Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2858 อดีตของนาง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2858 อดีตของนาง

ตอนที่ 2858 อดีตของนาง

หลินสวินอึ้งงัน เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยขึ้น “ก็ดี”

เขาใคร่ครวญได้รางๆ ว่าที่จี้ซานไห่อยากแข่งขันเช่นนี้กับตน จุดหลักไม่ได้อยู่ที่ผลแพ้ชนะ หากแต่อยากทดสอบความแข็งแกร่งของตน

ไกลออกไปถานหลิวอวิ๋น ผูซงจื่อและเยวี่ยโหยวเฟิงล้วนลอบถอนหายใจโล่งอก

พวกเขาเก็บทรัพย์หลังศึกอยู่ข้างหลังตลอดทาง หากเทียบจากจำนวนสัตว์ระเบียบที่ล่าได้ในท้ายที่สุด ก็ยังพูดยากจริงๆ ว่าใครแพ้ใครชนะ

หลังจากหลินสวินใช้กายมรรคทั้งห้าในตอนสุดท้ายนี้ จำนวนสัตว์ระเบียบที่ล่าได้ก็พุ่งกระฉูดขึ้นหนึ่งช่วงใหญ่จริงๆ

หลีเจินก็ลอบถอนหายใจโล่งอกเช่นกัน

สิ่งที่เขารวบรวมมาตลอดทางคือทรัพย์หลังศึกของหลินสวิน และรู้เกี่ยวกับคะแนนต่อสู้ในตอนสุดท้ายของหลินสวินดีที่สุด เพียงแต่ไม่อาจมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะจี้ซานไห่ได้หรือไม่กันแน่

แต่ตอนนี้เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว

“พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”

จี้ซานไห่เดินมาที่ด้านข้างหุบเหวมารปฐพี แขนเสื้อกว้างสีเรียบพลิ้วไหว พิสุทธิ์ผ่องใสราวหยก เงียบสงบดุจกล้วยไม้

หลีเจินและพวกถานหลิวอวิ๋นสบตากันปราดหนึ่งและถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ สละที่ตรงนี้ให้กับหลินสวินและจี้ซานไห่

นี่ทำให้หลินสวินยิ่งใคร่รู้มากขึ้น ว่าจี้ซานไห่อยากบอกความลับแบบไหนให้ตนฟังกันแน่

จี้ซานไห่นิ่งเงียบเนิ่นนานค่อยกล่าว “ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ในบ้านข้ามีหญิงที่พรสวรรค์โดดเด่นกว่าข้า รากฐานพลังแน่นหนากว่าข้า สติปัญญาน่าทึ่งกว่าข้า นางถูกผู้เฒ่าในตระกูลมองเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล ถูกทุกคนในตระกูลมองเป็นความภาคภูมิใจ”

หลินสวินแปลกใจอยู่บ้าง แต่ยังคงอดทนฟังต่อไป

“ไม้เด่นเกินไพร ลมย่อมพัดหักโค่น ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งยิ่ง ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน บางทีอาจเพราะนางสมบูรณ์แบบเกินไป ถึงได้พบเจอหายนะที่คาดไม่ถึง”

“หายนะอะไร” หลินสวินประหลาดใจ

ด้วยขุมอำนาจของเผ่าเทพตระกูลจี้ ยังไม่สามารถปกป้องผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้อีกหรือ

มุมปากจี้ซานไห่เผยแววเยาะหยันเสี้ยวหนึ่ง “นี่เป็นหายนะที่น่าสังเวชยิ่งอย่างหนึ่ง ล้วนเกิดขึ้นในทุกวัน ขุมอำนาจแต่ละตระกูลล้วนต้องเผชิญ”

น่าสังเวช!

คำอธิบายเช่นนี้ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่าหายนะนี้ไม่ถึงขั้นเป็นภัยพิบัติที่สะเทือนฟ้าดินอะไร และไม่ใช่เรื่องพิเศษหรือหาพบเห็นได้ยากอย่างแน่นอน

“น่านฟ้าที่เก้ามีสามสิบหกเผ่าเทพ สิบสองเผ่าเทพนิรันดร์ และยี่สิบสี่เผ่าเทพอมตะ ตระกูลจี้ของข้าเป็นหนึ่งในสิบสองเผ่าเทพนิรันดร์”

เสียงจี้ซานไห่เสนาะหู ใสไพเราะดุจน้ำพุ “ตระกูลจี้ของข้ามีสตรีที่ได้รับความสนใจจากทุกคนเช่นนี้ ย่อมถูกเผ่าเทพนิรันดร์อื่นๆ ล่วงรู้เป็นธรรมดา”

“ในช่วงหลายปีมานี้มีเฒ่าชรามากมายมาสู่ขอถึงที่ หวังว่าบุตรเทพในตระกูลพวกเขาจะได้แต่งหญิงผู้นั้นเข้าตระกูล ถึงขั้นที่เผ่าเทพนิรันดร์ที่อยู่เบื้องหลังเฒ่าชราพวกนั้นล้วนออกหน้าเพราะต้องการแย่งผู้หญิงคนนี้ไปครอง แย่งชิงกันอย่างหนักหน่วง”

“เรื่องนี้ก็สะเทือนไปทั่วน่านฟ้าที่เก้าเช่นนั้น วุ่นวายจนคนใต้หล้าต่างรู้กันทั่ว”

“และเพราะเรื่องฉาวที่แย่งกันแต่งงาน ทำให้ชื่อเสียงของผู้หญิงคนนี้เลื่องลือทั่วหล้า ทุกคนล้วนสงสัยใคร่รู้ว่านางจะงดงามปานใด สะดุดตาแค่ไหน ถึงได้ทำให้เผ่าเทพนิรันดร์แต่ละตระกูลล้วนยอมเข้าไปแย่งชิง”

กล่าวถึงตรงนี้แววตาจี้ซานไห่ก็เจือแววซับซ้อนอย่างแปลกประหลาด

จากนั้นนางถอนใจเบาๆ “แต่ไม่มีใครรู้ เพราะผู้หญิงคนนี้กลับทำให้ในตระกูลจี้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น”

“มีคนหวังให้นางแต่งงานออกไป ใช้จุดนี้เชื่อมความสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับเผ่าเทพนิรันดร์อื่น สามารถทำให้ฐานะของทั้งตระกูลจี้มั่นคงขึ้นอีกขั้น”

“และมีคนไม่อยากให้ทำเช่นนี้ ทั้งยังกล่าวโทษเฒ่าชราที่หวังอยากให้นางแต่งงานออกไปพวกนั้นว่ามีเจตนาชั่วร้าย เพราะหมายจะเตะนางออกจากตระกูล เพื่อให้คนอื่นมีโอกาสไขว่คว้าตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป”

“ที่น่าสนใจคือคนในตระกูลที่หวังอยากให้นางแต่งงานออกไปเหล่านั้นก็เกิดความขัดแย้งกันเอง บางคนหวังให้นางแต่งเข้าเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลเย่ บางคนหวังให้นางแต่งเข้าตระกูลเจวี๋ย บางคนหวังให้นางแต่งเข้าตระกูลไท่เฮ่า… ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทะเลาะกันรุนแรง วุ่นวายจนไม่อาจหาข้อสรุปได้”

หลินสวินฟังถึงตรงนี้แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ กล่าวว่า “หากกล่าวเช่นนี้ ตอนนั้นในตระกูลจี้ของพวกเจ้าก็ยุ่งเหยิงมากจริงๆ เหตุใดจึงไม่มีใครสยบเรื่องทั้งหมดนี้”

จี้ซานไห่กล่าว “เรื่องเกี่ยวโยงถึงผลประโยชน์หลักของตระกูล แม้แต่ผู้อาวุโสที่แจ้งมรรคระดับนิรันดร์ก็ยังขัดแย้งกันเอง มีหรือจะสยบเรื่องทั้งหมดนี้ได้ นับประสาอะไรกับที่ผู้หญิงคนนั้นสุดท้ายก็ยังคงเป็นผู้หญิง ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในสิบสองเผ่าเทพนิรันดร์แห่งน่านฟ้าที่เก้ายังไม่เคยมีผู้นำตระกูลหญิงมาก่อน”

“แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสมากมาย มองว่านางเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียงคัดค้าน”

หลินสวินถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้คิดอย่างไรเล่า”

ประโยคเดียวทำเอาจี้ซานไห่คล้ายสะเทือนใจสุดขีด มองหลินสวินแล้วกล่าวว่า “เรื่องน่าเศร้าที่สุดก็อยู่ตรงนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบทุกคนล้วนอ้างว่าคิดเพื่อนาง หวังดีต่อนาง วางแผนแทนนาง เอาความต้องการและความคิดของตัวเองไปบังคับนาง แต่กลับไม่มีใครถามสักคำว่านางคิดอย่างไร…”

“แม้แต่บิดาของนาง ผู้นำตระกูลจี้ก็บอกนางเพียงว่า ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ก็ต้องยึดประโยชน์ส่วนรวมของตระกูลเป็นสำคัญ”

มุมปากจี้ซานไห่เผยแววถากถาง “ผู้หญิงคนเดียวกลับทำให้ตระกูลจี้ทั้งบนล่างวุ่นวายจนไม่อาจสงบสุข ถึงขั้นจมสู่การต่อสู้เพราะเรื่องนี้ น่าขันมากใช่หรือไม่”

“ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็มีคำกล่าวว่าหญิงงามเป็นภัย ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบผู้หญิงคนนั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลย นางผิดหรือ”

หลินสวินกล่าวโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าไม่ ตรงกันข้ามเฒ่าชราพวกนั้นในตระกูลของเจ้า… ออกจะทำให้คนสะท้อนใจเกินไปแล้ว”

จี้ซานไห่กล่าว “หากไม่ได้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น ผู้หญิงคนนี้ก็จะยังเป็นดาวเด่นสะดุดตาที่สุดในตระกูล เป็นความภาคภูมิใจของทั้งตระกูล แต่หลังจากเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น นางก็เป็นได้เพียงตัวหมากในสายตาผู้อื่น เพื่อสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ส่วนรวม ผลประโยชน์ของตระกูล ทำได้เพียงเดินตามคำสั่ง”

“จากนั้นล่ะ” หลินสวินถาม

จี้ซานไห่กล่าว “ต่อมาผู้หญิงคนนั้นจากไปเพียงลำพัง ตัวหมากหนีออกจากกระดานแล้ว ทำให้พวกเฒ่าชราที่ประชันหมากเหล่านั้นล้วนเหลอหลากันหมด”

“เฒ่าชราที่หวังให้นางแต่งออกไปกล่าวโทษนางที่ไม่สนใจส่วนรวม ทำให้ความทุ่มเทของพวกเขาสูญเปล่า”

“เฒ่าชราที่หวังให้นางขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปก็เดือดดาลหาที่เปรียบไม่ได้ คิดว่านางรับผิดชอบการใหญ่ไม่ได้ ไม่อดทนต่อความลำบาก ทำให้คนผิดหวัง”

“สรุปแล้วทั้งตระกูลล้วนเอาความขุ่นข้องทั้งหมดไปกล่าวโทษนาง”

“เผ่าเทพนิรันดร์ที่คิดอยากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลจี้เหล่านั้นก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานอีก”

“ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา แผนการของเฒ่าชราในตระกูลพวกนั้นล้วนสูญเปล่าทั้งหมด ยิ่งอับอายขายหน้าต่อคนทั่วหล้า และเรื่องนี้ถูกมองเป็นความอัปยศของตระกูลจี้ จนบัดนี้ก็มีคนเอ่ยถึงน้อยคนนัก”

“และเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นยิ่งกลายเป็นข้อห้ามของทั้งตระกูลจี้ ถึงปัจจุบันยังมีเฒ่าดึกดำบรรพ์บางส่วนที่โกรธแค้นเรื่องนี้ฝังใจ”

หลินสวินฟังจบในใจก็อดเศร้าหมองไม่ได้

เนิ่นนานกว่าเขาจะเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้เหมือนตระกูลจี้ของพวกเจ้าใช้ตะกร้าไผ่ตักน้ำ ล้วนสูญเปล่า และการจากไปของผู้หญิงคนนั้นกลับทำให้เผ่าเทพนิรันดร์อื่นๆ ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ถึงอย่างไรผู้หญิงคนนั้นมีทั้งชื่อเสียงโด่งดังทั้งยังสะดุดตาเช่นนี้อีก ภายหน้าต้องเป็นคนน่าทึ่งคนหนึ่งแน่นอน แต่กลับต้องออกจากตระกูลจี้เพราะเรื่องนี้ เผ่าเทพนิรันดร์พวกนั้นย่อมหวังให้เป็นเช่นนั้นแน่นอน”

จี้ซานไห่กล่าว “ไม่ผิด ต่อมาตระกูลจี้ก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้ ทว่าทั้งหมดล้วนไม่อาจย้อนคืนแล้ว”

หลินสวินส่ายหน้า “แม้จะมีโอกาสย้อนคืน หากเกิดเรื่องเหมือนปีนั้นขึ้นอีก ผู้หญิงคนนี้ก็คงยังเป็นได้เพียงหมากตัวหนึ่งอยู่เช่นเดิม”

จี้ซานไห่อดอึ้งไปไม่ได้ “เจ้า… ก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หลินสวินกล่าว “ไม่ใช่ข้าคิดเช่นนี้ หากแต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้ หากผู้หญิงคนนี้อยู่ในตระกูลพวกเจ้า ก็จะขัดขวางหนทางที่ผู้อื่นจะไขว่คว้าตำแหน่งผู้นำตระกูล และเผ่าเทพนิรันดร์อื่นๆ ก็จะอาศัยโอกาสนี้เอ่ยถึงการแต่งงาน ภายนอกดูเหมือนจะเชื่อมความสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานกับตระกูลจี้ของพวกเจ้า แต่อันที่จริงแล้วเพื่อจะแย่งชิงไข่มุกเม็ดงามที่สะดุดตาที่สุดในตระกูลจี้ของพวกเจ้าต่างหาก ถ้าปัญหาสองข้อนี้ไม่คลี่คลาย ก็อย่าพูดถึงการย้อนคืนอะไรเลย”

จี้ซานไห่ถอนใจหนักๆ “ในตระกูลจี้ก็มีผู้อาวุโสมากมายเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ยามคิดอยากคลี่คลายกลับไม่ง่ายดายนัก”

หลินสวินกล่าว “ขอบังอาจถามสักประโยค ความลับที่เจ้าจะบอกข้าคือเรื่องพวกนี้หรือ”

จี้ซานไห่กล่าว “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร หลังออกจากตระกูลจี้แล้วไปที่ไหนต่อ”

หลินสวินเลิกคิ้ว ตระหนักถึงอะไรบางอย่าง เอ่ยว่า “หรือว่าข้ากับนางรู้จักกัน”

“ไม่ผิด”

จี้ซานไห่ไม่ได้ปฏิเสธ “ปีนั้นหลังจากนางจากไป นางกังวลว่าจะถูกตระกูลหาพบ จึงใช้วิชาต้องห้ามอย่างหนึ่งปิดผนึกความทรงจำและมรรควิถีในตัว และใช้ทุกวิธีปิดบังตัวตนเข้าสู่แหล่งสถานศุภโชค”

“เพราะนางรู้ว่าถึงแม้โลกหล้าจะกว้างใหญ่ แต่ด้วยอำนาจของตระกูลจี้ย่อมสามารถหาตัวนางพบอย่างง่ายดาย มีเพียงเข้าสู่แหล่งสถานศุภโชคเท่านั้นจึงจะมีโอกาสหลีกเลี่ยงการถูกตระกูลจับตัวกลับไป”

ฟังถึงตรงนี้ในใจหลินสวินเย็นวาบ ในสมองคล้ายมีสายฟ้าวาบผ่าน กล่าวว่า “คนที่เจ้าพูดถึงคือ… ซีหรือ”

จี้ซานไห่กล่าว “นางชื่อจี้ซี เป็นพี่สาวของข้า”

ในใจหลินสวินผุดระลอกคลื่นอารมณ์ที่บอกไม่ถูกขึ้นมา

เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าซีถึงกับมาจากเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลจี้แห่งน่านฟ้าที่เก้า นานมาแล้วก่อนหน้านี้ยิ่งมีชื่อเสียงทั่วน่านฟ้าที่เก้า ถูกมองเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลจี้ ถูกมองเป็นความภาคภูมิใจของทั้งตระกูลจี้ และถูกเผ่าเทพนิรันดร์แต่ละตระกูลแย่งกันทาบทามแต่งงาน…

นางในตอนนั้นต้องสะดุดตามากเพียงใด

ทว่าสตรีแห่งยุคเช่นนี้ กลับกลายเป็นตัวหมากในคลื่นลมครั้งหนึ่ง ชีวิตไม่ใช่ของตน ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง!

ปีนั้นนางต้องเจ็บปวดและผิดหวังแค่ไหนถึงได้ตัดสินใจออกจากตระกูลอย่างเด็ดขาด

ที่น่าเศร้าคือการจากไปของนาง กลับแลกมาซึ่งการกล่าวโทษอย่างเดือดดาลของคนในตระกูล รวมถึงความผิดหวังที่มีต่อนาง!

นี่น่าขันปานใด

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ชื่อของนางยังเป็นเหมือนสิ่งต้องห้ามในตระกูลจี้ ถูกคนเอ่ยถึงน้อยครั้งนัก ถึงขั้นยังมีเฒ่าดึกดำบรรพ์มากมายแค้นฝังใจ!

ทั้งหมดนี้ทำให้หลินสวินทั้งเดือดดาลและสงสาร

เนิ่นนานเขาถึงกล่าวว่า “หากรู้เรื่องพวกนี้แต่แรก ปีนั้นต่อให้ต้องเสียค่าตอบแทนทั้งหมด ข้าก็ไม่มีทางให้จวินเฟิงเลี่ยคนนั้นพาตัวนางไป!”

ปีนั้นยามอยู่แหล่งสถานคุนหลุน จวินเฟิงเลี่ยเดินทางข้ามฟ้าดารามาพาตัวซีไป

จนบัดนี้หลินสวินยังจำลักษณะของจวินเฟิงเลี่ยคนนั้นได้ เขาสวมชุดเกราะ สะพายทวนศึกสีเงิน ผมยาวสีขาวหิมะทั่วศีรษะม้วนเป็นมวย ดวงหน้าหล่อเหลาไร้ทัดเทียม

จวินเฟิงเลี่ยเป็นระดับอมตะคนแรกที่หลินสวินเคยพบ แต่ยามเผชิญหน้ากับซีกลับเคารพนบนอบราวกับข้ารับใช้ วาจาเต็มไปด้วยความเคารพอย่างที่สุด

ตอนนั้นหลินสวินก็ตระหนักได้ว่าฐานะของซีต้องไม่ธรรมดายิ่งอย่างแน่นอน

เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าอดีตของซีจะทุกข์เข็ญเช่นนี้ ทำให้คนปวดใจนัก

…………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท