ตอนที่ 2859 ข่าวคราวของเหล่าศิษย์พี่
ข้างหุบเหวมารปฐพี ฟ้าดินมืดมัว
จี้ซานไห่มองแววเดือดดาลยากปกปิดบนใบหน้าของหลินสวินแล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าใครก็ตามในตระกูลจี้ของข้า ขอเพียงฟื้นฟูและปลุกมรรควิถีระดับอมตะ ก็จะถูก ‘ป้ายศิลาเทพบรรพชน’ ในตระกูลสัมผัสถึง”
นางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “นี่ก็หมายความว่า ตอนนั้นต่อให้ไม่ใช่จวินเฟิงเลี่ยมุ่งหน้าไปหาพี่สาวข้า ก็ต้องเป็นคนอื่นในตระกูลอยู่ดี”
“ตอนนี้… สถานการณ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง” หลินสวินถาม
จี้ซานไห่กล่าว “ถูกกักบริเวณแล้ว”
“กักบริเวณหรือ” หลินสวินขมวดคิ้ว
จี้ซานไห่กล่าว “ตระกูลต้องการให้ตัดสินใจเรื่องหนึ่ง”
“ตัดสินใจอะไร”
“แต่งงานกับไท่เฮ่าจื่อบุตรเทพตระกูลไท่เฮ่า”
“ปฏิเสธไม่ได้หรือ”
“หากปฏิเสธก็เท่ากับว่าทั้งชาตินี้ล้วนต้องใช้ชีวิตด้วยการถูกกักบริเวณไปตลอด”
ภายในใจหลินสวินผุดไอหนาวสะท้านอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “บิดาของเจ้าไม่ใช่ผู้นำตระกูลหรือ เขาตัดใจทำกับบุตรสาวแท้ๆ เช่นนี้ได้หรือ”
จี้ซานไห่กล่าว “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คนที่ส่งพี่สาวข้าออกจากตระกูลเงียบๆ ในปีนั้น… ก็คือท่านพ่อของข้า ทว่าตอนนี้แม้ท่านพ่อข้าจะเป็นผู้นำตระกูล แต่อำนาจการปกครองถูกผู้อาวุโสคนอื่นในตระกูลควบคุมนานแล้ว ไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิดตัวหนึ่ง”
หลินสวินอึ้งไป นิ่งเงียบเนิ่นนานแล้วกล่าว “ปีนั้นไม่ควรให้จวินเฟิงเลี่ยพาตัวไปเช่นนั้นจริงๆ!”
ในเสียงเจือแววคับแค้น
“ที่บอกเรื่องพวกนี้แก่เจ้า เพียงเพราะยามข้าและพี่สาวข้าพูดคุยกัน ได้รู้ว่าช่วงหลายปีนั้นตอนอยู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราเจ้าคอยอยู่เคียงข้างนางมาโดยตลอด ไม่ได้จะยุยงให้เจ้าไปช่วยคนในตระกูลจี้ของข้า อันที่จริงด้วยพลังในตอนนี้ของเจ้า ถึงไปก็เท่ากับไปตายเปล่า” จี้ซานไห่กล่าว
หลินสวินพ่นลมหายใจอัดอั้นออกมาเฮือกยาว กล่าวว่า “ตอนนี้อาจไม่ได้ แต่ใช่ว่าภายหน้าจะไม่ได้”
จี้ซานไห่จับจ้องหลินสวินครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าสามารถเชื่อใจเจ้าได้หรือไม่”
หลินสวินกล่าว “ต่อให้เจ้าไม่เชื่อ ข้าก็จะทำเช่นนี้”
เสียงหนักแน่น
นานมาแล้วตอนที่เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ก็ได้เข้าไปรู้จักกับซีในโถงมรรคาสวรรค์ ในช่วงหลายปีหลังจากนั้นซีให้การช่วยเหลือแก่เขามากมาย และลงมืออกหน้าแทนเขา บดบังลมฝนให้เขาหลายครั้ง
จนตอนนี้ได้รู้ว่าสถานการณ์ของซีน่าเป็นห่วงยิ่ง มีหรือเขาจะนิ่งดูดาย
ต่อให้ต้องทุ่มสุดชีวิต เขาก็ต้องไปช่วยซีให้ได้!
มุมปากชมพูชุ่มฉ่ำของจี้ซานไห่เผยรอยยิ้ม กล่าวว่า “ลืมบอกเจ้าไป พี่สาวไม่ให้ข้าบอกเรื่องเกี่ยวกับนางให้เจ้าฟัง เลี่ยงไม่ให้เจ้าเข้าไปพัวพันในคลื่นลมของตระกูลจี้ของข้า”
“แต่ข้าดันทำเช่นนี้เสียแล้ว ข้าแค่อยากจะดูว่าเจ้าหลินสวินเป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ข้ารู้แล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้จี้ซานไห่เอ่ยต่อว่า “ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกังวลใจเพราะเรื่องนี้ แม้ว่าพี่สาวข้าจะถูกกักบริเวณแต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต หากวันใดวันหนึ่งเจ้ามีความมั่นใจว่าจะไปช่วยพี่สาวข้าได้แล้ว ข้าสามารถช่วยเจ้าได้”
หลินสวินประสานหมัดคารวะอย่างจริงจัง “ขอบคุณยิ่งนัก”
และเป็นเวลานี้เสียงหัวเราะสดใสสายหนึ่งดังขึ้นจากจุดที่ห่างไกลออกไป
“ศิษย์น้อง!”
เงาร่างผอมสูงแข็งแรงของจิ่งจงเยวี่ยพุ่งปราดมาจากไกลๆ พร้อมเสียง สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“พวกเจ้าคุยกันเถอะ”
จี้ซานไห่หมุนตัวออกไป
“ศิษย์พี่!”
หลินสวินก็เดินไปต้อนรับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“เจ้ารู้จักกับแม่นางจี้มาก่อนหน้านี้หรือ”
มองดูเงาร่างอรชรของจี้ซานไห่ที่เดินจากไป จิ่งจงเยวี่ยกล่าวอย่างค่อนข้างสนอกสนใจ
หลินสวินส่ายหน้า “เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งแรก แต่พี่สาวของนางเป็นสหายเก่าของข้า ศิษย์พี่ก่อนหน้านี้ท่านไปไหนมาหรือ”
จิ่งจงเยวี่ยยิ้มกล่าว “บังเอิญเจอคู่ต่อสู้บางส่วน อดใจไม่ไหวเลยฆ่าไปนิดหน่อย ทำให้มาล่าช้าไปบ้าง”
“พบกับใครหรือ” หลินสวินอึ้งงัน
“แน่นอนว่าเป็นผู้เข้าร่วมศึกของสิบยักษ์ใหญ่อมตะ”
จิ่งจงเยวี่ยทอยิ้ม “ข้าไม่ได้ร้ายกาจเหมือนเจ้า ซุ่มอยู่นานเพิ่งสบโอกาสยิงสังหารไปหกคน ยังเกือบถูกคนขวางทางอีก”
หลินสวินกล่าว “ให้ข้าเดา ศิษย์พี่ท่านต้องยิงศรสังหารหนึ่งคนหนึ่งดอก ฆ่าอย่างเฉียบขาดเป็นแน่”
จิ่งจงเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าพิกล “โอกาสจู่โจมมีเพียงครั้งเดียว ศัตรูมีหรือจะให้โอกาสข้าปล่อยศรหกดอกต่อเนื่อง ข้าก็แค่ยิงศรเก้าดอกออกมาในคราวเดียว สังหารไปหกคน บาดเจ็บสาหัสสามคนก็เท่านั้น”
หลินสวินสูดหายใจสะท้าน “กล่าวเช่นนี้ ข้ายังดูเบาความสามารถของศิษย์พี่ไป”
จิ่งจงเยวี่ยหัวเราะฮ่าๆ “มรรคธนู หัวใจหลักคือต้องสังหารในการโจมตีเดียว ไม่ขยับยังพอทำเนา แต่เมื่อขยับต้องบุกโจมตีเต็มกำลัง อันที่จริงหลังจากยิงศรเก้าดอกนี้ออกไป มรรควิถีในตัวข้าล้วนถูกสูบไปมากกว่าครึ่งและไม่อาจสู้ต่อไปได้อีก ทำได้เพียงเผ่นหนีออกมาไกลๆ”
หลินสวินกล่าวอย่างอัศจรรย์ใจ “ต้องหาโอกาสเปิดหูเปิดตาพลังแห่งมรรคธนูของศิษย์พี่ให้ได้แล้ว”
จิ่งจงเยวี่ยตบไหล่เขาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไป ไปหาที่ดื่มเหล้า ดื่มไปคุยไป”
หลินสวินตอบรับขันแข็ง
…
ด้านข้างหุบเหวมารปฐพี กองไฟลุกโชน
หลินสวิน หลีเจิน จิ่งจงเยวี่ย จี้ซานไห่ ผูซงจื่อ ถานหลิวอวิ๋น และเยวี่ยโหยวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ต่างคนต่างนำสุราบ่มล้ำค่าออกมา ชนจอกดื่มสังสรรค์ บรรยากาศกลมเกลียว
ในสี่หอบรรพจารย์ ความสัมพันธ์ของลัทธิแรกกำเนิดและลัทธิวิญญาณดีที่สุด ผู้แข็งแกร่งของสองหอบรรพจารย์ล้วนคบค้ามีไมตรีและสนิทคุ้นเคยกัน
ระหว่างสนทนาก็ทำให้หลินสวินได้รู้เรื่องราวบางส่วนของพวกศิษย์พี่สามรั่วซู่ ศิษย์พี่สิบห้าชิงถิง ศิษย์พี่สิบเก้าเสวี่ยหยาในลัทธิวิญญาณ
สถานการณ์ภายในลัทธิวิญญาณคล้ายคลึงกับลัทธิแรกกำเนิดอยู่บ้าง
มีผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะไม่น้อยดำรงตำแหน่งสูง อำนาจล้นฟ้าเช่นเดียวกัน
อย่างเช่นตระกูลจ้ง ตระกูลจิง ตระกูลตงหวงเป็นต้น
ทว่าช่วงหลายปีนี้ภายใต้แผนการของรั่วซู่ บรรดาผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ล้วนปักหลักมั่นคง และเริ่มกุมอำนาจมากขึ้นแล้ว
ปัจจุบันนี้แม้แต่พวกเฒ่าชราที่มีชาติกำเนิดมาจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ในลัทธิวิญญาณก็ยังทำอะไรเหล่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกรั่วซู่ไม่ได้
แน่นอนว่าที่พวกรั่วซู่สามารถคว้าตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ได้ ก็ไม่พ้นได้รับการสนับสนุนจากเฒ่าดึกดำบรรพ์ลัทธิวิญญาณไม่น้อย
หอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณมี ‘แปดเขาสี่เรือน’
แปดเขา คล้ายกับเก้ายอดเขาของลัทธิแรกกำเนิด แต่ละเขาล้วนมีตำแหน่งเจ้าภูเขา ผู้พิทักษ์ ศิษย์สายใน ศิษย์สายนอก เป็นต้น
ส่วนสี่เรือนเทียบเท่ากับสามหอของลัทธิแรกกำเนิด แบ่งออกเป็นเรือนวิญญาณบูรพา เรือนยุทธ์ทักษิณ เรือนข่ายอุดร เรือนเมฆาประจิม
แต่ละเรือนล้วนมีตำแหน่งหัวหน้าเรือน จอมวิญญาณ เจ้าวิญญาณ ราชันวิญญาณ และบุตรวิญญาณ
หัวหน้าเรือนลัทธิวิญญาณเทียบเท่ากับหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด ราชครูฟ้าลัทธิพ่อมด และตรีโลกพุทธลัทธิฌาน
จอมวิญญาณของลัทธิวิญญาณเทียบเท่ากับรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด ราชครูดินลัทธิพ่อมด และจอมมุนีลัทธิฌาน
ตอนนี้รั่วซู่กลายเป็นจอมวิญญาณแห่งเรือนวิญญาณบูรพาของลัทธิวิญญาณแล้ว หรือก็คือเท่ากับคนใหญ่คนโตระดับรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด!
ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นๆ ต่างก็มีตำแหน่งของตัวเอง
อย่างจิ่งจงเยวี่ยก็เป็นเจ้าวิญญาณคนหนึ่งในเรือนยุทธ์ทักษิณของลัทธิวิญญาณ เทียบเท่ากับตำแหน่งผู้อาวุโสสามหอของลัทธิแรกกำเนิด
สรุปแล้วในช่วงหลายปีนี้ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่เข้าสู่ลัทธิวิญญาณล้วนสำแดงประกายคมอันน่าทึ่งสุดขีด ไม่เพียงทะลวงขั้นอย่างรวดเร็ว พลังต่อสู้ยังเรียกได้ว่าอหังการในหมู่คนระดับเดียวกัน และสร้างความฮือฮาไม่รู้เท่าไรภายในลัทธิวิญญาณ
แต่สำหรับหลินสวิน นี่กลับเป็นเรื่องปกติ!
ควรรู้ว่าก่อนหน้านี้นานมาแล้ว บรรดาผู้มากความสามารถที่เดินทางจากทางเดินโบราณฟ้าดารามาแหล่งสถานศุภโชค อย่างพวกอู๋ยาง หลงเซี่ยง ต้นไม้เทพหมื่นดารา ซิงเจีย ล้วนแจ้งมรรคนิรันดร์กันหมดแล้ว
ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนรุ่นเดียวกับผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ ถึงขั้นที่หากพูดถึงพรสวรรค์และรากฐานพลัง ยังโดดเด่นกว่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ด้วยซ้ำ
แต่เหตุใดจนบัดนี้กลับแทบไม่มีใครแจ้งมรรคนิรันรด์
หัวใจหลักอยู่ที่ศัตรูของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลมีมากเกินไป อันตรายที่ต้องเผชิญก็มากเกินไปเช่นกัน จึงติดอยู่ที่ทางเดินโบราณฟ้าดารามาตลอดตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
กระทั่งหลังจากเอาชนะจอมจักรพรรดิไร้นามได้ ถึงได้ออกจากทางเดินโบราณฟ้าดารา มุ่งหน้าสู่โลกยอดนิรันดร์ด้วยกัน
หากไม่เป็นเช่นนี้ ด้วยพรสวรรค์และรากฐานพลังของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ เกรงว่าป่านนี้คงล้วนเหยียบย่างระดับนิรันดร์ไปนานแล้ว
หลินสวินเข้าใจเรื่องนี้ดียิ่ง
อย่างน้อยเขาก็รู้ชัดมาก ว่าหากตอนนั้นไม่ได้ออกจากทางเดินโบราณฟ้าดารา เขาในตอนนี้เกรงว่ายังจะติดอยู่ในระดับจักรพรรดิ ไม่ต้องเพ้อฝันถึงการแจ้งมรรคอมตะสักนิด
ทว่าเรื่องราวบนโลกล้วนมีได้มีเสีย
เพราะพลังปราณและศักยภาพถูกกดมานานเกินไป ในช่วงหลายปีนี้ที่มาถึงโลกยอดนิรันดร์ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลแต่ละคนก็เหมือนมังกรถูกขังทะยานฟ้า ศักยภาพที่กดข่มมานานได้รับการปลดปล่อย ไม่อยากให้มรรควิถีรุดหน้าแบบก้าวกระโดดยังยาก!
นอกจากนี้มรรคาที่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลแสวงหาล้วนไม่ใช่ธรรมดาทั่วไป ทำให้พวกเขาล้วนมีพลังต่อสู้โดดเด่นเป็นเลิศในทุกระดับขั้นพลัง
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเฉิดฉายในลัทธิวิญญาณ สำแดงประกายของตนออกมาได้!
หากไม่เพราะหลายปีนี้ต้องรับมือกับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ต้องรับมือกับความกดดันของศัตรูตัวฉกาจมากมาย ด้วยความสามารถของผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ความสำเร็จบนมรรคาย่อมไม่มีทางมีเพียงเท่านี้เด็ดขาด
…
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุด พวกจี้ซานไห่ก็ตัดสินใจเดินทางจากไป
นี่เป็นปีที่หกที่ศึกมรรคอมตะเริ่มขึ้น ยังต้องรออีกสามปีจึงจะสามารถเข้าสู่แดนมารปฐพีใต้หุบเหวมารปฐพีได้
ครั้งนี้พวกจี้ซานไห่เป็นตัวแทนของหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ ย่อมต้องล่าสัตว์ระเบียบให้มากๆ
หลินสวินและหลีเจินไม่ได้ร่วมเดินทางกับพวกเขา แยกกันเคลื่อนไหวจึงจะทำให้พวกเขาทั้งสองฝ่ายล่าสัตว์ระเบียบได้มากที่สุด
ก่อนจากไปจิ่งจงเยวี่ยสื่อจิตบอกหลินสวิน ว่าภายในร้อยปีระหว่างสี่หอบรรพจารย์ต้องมีการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ ให้หลินสวินพยายามคว้าตำแหน่งหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุสุดวิสัยอื่นใดก่อนการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจจะมาถึง
ลองคำนวณเวลาดูแล้ว ตอนนี้ห่างจากเวลาที่หัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์โหยวเป่ยไห่จะแจ้งมรรคนิรันดร์อีกเพียงแปดสิบปีเศษ
และก่อนจี้ซานไห่จะจากไปก็สื่อจิตบอกหลินสวินอีกว่า ภายในพันปีเคราะห์ยุคสมัยผันเปลี่ยนจะปะทุออกมา!
น่านฟ้าที่เก้าในตอนนี้ สิบสองเผ่าเทพนิรันดร์และยี่สิบสี่เผ่าเทพอมตะ ล้วนเริ่มเตรียมพร้อมเพื่อต้านทานอันตรายแห่งยุคสมัยดับสิ้นแล้ว
ข่าวนี้หลินสวินเคยได้ยินเฉินหลินคงพูดก่อนหน้านี้ยามอยู่แหล่งสถานศุภโชคแล้ว จึงไม่ได้แปลกใจนัก
หลังจากพวกจี้ซานไห่จากไป หลินสวินและหลีเจินก็ไปจากบริเวณใกล้เคียงหุบเหวมารปฐพีแห่งนี้เช่นกัน เงาร่างหายไปกลางฟ้าดินเวิ้งว้าง
หลังจากนั้นหลินสวินและหลีเจินทำเหมือนที่ผ่านมา บุกตะลุยไปตามแดนมารต่างๆ เพื่อล่าสัตว์ระเบียบ
เพียงแต่สัตว์ระเบียบที่พบเจอระหว่างทางยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
สำหรับหลินสวินที่มีพลังปราณขั้นดับเทพขั้นปลายในตอนนี้ ระเบียบระดับปฐพีล้วนไม่สามารถเติมเต็มความต้องการในการเลื่อนขั้นพลังปราณได้โดยสิ้นเชิง
แต่น่าเสียดาย สัตว์ปีศาจระดับสวรรค์น้อยเกินไป พลังระเบียบระดับสวรรค์ที่รวบรวมมาได้ย่อมน้อยนิดด้วยเช่นกัน
เวลาผันผ่านวันแล้ววันเล่า
จนถึงตอนสุดท้าย แม้แต่สัตว์ระเบียบระดับปฐพีก็ยากจะหาพบอีกเช่นกัน
ด้านหนึ่งเป็นเพราะมีสัตว์ระเบียบมากมายกระโจนเข้าสู่หุบเหวมารปฐพี อีกด้านก็เพราะผู้เข้าร่วมศึกจากแต่ละขุมอำนาจล้วนกำลังเสาะหาและล่าสัตว์ระเบียบเช่นกัน พื้นที่มากมายล้วนถูกกวาดล้าง
ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ คิดอยากล่าสัตว์ระเบียบจำนวนล้นหลามเหมือนก่อนหน้านี้อีกย่อมยากเย็นแสนเข็ญ
สุดท้ายหลินสวินกับหลีเจินจึงได้แต่หาสถานที่ปักหลัก เริ่มสงบจิตฝึกปราณ
ปีที่เก้าที่เข้าสู่แดนมารสิบทิศ ปราการที่ขวางทางเชื่อมสู่แดนมารปฐพีหายไปแล้ว ทั่วทั้งแดนมารสิบทิศฟ้าดินสะเทือนรุนแรง เสียงสนั่นอึงอลดุจฟ้าคำรามดังก้องเหนือเวิ้งฟ้า
ผู้เข้าร่วมศึกที่กระจายตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ล้วนแตกตื่นในทันที
——