Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2852 ปราชัย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2852 ปราชัย

ตอนที่ 2852 ปราชัย

และก็เป็นเพียงเวลาสั้นๆ

อภินิหารประตูเนรเทศของหลินสวินอันตรธานหายไปเช่นกัน

หากสำแดงอภินิหารพรสวรรค์นี้ด้วยขนาดเล็กที่สุดตลอด ย่อมสามารถยืดเวลาได้มากกว่านี้

แต่สำหรับหลินสวินกลับเพียงพอแล้ว

ขั้นดับเทพสัมบูรณ์จากสิบยักษ์ใหญ่อมตะสามสิบเจ็ดคน เพียงครู่เดียวก็ถูกสังหารไปแล้วสิบสองคน

และสิ่งที่เขาเสียไปเป็นพลังเพียงราวสี่ส่วนเท่านั้น ซึ่งจริงๆ ก็คุ้มค่ามากแล้ว

ภาพต่างๆ ที่พวกพ้องข้างกายร่วงหล่นอย่างต่อเนื่องทำเอาหวังเจวี๋ยฮ่วนสีหน้าเขียวคล้ำ ภายในใจเต็มไปด้วยความอัดอั้นและเดือดดาล

ในฐานะบุตรฟ้าประทานตระกูลหวัง ปีศาจแห่งยุคที่จับจ้องที่ตัวเหล่าบุตรเทพน่านฟ้าที่เก้า ตั้งแต่ฝึกปราณจนบัดนี้ หวังเจวี๋ยฮ่วนยังไม่เคยเสียเปรียบครั้งใหญ่เช่นนี้มาก่อน

ลองถามใจตนดู การเตรียมการเคลื่อนไหวของพวกเขาครั้งนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าไม่เพียงพอ และไม่เคยประมาทดูเบาใดๆ ต่อศัตรู

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้กลับยังคงเสียหายอย่างหนักเช่นนี้ นี่จะให้หวังเจวี๋ยฮ่วนเยือกเย็นได้อย่างไร

“ฆ่า!”

หวังเจวี๋ยฮ่วนไม่ได้เดือดดาลจนขาดสติ ยามสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าอภินิหารประตูเนรเทศของหลินสวินหายไปเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวในทันที

ตูม!

กลางฝ่ามือเขา มุกอสนีกาลเวลาปลดปล่อยประกายแสงอสนีสีน้ำเงินเข้มออกมา กลิ่นอายทำลายล้างน่าตกใจ

ผู้เข้าร่วมศึกคนอื่นๆ ล้วนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายของหลินสวินเช่นกัน เผยประกายคมพุ่งเข้าใส่พร้อมกับหวังเจวี๋ยฮ่วนโดยไม่ลังเลใดๆ ทันที

ขั้นดับเทพสัมบูรณ์เหล่านั้นแต่ละคนผ่านประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้โอกาสหลินสวินสำแดงประตูเนรเทศอีก

ขณะลงมือแต่ละคนเรียกไพ่ตายออกมา!

ตูมโครม!

เพียงพริบตา งาร่างของหลินสวินก็ถูกซัดจนซวนเซ แม้แต่อภินิหารประตูเนรเทศที่เขาหมายจะใช้ก็ยังสำแดงไม่ทัน

เมื่อเห็นดังนี้หวังเจวี๋ยฮ่วนกระปรี้กระเปร่า พลังโจมตียิ่งยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทุ่มสุดแรงเกิด

“เร็ว กดดันเขา ห้ามให้โอกาสใดๆ แก่เขาเด็ดขาด!”

หวังเจวี๋ยฮ่วนตะโกนลั่น

“ฆ่า!”

ผู้เข้าร่วมศึกคนอื่นๆ ก็ฮึกเหิมขึ้นมาเข่นกัน ไอสังหารเดือดพลุ่งพล่าน ล้อมกรอบเข้ามาทางหลินสวิน

กลับเห็นหลินสวินยิ้มน้อยๆ “วันนี้พอแค่นี้ก่อน พักสักหน่อยค่อยสู้ต่อ”

เสียงยังคงดังล่องลอย เงาร่างเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว พุ่งเข้าไปบนยอดเขาลูกนั้นที่ปกคลุมด้วยพลังประทับผนึกเวลาท่ามกลางวงล้อมของคนทั้งกลุ่ม

ตูม โครม!

พลังโจมตีปกคลุมฟ้าดินซัดลงบนประทับผนึกเวลา บังเกิดระลอกคลื่นสั่นสะเทือนรุนแรง และต่างถูกสลายไปทั้งหมด ไม่อาจทลายพลังผนึกที่เร้นลับสุดหยั่งนี้ได้

เมื่อเห็นภาพนี้พวกหวังเจวี๋ยฮ่วนโกรธจนเกือบอาเจียนเป็นเลือด จวนเจียนจะบ้าคลั่ง

ไม่ง่ายเลยกว่าจะสบโอกาสกำราบหลินสวิน แต่เขาดันหนีเข้าไปในผนึกกาลเวลานั่นอีก เช่นนั้นค่าตอบแทนที่ต้องเสียไปก่อนหน้านี้จะไม่ใช่สูญเปล่าหรือ

“สมควรตาย!”

“บัดซบ!!”

ผู้เข้าร่วมศึกบางส่วนโกรธจนโพล่งผรุสวาท “หลินสวิน กล้าออกมาสู้หรือไม่”

“อับอายขายหน้า สู้ไม่ไหวก็หนี ต่ำช้าปานใด!”

“เป็นถึงผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ดันหน้าไม่อายเช่นนี้หรือ”

กลางฟ้าดินล้วนเต็มไปด้วยเสียงตะโกนด่าทอ

หลีเจินที่มองเห็นภาพนี้อยู่ในผนึกยังอดสะใจไม่ได้ ท่าทีขุ่นเคืองแทบคลั่งของเจ้าพวกนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ

หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขานั่งขัดสมาธิฝึกปราณอย่างงสงบ คว้าโอสถอมตะสุริยันจันทราขึ้นมากำหนึ่งแล้วเริ่มฟื้นฟูพลังกาย

หลีเจินก็หยัดตัวขึ้นมา สีหน้าเยียบเย็น “ต่ำช้า? หน้าไม่อาย? อับอายขายขี้หน้าหรือ ผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพสัมบูรณ์จากสิบยักษ์ใหญ่อมตะรวมตัวกันห้าสิบคนล้อมโจมตีหลินสวินเพียงคนเดียว ข้าขอถามหน่อยว่าใครกันแน่ที่ต่ำช้า หน้าไม่อาย อับอายขายขี้หน้า”

แต่ละคำราวฟ้าคำราม ดังก้องฟ้าดิน

นี่ทำให้สีหน้าพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนยิ่งไม่น่าดูขึ้นเรื่อยๆ ภายในใจอัดแน่นด้วยความอัดอั้น

“ที่น่าขันคือผู้เข้าร่วมศึกห้าสิบคนจนบัดนี้ กลับถูกหลินสวินคนเดียวฆ่าเหมือนดอกไม้โรยไหลตามสายน้ำ ร่วงหล่นต่อเนื่อง นี่หากแพร่ออกไปคนที่อับอายขายหน้าจะเป็นใครกัน”

หลีเจินนิ่งเงียบสงบคำมาโดยตลอด สงวนวาจาดั่งทองคำ แต่เวลานี้แต่ละคำดุจดั่งคมมีด กดบีบผู้คน ทำเอาหลินสวินยังแปลกใจระลอกหนึ่ง

“ดูเอาเถิด พวกเจ้าในตอนนี้เหลือเพียงยี่สิบห้าคนแล้ว หรือก็คือจำนวนคนครึ่งหนึ่งล้วนจบชีวิตด้วยน้ำมือของหลินสวิน พวกเจ้ายังมีหน้ามาร้องปาวๆ อะไรอีก”

หลีเจินสีหน้าไร้ความรู้สึก “หากให้ข้าเป็นพวกเจ้า ป่านนี้คงปาดคอฆ่าตัวตายนานแล้ว จะได้ไม่ต้องลำบากผู้อื่นส่งพวกเจ้าไปภพหน้าทีละคนอีก”

ในที่นี้เงียบสงัด

มีเพียงเสียงของหลีเจินดังสะท้อนไปมากลางฟ้าดิน

พวกหวังเจวี๋ยฮ่วนถูกด่าจนหมดรูป สีหน้าปั้นยาก โกรธกรุ่นขุ่นเคืองแต่ทำอะไรไม่ได้

หากสามารถบุกเข้าไปในผนึกนั่นได้ เกรงว่าป่านนี้พวกเขาคงพุ่งเข้าไปสังหารหลีเจินในทันทีนานแล้ว

“หากพวกเจ้ายังคิดจะรอความตายต่อไป เช่นนั้นก็รออยู่ข้างนอกอย่างว่าง่ายไปเถอะ”

หลีเจินกล่าวจบก็กลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง เริ่มนั่งขัดสมาธิฝึกปราณ

นอกผนึกพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนมองหน้ากันไปมา สีหน้าไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ

ต่อสู้จนถึงตอนนี้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายกว่าครึ่ง ส่วนหลินสวินได้ทั้งรุกทั้งถอย ตอนนี้ไม่ได้บาดเจ็บใดๆ สักนิด!

นี่ทำให้แม้ว่าพวกเขาจะเคียดแค้นแทบบ้า แต่กลับไม่อาจไม่สงบใจไตร่ตรองว่าต่อไปควรทำอย่างไร

สายตามากมายล้วนหันมองหวังเจวี๋ยฮ่วน

การเคลื่อนไหวของพวกเขาสิบยักษ์ใหญ่อมตะในครั้งนี้ยกให้หวังเจวี๋ยฮ่วนเป็นผู้นำ

หวังเจวี๋ยฮ่วนนิ่งเงียบเนิ่นนาน

เวลาผันผ่านทีละน้อย บรรยากาศในที่นั้นก็เริ่มกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ

ใครต่างก็มองออกว่าหวังเจวี๋ยฮ่วนกำลังขัดแย้งในใจ เผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ถอย!”

สุดท้ายหวังเจวี๋ยฮ่วนกัดฟันเอ่ยคำหนึ่งออกมา

หากยังอยู่ต่ออีก ดูจากสถานกาณ์เช่นนี้พวกเขาไม่มีโอกาสโจมตีสังหารหลินสวินมากเท่าไรนัก ตรงข้ามอาจถูกเขาใช้อุบายเดิม สร้างความเสียหายที่ยากจะคาดเดาให้แก่พวกเขา

เพียงแต่แม้จะตัดสินใจล่าถอย แต่ในใจหวังเจวี๋ยฮ่วนกลับเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

ต่อสู้จนบัดนี้ เสียค่าตอบแทนด้วยชีวิตมากมายขนาดนั้นแต่ต้องล่าถอยอย่างหมดสภาพเช่นนี้ นี่เป็นความอัปยศครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย หากแพร่ออกไปต้องกลายเป็นตัวตลกแน่แท้

และเมื่อรู้การตัดสินใจของหวังเจวี๋ยฮ่วน ทุกคนรอบตัวเขาล้วนลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างน่าประหลาด

หลังจากสงบอารมณ์พวกเขาถึงตระหนักได้ว่าการต่อสู้กับหลินสวินเมื่อครู่อันตรายมากเพียงใด ยามนึกถึงภาพที่พวกพ้องข้างกายร่วงหล่นคนแล้วคนเล่า ทำเอาพวกเขายังรู้สึกเสียวสันหลังราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง

ลองถามใจตนดู หากให้พวกเขาไปโจมตีสุดชีวิตโดยไม่สนสิ่งใดอย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง ในใจใครก็ตามล้วนต้องชั่งน้ำหนักถึงผลที่ตามมาสักหน่อย

“แดนมารสิบทิศแห่งนี้ยังมีกองกำลังของลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน และบุตรเทพอย่างพวกเหวินเฉียวสุ่ย ชางฝูเฟิง ข้าอยากดูนักว่าเจ้าหลินสวินจะรอดชีวิตไปถึงเมื่อไร!”

หวังเจวี๋ยฮ่วนทิ้งประโยคเจ็บแสบที่เต็มไปด้วยความขุ่นข้องก่อนหมุนตัวจากไป

คนอื่นต่างก็รีบตามขึ้นไป

“คนพวกนี้เริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว”

หลีเจินกล่าวเย็นชา

“ไม่รีบ ต่อจากนี้ยังมีเวลาอีกหลายปี ยังมีโอกาสกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก”

หลินสวินกล่าวง่ายๆ

อย่าไล่ตามจนศัตรูจนมุม ยิ่งกว่านั้นด้วยมรรควิถีในปัจจุบันของเขา หากไล่ตามไปอาจจะฆ่าศัตรูได้มากกว่านี้ก็จริงอยู่ แต่เกรงว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนอยู่บ้าง

สิ่งสำคัญที่สุดคือหลินสวินไม่กล้าฟันธงว่าบริเวณใกล้เคียงมีศัตรูอื่นซ่อนตัวอยู่อีกหรือไม่ อย่างเช่นพวกพุทธองค์สี่คนจากลัทธิฌาน

“ก็จริง เก้าปีให้หลังผู้เข้าร่วมศึกที่รอดชีวิตทั้งหมดล้วนจะมุ่งหน้าไปยังแดนมารปฐพี ถึงตอนนั้นย่อมมีโอกาสสังหารศัตรู”

หลีเจินกล่าว

การต่อสู้กับสิบยักษ์ใหญ่อมตะครั้งนี้ หลินสวินชนะอย่างเรียกได้ว่างดงามถึงที่สุด โจมตีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ยี่สิบห้าคนของอีกฝ่ายตายอนาถต่อเนื่อง ผลงานการต่อสู้ระดับนี้เรียกได้ว่าน่าทึ่ง

ควรรู้ว่าหากอยู่ในน่านฟ้าที่แปด ขั้นดับเทพสัมบูรณ์ล้วนเรียกได้ว่าเป็นพวกระดับปลายยอดแล้ว เป็นรองเพียงเฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นหลุดพ้นเท่านั้น

ในสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ผู้แข็งแกร่งในระดับขั้นนี้ก็มีจำนวนจำกัด!

ตอนนี้เกิดความเสียหายร้ายแรงเช่นนี้ สำหรับสิบยักษ์ใหญ่อมตะล้วนเป็นการโจมตีที่หนักหนาสาหัสอย่างหนึ่ง!

คิดถึงตรงนี้สีหน้าหลีเจินก็อดแปลกไปจากเดิมอยู่บ้างไม่ได้

เกรงว่าแม้แต่ในลัทธิแรกกำเนิดก็คงไม่มีใครคาดคิด ว่าหลินสวินจะใช้กำลังเพียงคนเดียวสร้างผลงานการต่อสู้โดดเด่นเช่นนี้ได้กระมัง

เจ้าหมอนี่เป็นพวกวิปริตจริงๆ!

“ผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าสนใจเพียงแค่ใครกันแน่ที่เปิดเผยที่อยู่ของพวกเรา”

หลินสวินกล่าวง่ายๆ เขาไม่รู้ความคิดในใจของหลีเจินสักนิด

“ผู้เข้าร่วมศึกลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราเข้าสู่แดนมารสิบทิศเป็นกลุ่มแรก อิงจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็น่าจะมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่แดนมารบูรพาแห่งนี้”

หลีเจินนัยน์ตาวาบกะพริบ “แต่ในวันที่สามหลังจากพวกเรามาถึง กองกำลังของสิบยักษ์ใหญ่อมตะก็หาเทือกเขาหมื่นห้วยแห่งนี้พบแล้ว นี่มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว”

หลินสวินถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ไม่กลัวว่าศัตรูจะแข็งแกร่งแค่ไหน กลัวก็แต่ถูกไส้ศึกเอาไปขาย ปัญหาเรื้อรังและภัยแฝงในลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราถึงคราวต้องกำจัดให้สิ้นซากสักเที่ยวแล้วจริงๆ หาไม่เกรงว่าลัทธิแรกกำเนิดในภายหน้าจะกลายเป็นสวนดอกไม้หลังเรือนของสิบยักษ์ใหญ่อมตะแล้ว”

หว่างคิ้วหลีเจินก็เผยแววอึมครึมเสี้ยวหนึ่งเช่นกัน กล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงแน่! ฝ่ายแรกมีรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีหนุนหลังอยู่ ส่วนตระกูลของฝ่ายหลังก็เป็นบริวารใต้บัญชาตระกูลตงหวงมาโดยตลอด ล้วนมีความสัมพันธ์แบบแยกจากกันไม่ออกกับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ”

เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “หยวนฉางเทียนก็เกรงว่าจะต้องเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่”

หลินสวินกล่าว “ผู้อาวุโส ก่อนจะสู้ศึกภายนอกศึกภายในต้องสงบก่อน ในเมื่อพวกเขากล้าเป็นหนอนบ่อนไส้ของสำนัก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

หลีเจินสูดหายใจลึกคราหนึ่งกล่าวว่า “ข้าจะช่วยเจ้า”

เพียงไม่กี่คำสั้นๆ ก็เปิดเผยจุดยืนของเขาอย่างหมดจด

จากนั้นเขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงนั้นจัดการง่าย เพียงแต่เจ้าตั้งใจจะแตกหักกับหยวนฉางเทียนในแดนมารสิบทิศแห่งนี้จริงหรือ”

นัยน์ตาหลินสวินลุ่มลึก กล่าวว่า “นั่นก็ต้องดูท่าทีของเขาแล้ว”

รอบทิศล้วนเงียบงัน ภูผาธาราเงียบสงัด

สองสามวันถัดจากนี้หลินสวินเอาแต่เก็บตัวนั่งสมาธิในประทับผนึกเวลา และหลอมต้นกำเนิดระเบียบระดับสวรรค์ที่รวบรวมมาได้ ตอนนี้พลังปราณในตัวขาดอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นก็สามารถทะลวงสู่ขั้นดับเทพขั้นกลางได้แล้ว!

ควรรู้ว่าก่อนจะเข้าสู่แดนมารสิบทิศ พลังปราณของหลินสวินหยุดนิ่งอยู่ที่ขั้นดับเทพขั้นต้นตลอด แทบไม่มีความก้าวหน้าสักเท่าไร

แต่ตอนนี้เพิ่งมาแดนมารสิบทิศไม่ถึงครึ่งเดือน พลังปราณก็รุดหน้าถึงขั้นนี้แล้ว ความคืบหน้าระดับนี้เรียกได้ว่าน่าทึ่งอย่างแน่นอน!

ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นผลมาจากการหลอมพลังระเบียบอย่างไม่อาจแยก

ระเบียบระดับปฐพีหนึ่งร้อยยี่สิบเก้าสาย ระเบียบระดับสวรรค์สามสาย หลอมพลังระเบียบมากขนาดนี้ย่อมสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพคนอื่นๆ ทะลวงขั้นได้หลายต่อหลายครั้ง

ที่หลินสวินไม่สามารถทะลวงขั้นได้ ว่ากันถึงที่สุดก็เป็นเพราะรากฐานของเขาแน่นหนาเกินไป ความสามารถแฝงของมรรคยอดอมตะนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนระดับเดียวกันคนอื่นๆ จะเทียบได้

ส่งผลให้พลังระเบียบที่เขาต้องใช้หลอมเพื่อทะลวงขั้นขึ้นไปก็สูงกว่าปกติเช่นกัน

ในวันนี้พลังประทับผนึกเวลาหายไปอย่างหมดจด

หลินสวินและหลีเจินหยัดตัวลุกขึ้น

“ผู้อาวุโส ข้าตั้งใจว่าหลังจากทะลวงขั้นพลังปราณแล้วจะไปคิดบัญชีกับพวกหนอนบ่อนไส้ในสำนักพวกนั้น”

หลินสวินตัดสินใจ

หลีเจินพยักหน้าน้อยๆ

เขาเคยบอกแล้วว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดยกให้หลินสวินเป็นผู้ตัดสินใจ

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท