Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2855 ทัพสัตว์ปีศาจ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2855 ทัพสัตว์ปีศาจ

ตอนที่ 2855 ทัพสัตว์ปีศาจ

หลีเจินเข้าใจในทันที

หากสังหารหยวนฉางเทียนเวลานี้ หยวนซีหลิวที่รออยู่นอกแดนมารสิบทิศย่อมไม่เลิกรา และเผ่าเทพตระกูลหยวนแห่งน่านฟ้าที่เก้าก็จะไม่ยอมเลิกราเป็นแน่

ถึงขั้นที่กลับถึงลัทธิแรกกำเนิด คนใหญ่คนโตอย่างพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นก็จะใช้จุดนี้เป็นข้ออ้าง สร้างความลำบากให้แก่หลินสวิน!

กลับกันหากให้หยวนฉางเทียนมีชีวิตอยู่ เรื่องทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น และจะทำให้ความคิดของศัตรูจดจ่ออยู่กับตัวหยวนฉางเทียน ให้เวลาผงาดแก่หลินสวินได้มากยิ่งขึ้น

นี่ไม่ใช่หวั่นเกรง หากแต่เป็นการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย

ชั่วขณะเดียวแววตาที่หลีเจินมองหลินสวินก็เปลี่ยนไปจากเดิมแล้วเช่นกัน

ช่วงก่อนหน้านี้ภาพจำที่เขามีต่อหลินสวินก็คือผู้ที่รากฐานพลังน่าสะพรึง พลังต่อสู้เย้ยฟ้า ความกล้าเปี่ยมล้น เสมือนว่าเรื่องราวในโลกไม่มีสิ่งใดที่เขาเกรงกลัว

แต่เมื่อร่วมเคลื่อนไหวเคียงข้างหลินสวินในช่วงนี้ เขาจึงพบว่าหลินสวินรู้อะไรควรไม่ควร จะทำสิ่งใดก็รู้จักวางแผนการ

นี่เห็นชัดว่าหาตัวจับยากยิ่ง

“ผู้อาวุโส ต่อจากนี้ข้าตั้งใจจะล่าสัตว์ระเบียบเป็นหลัก พยายามเลื่อนขั้นพลังปราณขึ้นไปอีกขั้นก่อนเข้าแดนมารปฐพีในอีกเก้าปีให้หลัง”

หลินสวินกล่าว

เวลาสองเดือนก็ทำให้พลังปราณในตัวเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง ก้าวสู่ขั้นดับเทพขั้นกลาง นี่ทำให้หลินสวินตั้งตาคอยการเคลื่อนไหวต่อจากนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

เขารู้ดียิ่ง หากไม่มีโอกาสเข้าร่วมศึกมรรคอมตะครั้งนี้ คิดอยากทะลวงขั้นมรรควิถีภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าต้องเปลืองเวลาอีกกี่ปี

แต่แดนมารสิบทิศไม่เหมือนกัน

ที่นี่สัตว์ระเบียบกระจายตัวทั่วทุกแห่ง สามารถไล่ล่าไขว่คว้าพลังระเบียบอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แม้ว่าพลังระเบียบเหล่านี้ล้วนมีข้อบงพร่อง แทบไม่เจอชิ้นที่สมบูรณ์ก็ตาม

แต่สำหรับการฝึกปราณขั้นดับเทพกลับเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าในโลก!

ทว่าหลินสวินตระหนักได้ว่าเมื่อพลังปราณทะลวงถึงขั้นดับเทพขั้นกลาง พลังระเบียบที่ต่ำกว่าระดับปฐพีขั้นหกก็ยากจะส่งผลสักกี่มากน้อยแล้ว

หรือกล่าวได้ว่าพลังระเบียบที่ต่ำกว่าระดับปฐพีขั้นหก ย่อมไม่มีประโยชน์ต่อการเลื่อนขั้นพลังปราณหลินสวินแล้ว

นี่เป็นความจริงที่ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนใดล้วนต้องเผชิญ

ยามอยู่ห้าระดับล่าง หญ้าวิญญาณโอสถวิญญาณใดๆ บางส่วนล้วนทำให้พลังปราณรุดหน้าแบบก้าวกระโดดได้

แต่เมื่อมรรควิถีเลื่อนระดับ ทรัพยากรฝึกปราณที่สามารถเติมเต็มการเคี่ยวกรำในตัวนับวันก็เริ่มหายากและน้อยลงทุกที

นี่ยังเป็นโลกยอดนิรันดร์ หากหลินสวินเอาแต่อยู่ที่ทางเดินโบราณฟ้าดารา จนตอนนี้เกรงว่ายังไม่รู้เลยว่าจะแจ้งมรรคอมตะได้หรือไม่!

ฉะนั้นสำหรับโอกาสนี้ หลินสวินย่อมหวงแหนเป็นพิเศษ

สำหรับการตัดสินใจของหลินสวิน หลีเจินย่อมไม่ติดอะไร

หลังจากนั้นเงาร่างหลินสวินและหลีเจินปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของเทือกเขาหมื่นห้วย ลุยน้ำข้ามภูเขา ล่าสัตว์ปีศาจ ยามเหนื่อยล้าก็นั่งขัดสมาธิฝึกปราณ เมื่อพลังกายฟื้นฟูก็บุกตะลุยต่อ…

วันเวลาผ่านไปอย่างสมบูรณ์ถึงขีดสุด

ครึ่งปีให้หลัง

หลินสวินและหลีเจินออกจากเทือกเขาหมื่นห้วย มุ่งหน้าสู่ทะเลทรายหินดำหนึ่งในสามสถานที่อันตรายของแดนมารบูรพา

พื้นที่ล้านลี้ในเทือกเขาหมื่นห้วยล้วนถูกทั้งคู่กวาดเรียบราบคาบหมดแล้ว สังหารสัตว์ปีศาจระดับปฐพีไปเกือบห้าร้อยตัว แต่จำนวนสัตว์ปีศาจระดับสวรรค์กลับมีเพียงน้อยนิด รวมทั้งสิ้นมีไม่ถึงยี่สิบตัว

จากจุดนี้จะเห็นถึงความหายากของสัตว์ปีศาจระดับสวรรค์

หนึ่งปีให้หลัง

หลินสวินและหลีเจินออกจากทะเลทรายหินดำ

ผลเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ยิ่งน้อยกว่าเดิม ท้ายที่สุดก็ล่าสัตว์ปีศาจระดับปฐพีได้ไม่ถึงสองร้อยตัว และสัตว์ปีศาจระดับสวรรค์อีกเพียงหกตัวเท่านั้น

สาเหตุเป็นเพราะสถานที่อันตรายแถบนี้ ถูกหยวนฉางเทียนพาพวกเฉาเป่ยโต้วและอวิ๋นเทียนหมิงมาล่าตั้งแต่ยามศึกมรรคอมตะเพิ่งเริ่มขึ้นนานแล้ว

การเลื่อนขั้นของพลังปราณหลินสวินไม่มากนัก ไม่ได้รุดหน้าก้าวกระโดดเหมือนตอนแรกแล้ว แต่ก็ดีกว่าเคี่ยวกรำที่โลกภายนอกเป็นร้อยเท่าพันเท่า

จากการสันนิษฐานของหลินสวินเอง หากอยากเลื่อนขั้นพลังปราณได้อย่างก้าวกระโดดเหมือนก่อนหน้านี้อีก จำเป็นต้องหลอมพลังระเบียบระดับสวรรค์จำนวนมาก

ส่วนระเบียบระดับปฐพีเหล่านั้น ประสิทธิภาพที่มีก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว

สุดท้ายหลินสวินเก็บพลังระเบียบระดับปฐพีที่รวบรวมมาได้เหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด ตั้งว่าจะมอบให้สหายในภายหน้า

ช่วยไม่ได้ ‘สมบัติล้ำค่า’ ที่คนในโลกภายนอกตาลุกวาวเช่นนั้น แม้แต่วิญญาณระเบียบอู๋ซวงยังไม่ชายตามอง…

แดนมารบูรพามีสถานที่อันตรายรวมทั้งสิ้นสามแห่ง นอกจากเทือกเขาหมื่นห้วยและทะเลทรายหินดำ ยังมีอีกสถานที่นามว่า ‘ทะเลมารปั่นป่วน’

เพียงแต่หลังจากหลินสวินและหลีเจินมาถึง จึงพบว่าหยวนฉางเทียนกำลังทะยานอยู่ในพื้นที่อันตรายนี้ และล่าสัตว์ระเบียบไปไม่น้อยแล้ว

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินก็คร้านจะแก่งแย่งกับหยวนฉางเทียน และตัดสินใจออกจากแดนมารบูรพา

ในแดนมารสิบทิศ นอกจากแดนมารปฐพี แดนมารสวรรค์ ยังมีแดนมารอีกแปดแห่ง

และขุมอำนาจที่เข้าร่วมศึกมรรคอมตะ ทั้งผู้เข้าร่วมศึกจากสี่หอบรรพจารย์และผู้เข้าร่วมศึกจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ล้วนถูกเคลื่อนย้ายไปยังแปดแดนมารที่แตกต่างกัน

แต่หลินสวินกล้ามั่นใจว่าในแดนมารเหล่านี้ต้องยังมีพื้นที่ที่ยังไม่เคยถูกกวาดล้างอีกมากมาย

ขอเพียงเร่งทำเวลา ต้องสามารถแย่งพลังระเบียบได้มากขึ้นแน่

และเป็นเวลานี้เอง หลินสวินถึงเพิ่งเข้าใจความหมายของศึกมรรคอมตะ ผู้เข้าร่วมศึกจากแต่ละขุมอำนาจแข่งขันโดยยึดสัตว์ระเบียบเป็นเป้าหมาย สิ่งที่แก่งแย่งก็คือพลังระเบียบเหล่านี้

นี่สามารถนับเป็นคะแนนต่อสู้ เป็นเครื่องยืนยันในการจัดอันดับยามศึกมรรคอมตะปิดม่าน

และนี่ยังเป็นศุภโชคชิ้นใหญ่ยิ่งเช่นกัน ถึงอย่างไรใครจะรังเกียจว่าพลังระเบียบมีมากเกินไปกันเล่า

“ไปแดนมารอาคเนย์”

หลินสวินทำการตัดสินใจ

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า

หลังจากแดนมารบูรพา หลินสวินและหลีเจินก็ไปเหยียบแดนมารอาคเนย์ แดนมารทักษิณ…

ระหว่างนี้พวกหลินสวินยังบังเอิญพบกับศัตรูคู่แค้นบางส่วน

อย่างยามอยู่แดนมารอาคเนย์ก็บังเอิญเจอผู้เข้าร่วมศึกจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะอย่างพวกหวังเจวี๋ยฮ่วน ศัตรูพบหน้าย่อมเดือดดาลเป็นพิเศษ การต่อสู้ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

เพียงแต่น่าเสียดาย มีบทเรียนแสนสาหัสที่แพ้อนาถในคราวก่อนแล้ว ทันทีที่หวังเจวี๋ยฮ่วนสังเกตเห็นเงาร่างของหลินสวินและหลีเจิน ก็เลือกล่าถอยพาพวกพ้องทั้งหมดหลีกหนีไปไกลๆ

นี่เห็นชัดว่าขี้ขลาดยิ่ง

แต่หลินสวินกลับกล้ามั่นใจว่าพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนไม่มีทางเลิกราทั้งอย่างนี้เด็ดขาด ที่เลือกถอยหนีเพราะแค่ยังไม่สบโอกาสก็เท่านั้น

จากที่หลีเจินว่ามา ทอดสายตาไปทั่วทั้งโลกยอดนิรันดร์ ผู้ที่สามารถบีบจนกำลังพลของสิบยักษ์ใหญ่อมตะเลือกเผ่นหนีทันทีที่ได้ยินเสียงลม ก็มีเพียงหลินสวินคนเดียวเท่านั้น!

นี่ไม่ใช่การเยินยอเกินจริง艾琳小說

ลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นดูสิ เกรงว่าป่านนี้คงถูกพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนกระหน่ำสังหารนานแล้ว

และยามอยู่แดนมารทักษิณ หลินสวินและหลีเจินเจอการซุ่มโจมตีจากผู้เข้าร่วมศึกลัทธิพ่อมดคราหนึ่ง

ตอนนั้นผู้เข้าร่วมศึกลัทธิพ่อมดซึ่งมีชางฝูเฟิงเป็นผู้นำ บุกโจมตีฉับพลันยามหลินสวินและหลีเจินกำลังล่าสัตว์ปีศาจระดับสวรรค์ตัวหนึ่ง สถานการณ์เรียกได้ว่าอันตรายสุดขีด

ในช่วงคับขันหลินสวินสำแดงประทับผนึกเวลามาปัดป้อง ถึงสลายเคราะห์สังหารที่มาเยือนแบบปุบปับครั้งนี้ไปได้

เมื่อการโจมตีล้มเหลว ก็ทำให้พวกชางฝูเฟิงตระหนักถึงความร้ายกาจของประทับผนึกเวลา หลังจากพยายามฝืนโจมตีแต่ไร้ผลอยู่หลายครั้งก็ถอนตัวล่าถอย

ตอนนั้นหลินสวินไม่ได้โจมตีกลับและไม่ได้ไล่ตาม เพราะเขาสัมผัสได้ว่าในสนามรบเวลานั้น นอกจากพวกชางฝูเฟิงแล้ว สี่พุทธองค์จากลัทธิฌานก็ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดด้วย

ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้หลินสวินระวังตัวไม่น้อย

ปีที่หกที่เข้าสู่แดนมารสิบทิศ

ในแดนมารหรดี บนที่ราบรกร้าวสีโลหิตแถบหนึ่ง

“ผู้อาวุโส ข้าตั้งใจจะปิดด่านฝึกปราณระยะหนึ่ง”

หลินสวินที่เพิ่งผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่ โจมตีสังหารสัตว์ระเบียบมาสิบกว่าตัวเอ่ยปาก

“ใกล้ทะลวงขั้นแล้วหรือ”

หลีเจินถาม

หกปีมานี้เขาและหลินสวินบุกตะลุยในแดนมารต่างๆ จำนวนสัตว์ปีศาจระดับปฐพีที่สังหารได้มีมากถึงห้าพันตัวแล้ว แม้แต่จำนวนสัตว์ปีศาจระดับสวรรค์ที่สังหารได้ยังมีจำนวนร้อยกว่าตัว

เมื่อหลอมพลังระเบียบระดับสวรรค์เหล่านี้ จนบัดนี้พลังปราณของหลินสวินมาถึงขั้นดับเทพขั้นกลางสัมบูรณ์แล้ว ห่างจากขั้นดับเทพขั้นปลายเพียงก้าวเดียว

“ไม่ผิด”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ นัยน์ตาเจือแววตั้งตาคอยเช่นกัน

เมื่อเทียบกับยามทะลวงขั้นกลางเมื่อคราวก่อนที่ใช้เวลาเพียงสองเดือน ในครั้งนี้จะทะลวงขั้นกลับต้องเปลืองเวลาไปเกือบหกปีเต็ม

ว่ากันถึงที่สุดก็เป็นเพราะจำนวนของสัตว์ปีศาจระดับสวรรค์มีน้อยเกินไป และพลังระเบียบที่สัตว์ปีศาจระดับปฐพีมีอยู่ก็ไม่อาจเติมเต็มความต้องการในการทะลวงขั้นของหลินสวินได้แล้ว

ทว่าสำหรับหลินสวิน ความก้าวหน้าระดับนี้ก็ไม่เลวแล้ว

อย่างน้อยหากไม่ได้เข้าร่วมศึกมรรคอมตะในครั้งนี้ เขายังไม่กล้าจินตนาการว่าหากต้องการให้พลังปราณทะลวงขั้นดับเทพขั้นปลายจะต้องเสียเวลายาวนานขนาดไหน

เวลาพันปียังถือว่าน้อยไป!

“ไม่อาจไม่พูด ข้าอยู่มานานขนาดนี้ เจ้าหนูอย่างเจ้าเป็นคนเดียวที่ทะลวงสู่ขั้นดับเทพได้เร็วที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ”

หลีเจินทอดถอนใจ ไม่อาจกลบซ่อนความสะเทือนไหวภายในใจได้จริงๆ

หากอยู่ที่โลกภายใน ความเร็วในการเลื่อนขั้นเช่นนี้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง สามารถสร้างสถิติที่ไม่มีใครทำลายได้!

“ใครใช้ข้ามีพลังปราณเพียงขั้นดับเทพขั้นต้นยามเข้าร่วมศึกมรรคอมตะเล่า”

หลินสวินก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน

ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละขุมอำนาจที่เข้าร่วมศึกมรรคอมตะครั้งนี้ แทบทุกคนล้วนมีมรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ ต่อให้พลังระเบียบที่พวกเขาได้รับจะมากแค่ไหนก็ไม่ได้มีส่วนช่วยต่อพลังปราณในตัวสักเท่าไรนัก

อย่างเช่นหลีเจินที่บอกหลินสวินตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพลังระเบียบเหล่านี้

ผู้เข้าร่วมศึกอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน

เช่นนี้ก็ขับเน้นให้การเลื่อนขั้นของหลินสวินดูก้าวกระโดดรวดเร็วยิ่ง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลินสวินกำลังอาศัยพลังระเบียบที่ไขว่คว้ามาได้ ไล่ตามผู้เข้าร่วมศึกคนอื่นๆ ในแดนมารสิบทิศในแง่พลังปราณ!

แต่หากพูดถึงพลังต่อสู้ นี่ก็ไม่เหมือนกันแล้ว

อย่างน้อยตอนอยู่ขั้นดับเทพขั้นต้น หลินสวินก็สังหารผู้เข้าร่วมศึกไปไม่น้อย

และเขาในตอนนี้กำลังจะทะลวงจากขั้นดับเทพขั้นกลางสู่ขั้นดับเทพขั้นปลาย!

วันนั้นหลินสวินหาสถานที่ปักหลักแห่งหนึ่ง วางประทับผนึกเวลา และนำพลังระเบียบระดับสวรรค์ต้นกำเนิดที่รวบรวมมาได้ในระยะนี้ออกมาจากเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ก่อนเริ่มนั่งสมาธิฝึกปราณ

หลีเจินก็คอยคุ้มครองอยู่ด้านข้าง

ห้าวันให้หลัง

จู่ๆ กลางฟ้าดินก็เกิดเสียงสนั่นอึงอลอื้ออึงขึ้นระลอกหนึ่ง ฟ้าดินสะเทือนไหว จากนั้นเสียงสัตว์ปีศาจระลอกแล้วระลอกเล่าดังลอยมาจากบริเวณไกลโพ้น กึกก้องประหนึ่งเสียงฟ้าคำรามกัมปนาท

ตูมโครม! ตูมโครม!

แรงสะเทือนนั้นรุนแรงเกินไป ทำเอาหลีเจินใจเต้นเนื้อกระตุกไประลอกหนึ่งเช่นกัน เขาดีดตัวผึง ก็เห็นกลางฟ้าดินไกลโพ้นปรากฏเส้นสีดำยาวเหยียดสายหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาทางนี้ด้วยความเร็วน่าตกใจ

สิ่งที่รวมตัวจนกลายเป็นเส้นสีดำพาดขวางกลางฟ้าดินนั่น ถึงกับเป็นเงาร่างสัตว์ระเบียบจำนวนนับไม่ถ้วน ปกคลุมฟ้าดินดุจดั่งกระแสน้ำเชี่ยว พวกมันร้องคำรามคลั่ง เหมือนกลายเป็นกระแสน้ำที่หอบม้วนภูผาธารา ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี สุริยันจันทราหม่นแสง ผืนดินล้วนสะเทือนรุนแรงประหนึ่งจะพังถล่ม

อานุภาพระดับนั้นทำให้หลีเจินยังอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้

ทัพสัตว์ปีศาจ!

ภัยพิบัติท่วมฟ้าอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของสัตว์ระเบียบนับไม่ถ้วน!

…………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท