำหนักภารเทพ

ห้าคนนี้คือผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดที่จะเข้าร่วมศึกมรรคอมตะ ชายสี่หญิงหนึ่ง กลิ่นอายแต่ละคนแข็งแกร่งน่าสะพรึง

ชางฝูเฟิงที่หยวนฉางเทียนพูดถึงนั่งอยู่ในตำแหน่งแรกทางซ้ายมือ สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว ผิวขาวกระจ่าง ผมยาวสีดำทั่วศีรษะทิ้งตัวระช่วงเอว บนเครื่องหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยแววเย็นชาดุกร้าว

เมื่อรับรู้ถึงสายตาของหลินสวิน ชางฝูเฟิงค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น ก็เห็นดวงตาที่ประดุจหินสมบัติเปลวเพลิงวาวโรจน์คู่นั้นของเขามีเปลวเพลิงน่าสะพรึงไหลเวียน คล้ายสามารถแผดเผาเวิ้งฟ้า!

หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป ถูกเขาจ้องเช่นนี้เกรงว่าสภาวะจิตคงสะเทือนไหว ขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว

แต่หลินสวินสงบนิ่งดังเดิม

มุมปากชางฝูเฟิงผุดเส้นโค้งแปลกประหลาดขึ้นเสี้ยวหนึ่ง ก่อนเก็บสายตากลับมา

หยวนฉางเทียนที่มองเห็นทุกอย่างนี้ในสายตาสื่อจิตเอ่ยถาม ‘เป็นอย่างไร พี่หลินเชื่อมั่นว่าจะจัดการกับบุตรเทพเผ่าเทพตระกูลชางผู้นี้ได้หรือไม่’

หลินสวินสื่อจิตตอบ ‘คนร้ายกาจเช่นนี้ก็มีเพียงคนอย่างพี่หยวนเท่านั้นจึงจะกำราบได้’

หยวนฉางเทียนอึ้งไป ก่อนยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดมากความอีก

ทันใดนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งติดกับชางฝูเฟิงก็หยัดตัวลุกขึ้น เดินตรงดิ่งเข้ามาทางหลินสวิน

เขาผิวดำแดด โครงร่างใหญ่กำยำ ยามเดินดุจภูเขาลูกหนึ่งเคลื่อนขวาง เจือกลิ่นอายแข็งกร้าวกดข่มผู้คนอย่างที่สุด

หั่วเซียว!

หนึ่งในห้าผู้แข็งแกร่งตัวแทนลัทธิพ่อมดที่เข้าร่วมศึกมรรคอมตะในครั้งนี้ มรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ เป็นผู้อาวุโสฝ่ายศึกคนหนึ่ง

ยามเห็นเขาเดินไปหาหลินสวิน สายตามากมายล้วนถูกดึงดูดให้มองมาอย่างอดไม่ได้

“เป็นเจ้าเองหรือที่เอาชนะสิงจวิ้น”

หั่วเซียวยืนตรงหน้าหลินสวิน ปรายตามองจากมุมสูง เอ่ยปากเหยียดหยัน

“ไม่ผิด”

หลินสวินหยิบน้ำเต้าสุราขึ้นดื่ม

หั่วเซียวยกปากยิ้ม เผยเรียวฟันขาวกล่าวว่า “ตอนนี้ศึกมรรคอมตะยังไม่เริ่ม ไม่สู้เจ้ากับข้าสู้กันสักตาเป็นอย่างไร ข้ารับรองว่าจะไม่ทุบตีเจ้าจนตาย”

ในที่นั้นฮือฮา

เฉาเป่ยโต้วและอวิ๋นเทียนหมิงสบตากันปราดหนึ่ง ในใจอดมีความสุขบนคราวเคราะห์ของผู้อื่นไม่ได้

ศึกมรรคอมตะยังไม่ทันเริ่มก็มีคนเดินอาดๆ เข้ามาหาเรื่องถึงที่ จากจุดนี้เห็นได้ว่าหลินสวินทำให้ผู้อื่นชิงชังมากแค่ไหน

ไกลออกไปคนใหญ่คนโตลัทธิพ่อมดทั้งกลุ่มล้วนยิ้มมองภาพเหตุการณ์นี้ สีหน้านึกสนุก ไม่ได้ไปขัดขวางแต่อย่างใด

หยวนฉางเทียนแววตาวาบประกาย นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ

หยวนซีหลิวก้มหน้า ไม่มีท่าทีจะสนใจ

ส่วนฟางเต้าผิงขมวดคิ้วน้อยๆ

ก็เห็นหลินสวินเก็บน้ำเต้าสุรา หยัดตัวลุกขึ้นกวาดสายตามองรอบบริเวณ สุดท้ายก็มองหั่วเซียวที่อยู่ตรงหน้าแล้วยิ้มกล่าวว่า “เอาสิ เจ้าเลือกสถานที่ ข้ารับรองว่าจะไม่ให้เจ้าแพ้อย่างน่าเกลียดเกินไป ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของลัทธิพ่อมดของพวกเจ้า” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

ทั่วตำหนักฮือฮา

ใครต่างก็ไม่คาดคิดว่าหลินสวินจะตอบตกลงตรงๆ!

แม้แต่หยวนฉางเทียน เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงยังอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าหลินสวินทนคำยั่วยุไม่ได้ และตอบรับตรงๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

เดิมฟางเต้าผิงยังอยากพูดอะไร แต่เห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มขื่น

ตอบตกลงไปแล้ว หากไปห้ามปรามอีก ก็ออกจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าลัทธิแรกกำเนิดของพวกเขาหวาดกลัว

แม้แต่ตัวหั่วเซียวยังอึ้งไปเช่นกัน ยิ้มแสยะกล่าว “ในเมื่อเป็นการต่อสู้ เอาแถวตำหนักภารเทพแห่งนี้ก็ได้”

“ช้าก่อน!”

ทันใดนั้นจู่เหวินเหิงที่อยู่ไกลออกไปเอ่ยปากเสียงเย็น “หั่วเซียว ต่อให้เจ้ารีบร้อนต่อสู้แค่ไหนก็ต้องไว้หน้าสหายจากลัทธิแรกกำเนิดสักหน่อย ศึกมรรคอมตะใกล้จะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้แล้ว หากเจ้ามีความสามารถจริงก็ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในแดนมารสิบทิศ”

หั่วเซียวไม่ยินยอมอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด “ใต้เท้า จัดการคนผู้นี้ไม่ต้องใช้เวลามากมายสักนิด…”

จู่เหวินเหิงกล่าวตัดบท “ข้าบอกให้เจ้าถอยไป!”

หั่วเซียวจนปัญหา เม้มปากน้อยๆ จากนั้นยื่นมือชี้หน้าหลินสวินพลางกล่าว “เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”

ว่าจบก็หมุนตัวออกไป

“ข้าตอบรับคำท้าสู้แล้ว แต่เจ้ากลับขี้ขลาด ยังจะให้ข้ารออีก…”

หลินสวินยิ้มชอบใจ ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วนั่งประจำที่อีกครั้ง

แต่กลิ่นอายถากถางในสีหน้าและคำพูดของเขายั่วโทสะจนสีหน้าหั่วเซียวล้วนอึมครึมลงมา ไอสังหารเดือดพล่านกลางนัยน์ตา

ผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดคนอื่นๆ ต่างก็ขมวดคิ้วไม่หยุด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่เหวินเหิงไม่ยอมให้หั่วเซียวสั่งสอนหลินสวินงามๆ สักตั้งในเวลานี้

เมื่อเห็นภาพนี้ เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงล้วนอดผิดหวังไม่ได้ ลัทธิพ่อมดแข็งกร้าวเสมอมา โอหังไร้เกรงกลัว มายอมถอยได้อย่างไร

“รายงาน…! ผู้แข็งแกร่งลัทธิฌานมาแล้ว!”

เสียงดุจอสนีบาตสายหนึ่งดังก้องฟ้าดินแถบนี้

“รีบเชิญ”

จู่เหวินเหิงกล่าว

ไม่นานใต้เวิ้งฟ้าไกลโพ้น เมฆมงคลแถบหนึ่งปรากฏขึ้น แสงธรรมคละคลุ้ง เสียงสวดท่องธรรมดังระงม เงาร่างเป็นสายๆ ยืนมั่นอยู่ในนั้น ศักดิ์สิทธิ์เคร่งขรึม

ผู้แข็งแกร่งหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน!

ผู้นำคือจอมมุนีชื่อเย่

ในงานถกมรรคเก้ายอดเขาลัทธิแรกกำเนิดก่อนหน้านี้ชื่อเย่ก็เคยปรากฏตัว หลินสวินย่อมคุ้นหน้ายิ่ง

ข้างหลังชื่อเย่มีเงาร่างห้าสายยืนอยู่

ภิกษุสี่รูปและชายหนุ่มชุดฟ้าคนหนึ่ง

ภิกษุสี่รูปได้แก่ พุทธองค์ขู่เสวียน พุทธองค์ขู่จี้ พุทธองค์เจวี๋ยเวิน และพุทธองค์เจวี๋ยเจิน

ตำแหน่ง ‘พุทธองค์’ ของหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน เทียบเท่ากับผู้อาวุโสสามหอลัทธิแรกกำเนิด และผู้อาวุโสสามฝ่ายในลัทธิพ่อมด

ส่วนชายหนุ่มชุดฟ้าอีกคน เงาร่างผอมบางดุจต้นสน ผมยาวสีดำม้วนเป็นมวย ทั่วร่างสะอาดผุดผ่อง หน้าตาหล่อเหลาราวกับหยก

ยามมองเห็นเงาร่างของเขา ในที่นี้เกิดความปั่นป่วนระลอกหนึ่งทันที

เหวินเฉียวสุ่ย!

บุตรเทพจากเผ่าเทพตระกูลเหวิน นิสัยนิ่งสุขุมดุจขุนเขา สภาวะจิตแน่วแน่ดั่งศิลา

หยวนฉางเทียนและชางฝูเฟิงล้วนสังเกตเห็นเหวินเฉียวสุ่ยแล้วเช่นกัน สีหน้าราบเรียบ ไม่มีระลอกคลื่นใดๆ มากนัก แค่ไม่รู้ว่าในใจคิดอย่างไรอยู่

หลังจากขบวนของหอบรรพจารย์ลัทธิฌานมาถึงก็ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ถูกจัดให้นั่งอยู่ข้างขบวนคนจากหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด

“สหายยุทธ์ฟาง พบกันอีกแล้ว”

จอมมุนีชื่อเย่เอ่ยปากยิ้มๆ

ฟางเต้าผิงพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดมากความอะไร

“สหายน้อยหลินสวิน วันนี้ได้พบกันอีกครั้ง มาดของเจ้าเหนือกว่าในอดีตนัก”

ชื่อเย่ทอดสายตามองหลินสวิน

“ผู้อาวุโสชมเกินจริงแล้ว”

หลินสวินประสานหมัดคารวะ

ชื่อเย่ยิ้มน้อยๆ มองทุกคนข้างตัวพวกเขาแล้วกล่าวว่า “ทุกคน นี่ก็คือผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดหลินสวิน ศิษย์พุทธอวี่เฟิงจื่อก็พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของสหายน้อยหลินสวินในงานถกมรรคเก้ายอดเขาในปีนั้น”

เขาเอ่ยพูดเรียบเรื่อย ฟังอารมณ์ใดๆ ไม่ออก

“คารวะสหายยุทธ์”

พวกขู่เสวียนโค้งคารวะทั้งหมด

ไม่ตีคนหน้ายิ้ม หลินสวินย่อมต้องคารวะตอบทุกคนเช่นกัน

มีเพียงเหวินเฉียวสุ่ยที่แค่พยักหน้าน้อยๆ

บรรยากาศนี้แปลกพิกลยิ่ง

ไม่ว่าใครล้วนมองออก ผู้แข็งแกร่งลัทธิฌานเหล่านั้นจ้องเล่นงานหลินสวินอย่างเห็นได้ชัด แต่ยามที่พวกเขาต่างฝ่ายต่างแสดงความเคารพกันกลับเรียบเรื่อยสบายๆ ไม่โจ่งแจ้ง

แน่นอนว่าไม่มีใครเปิดโปงเรื่องพวกนี้

เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงที่มองดูอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดถึงขั้นกล้ายืนยันว่าหลังจากเข้าแดนมารสิบทิศ หากภิกษุลัทธิฌานเหล่านี้เจอหลินสวิน เกรงว่าจะกลายร่างเป็นโพธิสัตว์ปราบมาร สำแดงวิชาเกรี้ยวกราดรุนแรงในทันที

สาเหตุง่ายดายยิ่ง เพราะศิษย์พุทธอวี่เฟิงจื่อเคยถูกหลินสวินตัดมรรควิถีในคราวเดียว!

นี่เป็นแค้นฝังลึกที่ไม่อาจคลี่คลาย!

ไม่นานนักกลางฟ้าดินก็มีเสียงรายงานสายหนึ่งดังขึ้นมาอีก

“รายงาน…! ผู้แข็งแกร่งลัทธิวิญญาณมาถึงแล้ว!”

ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งสามหอบรรพจารย์อย่างลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน และลัทธิแรกกำเนิดในที่นี้ล้วนหยุดการสนทนา ทอดสายตามองไปไกลๆ โดยพร้อมเพรียง

หาใช่เพราะหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณมีอะไรพิเศษ

หากแต่เป็นเพราะในผู้เข้าร่วมศึกห้าคนที่หอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณส่งมาในครั้งนี้ มีธิดาเทพจากน่านฟ้าที่เก้าคนหนึ่ง!

หลินสวินรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าหยวนฉางเทียนที่ลุ่มลึกเก็บงำเสมอมา เวลานี้ถึงกับมีอาการตื่นเต้นหน่อยๆ อยู่บ้าง แววตาเจือความตั้งตาคอย และมีความเกรงกลัวอย่างผิดประหลาด

ไม่นานรุ้งเทพสว่างไสวแถบหนึ่งก็ปรากฏบนเวิ้งฟ้าไกลโพ้น

ผู้นำคือใบหน้าที่ทำให้หลินสวินคุ้นตาคนหนึ่ง

จอมวิญญาณชิงอวิ๋น!

ตำแหน่ง ‘จอมวิญญาณ’ ของลัทธิวิญญาณ เทียบเท่ารองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด จอมมุนีลัทธิฌาน และราชครูดินลัทธิพ่อมด

ข้างหลังจอมวิญญาณชิงอวิ๋นคือผู้เข้าร่วมศึกห้าคน

ชายสี่หญิงหนึ่ง

ทว่าเมื่อพวกเขาทั้งขบวนมาถึง กลับมีเพียงสตรีคนนั้นที่กลายเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ในที่นี้

นางรูปร่างสูงระหงยิ่งยวด เพรียวบางงดงาม สวมชุดสีเข้มตัวหลวมเรียบง่าย ผมยาวดำสนิทดุจสีหมึกถูกมวยขึ้นด้วยปิ่นปักผมสีเขียวมรกต เผยให้เห็นดวงหน้าพิสุทธิ์งดงามขาวเนียน

ความงามของนางดุจดั่งกล้วยไม้ป่ากลางหุบเขาลึก นิ่งสงบเหนือโลกีย์ โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียว

จี้ซานไห่!

นางถูกยกย่องว่า ‘เป็นเลิศในหมู่โฉมสะคราญ พิสุทธิ์หนึ่งเดียวในโลกีย์’ ถูกมองเป็นไข่มุกกลางฝ่ามือของเผ่าเทพตระกูลจี้

ในน่านฟ้าที่เก้า พวกผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์มากมายล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงของนาง!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท