Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2861 แค้นใหม่แค้นเก่า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2861 แค้นใหม่แค้นเก่า

ตอนที่ 2861 แค้นใหม่แค้นเก่า

ภูผาธาราร่วงโรย กลายเป็นซากปรักหักพัง

ระลอกคลื่นควันหลงจากการต่อสู้ดุจพายุคลั่งอาละวาดยังแผ่กระจายม้วนตลบอยู่กลางฟ้าดิน

ลัทธิพ่อมดอย่างพวกชางฝูเฟิง กับลัทธิฌานอย่างพวกเหวินเฉียวสุ่ยที่แอบดูการต่อสู้นี้มาตลอดต่างสีหน้าเคร่งเครียด

การต่อสู้นี้ดำเนินมาไม่ถึงครึ่งเค่อ

แต่กลับใช้คำว่า ‘สะท้านจิตใจ’ มาบรรยายได้!

การดักซุ่มที่ผู้เข้าร่วมศึกจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะตั้งท่ารอมานานโดยมีหวังเจวี๋ยฮ่วนเป็นผู้นำ กลับพ่ายแพ้ราบคาบหน้าประตูทางเข้าแดนมารปฐพีแห่งนี้

พวกหวังเจวี๋ยฮ่วนแพ้อย่างน่าสังเวชเกินไป!

วางแผนมานาน ทั้งยังปลดปล่อยไพ่ตายก้นกรุออกมาทั้งหมด

ยามเผชิญหน้ากับการจู่โจมกะทันหันนี้ ต่อให้เปลี่ยนเป็นพวกชางฝูเฟิง เหวินเฉียวสุ่ย ภายใต้สถานการณ์ไม่ทันตั้งตัวก็เกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส

ที่น่าเสียดายคือหลินสวินเตรียมป้องกันไว้ก่อนแล้ว

ใครต่างคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเคลื่อนไหวโดยใช้ร่างแยกสามพันร่าง ถึงกับทำให้วิธีการที่พวกหวังเจวี๋ยฮ่วนตั้งใจตระเตรียมมายังถูกผลาญไปสิ้น

อันตรายถึงชีวิตถูกสลายลงเช่นนี้ ยามเผชิญหน้ากับการจู่โจมจากร่างต้นของหลินสวินย่อมไร้กำลังตั้งรับ

ที่ทำให้ทุกคนหวาดผวาที่สุดก็คือ ในศึกนี้ร่างแยกมากมายของหลินสวินยังมีประโยชน์ในการสกัดกั้น ปิดตายทางหนีของพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนได้อีกด้วย

ในสถานการณ์เช่นนี้มีแต่ถูกฆ่าแกงได้ตามใจชอบเท่านั้น!

และในช่วงสุดท้ายเมื่อเห็นศรเทพที่ปรากฏขึ้นกะทันหันดอกนั้นเข้าสังหารหวังเจวี๋ยฮ่วน นี่ก็ทำให้ผู้เข้าร่วมศึกลัทธิพ่อมดและลัทธิฌานเหล่านั้นต่างสะท้านใจ

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

อานุภาพของหนึ่งศร ประหนึ่งคำพิพากษาจากฟ้าเบื้องบน!

หวังเจวี๋ยฮ่วน บุตรฟ้าประทานจากยักษ์ใหญ่อมตะอันดับหนึ่งผู้นี้ตายแล้ว เดิมเขาคิดจะสู้สุดตัว ก่อนตายยังหมายจะลากหลินสวินลงหลุมไปด้วยกัน

แต่น่าเสียดาย เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้น

หลังจากเขาถูกสังหาร กระทั่งมุกอสนีกาลเวลาที่กำลังจะปะทุของเขาเม็ดนั้นยังหมองลง ร่วงหล่นกลางห้วงอากาศทันที

แต่ยังไม่ทันตกถึงพื้นก็ถูกหลินสวินคว้าผ่านอากาศมาได้ จากนั้นสายตาเขาก็มองไกลๆ ยิ้มเอ่ยว่า

“วันนี้ถือว่าได้ชื่นชมความสง่างามในมรรคธรูของศิษย์พี่!”

ไกลออกไปเงาร่างผอมแกร่งของจิ่งจงเยวี่ยปรากฏขึ้นกลางอากาศ

เขาเก็บคันธนูใหญ่สีดำเข้มในมือ ยิ้มเผยฟันขาวสะอาดดุจหิมะกล่าวว่า “ข้าก็ทำได้แค่ลอบยิงธนูทีเผลอเท่านั้นล่ะ”

วาจาถ่อมตน แต่ทุกคนในที่นั้นใครจะกล้าคิดเช่นนี้

พลังมรรคธนูเช่นนั้นทำให้บุคคลปลายยอดในขั้นดับเทพอย่างพวกเขาเหล่านี้ยังรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามยิ่งยวด!

“ยิงธนูทีเผลอจึงถึงตายมากที่สุด”

หลินสวินหัวเราะร่า

ระหว่างมองดูศิษย์พี่ศิษย์น้องคีรีดวงกมลคู่นี้ที่กำลังคุยกันสนุกในสนามรบ คนของลัทธิพ่อมดและพวกลัทธิฌานต่างดวงตาไหววูบไปครู่หนึ่ง

ไม่ว่าใครล้วนตระหนักได้ว่าหนึ่งปีในแดนมารปฐพีต่อจากนี้ ขุมอำนาจลัทธิแรกกำเนิดที่มีหลินสวินกับหลีเจินเป็นตัวแทนจะเป็นภัยคุกคามใหญ่ยักษ์!

การต่อสู้จบลงแล้ว

ใกล้กับภูผาธาราที่กลายเป็นซากปรักหักพังแห่งนั้น ผู้เข้าร่วมศึกจากขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะสิบเก้าคนรวมหวังเจวี๋ยฮ่วนถูกฆ่าทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเหลือรอด

ในนั้นหลีเจินสังหารไปสี่คน จิ่งจงเยวี่ยสังหารไปหนึ่งคน คนอื่นล้วนถูกหลินสวินสังหาร

พูดได้ว่าผู้เข้าร่วมศึกสิบยักษ์ใหญ่อมตะคราวนี้ตายยกทัพไปแล้ว!

“ทุกท่านยังอยากดูต่อไหม”

จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยปาก ดวงตามองไปทางลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌาน แววตาเจือความเย็นชา

“กำจัดผู้เข้าร่วมศึกของสิบยักษ์ใหญ่อมตะพวกนี้ไปก็ดี ถึงอย่างไรเดิมทีศึกมรรคอมตะในอดีตก็เป็นการชิงชัยระหว่างสี่หอบรรพจารย์”

ขณะพูดชางฝูเฟิงก็โบกมือ นำผู้เข้าร่วมศึกลัทธิพ่อมดอีกสี่คนหันหลังจากไป

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เก็บกลั้นไอสังหารในใจเอาไว้ ไม่ได้ลงมือขัดขวาง

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าที่ก่อนหน้านี้พวกชางฝูเฟิงนี้ดักซุ่มอยู่ในที่ลับ ย่อมไม่ใช่แค่เพื่อดูเรื่องสนุก

พูดอีกอย่างก็คือ การตีชิงตามไฟต่างหากจึงจะเป็นเป้าหมายของพวกเขา

ที่น่าเสียดายก็คือตั้งแต่เริ่มจนจบพวกเขาไม่ได้มีโอกาสลงมือ

“ยินดีกับสหายยุทธ์หลินด้วยที่เข้าสู่ขั้นดับเทพขั้นปลาย ภายหน้าถ้ามีโอกาสก็อยากแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญในมหามรรคกับสหายยุทธ์สักหน่อย”

ณ ที่ไกลลิบ เหวินเฉียวสุ่ยกุมมือคารวะน้อยๆ เขาหล่อเหลาดุจหยก บุคลิกเหนือธรรมดา ไม่เผยอานุภาพน่าหวาดหวั่นออกมาแต่อย่างใด

“ไม่ลองตอนนี้เลยเล่า”

หลินสวินเอ่ยถาม

เหวินเฉียวสุ่ยยิ้ม กล่าวว่า “เพิ่งเข้าแดนมารปฐพี ไยต้องรีบร้อนต่อสู้เข่นฆ่ากัน แบบนี้จะไม่ใช่เอาวาสนาของดินแดนนี้มอบให้คนอื่นเปล่าๆ หรือ”

หลินสวินครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “สหายยุทธ์พูดมีเหตุผล”

“ขอลา”

เหวินเฉียวสุ่ยยิ้มแล้วพาทุกคนจากไป

หลีเจินมองจนเงาร่างของพวกเขาหายลับไปถึงเอ่ยว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะถือโอกาสนี้ลงมือกับพวกเขาเสียอีก”

หลินสวินเอ่ย “ไม่รีบ ถ้าไม่อาจตัดสินในแดนมารปฐพี ก็ไปตัดสินกันที่แดนมารสวรรค์ ขอเพียงอยู่ในแดนมารสิบทิศ ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น”

ไกลออกไปจิ่งจงเยวี่ยที่อยู่ไกลๆ เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง ข้าต้องไปรวมตัวกับศิษย์ร่วมสำนักลัทธิวิญญาณแล้ว”

หลินสวินพยักหน้าเอ่ย “ศิษย์พี่ รักษาตัวด้วย”

“เจ้าก็ด้วย”

จิ่งจงเยวี่ยยิ้มจากไป

“ลัทธิวิญญาณมีศิษย์พี่ของเจ้าเหล่านั้นอยู่ ได้เปรียบมากจริงๆ”

หลีเจินทอดถอนใจ

เขาพูดอย่างที่คิด ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้หลินสวิน เขาได้เห็นทั้งหมด

ตอนนี้ยังได้เห็นอานุภาพมรรคธนูของจิ่งจงเยวี่ยอีก จากจุดนี้ก็สามารถจินตนาการได้ว่ามาดสง่างามของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นจะตระการตาขนาดไหน

“ผู้อาวุโส พวกเราก็รีบเคลื่อนไหวเถอะ”

หลินสวินหยัดร่างขึ้น แววตาสุขุม เอ่ยว่า “ข้าสงสัยนักว่าในแดนมารปฐพีแห่งนี้มีวาสนากระจายอยู่เท่าไรกันแน่”

สามปีแล้ว มรรควิถีในตัวเขาหยุดนิ่งอยู่ขั้นดับเทพขั้นปลาย การพัฒนาเปลี่ยนเป็นช้าลงอีกครั้ง

แต่ถ้าล่าพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าได้จำนวนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้พลังปราณเลื่อนขั้นได้อย่างชัดเจนขึ้นอีกครั้ง!

หนำซ้ำหลินสวินยังสงสัยยิ่งว่า ‘โอสถเทพนิรันดร์’ กับ ‘เศษเสี้ยวระเบียบระดับเทพ’ ที่ว่านั้นจะมีประโยชน์เลิศล้ำปานไหน

ทันใดนั้นเงาร่างทั้งสองก็ไหววูบ เคลื่อนออกไปไกล

ไม่นานนักเงาร่างของหยวนฉางเทียนก็ปรากฏขึ้นในภูผาธาราพังพินาศแห่งนี้เงียบๆ

เขาสวมเสื้อคลุมขนนกบังฟ้าอยู่ สามารถบดบังกลิ่นอายทั้งหมดได้ นอกจากระดับนิรันดร์ คนอื่นไม่มีทางมองทะลุสักนิด

ข้อเสียที่ชัดเจนก็คือสมบัติชิ้นนี้ไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้

‘พลังต่อสู้ของเขายิ่งแข็งแกร่งขึ้นแล้ว…’

หยวนฉางเทียนขมวดคิ้วแน่นจนเห็นรอยย่นบนหน้าผาก ใบหน้าหล่อเหล่าปรากฏแววอึมครึม

เมื่อเก้าปีก่อน ยามหลินสวินเพิ่งเข้าแดนมารสิบทิศมีพลังเพียงขั้นดับเทพขั้นต้นเท่านั้น แต่ก็สามารถทำให้หวังเจวี๋ยฮ่วนพ่ายแพ้แตกกระบวนที่เทือกเขาหมื่นห้วยได้

วันนี้ในเก้าปีต่อมา หลินสวินอยู่ขั้นดับเทพขั้นปลายแล้ว พลังปราณทะลวงถึงสองขั้น!

แค่คิดก็รู้ว่าพลังต่อสู้ในตอนนี้ของหลินสวินเปลี่ยนเป็นน่ากลัวปานไหน

หยวนฉางเทียนเห็นการต่อสู้ก่อนหน้านี้ทั้งหมด ยิ่งทำให้เขาเห็นอย่างชัดเจน ว่ายามขั้นดับเทพสัมบูรณ์อย่างหวังเจวี๋ยฮ่วนเผชิญหน้ากับการจู่โจมของหลินสวินกลับดูอ่อนแอมาก!

และหลินสวินในตอนนั้นไม่ได้ใช้อภินิหารพรสวรรค์สักนิด

ทั้งหมดนี้ล้วนพิสูจน์ว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและน่ากลัวเพียงไหน

นี่ก็ทำให้หยวนฉางเทียนรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่บีบกระชับเข้ามาเป็นครั้งแรก!

‘ในแดนมารสิบทิศแห่งนี้ข้าจะไม่เป็นศัตรูกับเจ้า แต่ถ้าเจ้ากล้าชิงศุภโชคชิ้นใหญ่ที่สุดชิ้นนั้นไป เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน…’

หยวนฉางเทียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ข่มความคิดฟุ้งซ่านในใจไว้แล้วหมุนตัวหลังจากไป

……

แดนมารปฐพีแตกต่างกับแปดแดนมารก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

เวิ้งฟ้าของที่นี่ปกคลุมด้วยหมอกทะมึนหนาเป็นชั้นๆ ตลอดปี นั่นเป็นสิ่งที่ควบรวมขึ้นจากกลิ่นอายระเบียบอันบ้าคลั่งที่ผสมปนเปนับไม่ถ้วน เผยกลิ่นอายอันตรายกดข่มผู้คน

ภูผาธารากว้างใหญ่ไพศาลล้วนเผยกลิ่นอายแรกกำเนิดดั้งเดิมดุจดึกดำบรรพ์

ลือกันว่าแดนมารปฐพีคือสถานที่ใจกลางที่มีพลังระเบียบยุคสมัยมากมาย และมีเพียงที่นี่จึงจะสามารถให้กำเนิดสัตว์ปีศาจน่ากลัวอย่างราชันสัตว์ระเบียบ ทั้งยังให้กำเนิดโอสถเทพนิรันดร์ได้

ฟ้าดินแห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่ง ในอดีตผู้เข้าร่วมศึกที่เข้าสู่แดนมารปฐพีทุกคนต่างสำรวจฟ้าดินแห่งนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครวัดขอบเขตของฟ้าดินแห่งนี้ได้!

หลินสวินกับหลีเจินบุกทะลวงตลอดทาง สำรวจไปทั่วทิศ ผ่านไปวันแล้ววันเล่ากลับไม่ได้อะไรเลย

อย่าว่าแต่ราชันสัตว์ระเบียบ ต่อให้เป็นสัตว์ปีศาจระดับปฐพีทั่วไปก็เหมือนสูญพันธุ์ไปแล้ว

กระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน

หลินสวินกับหลีเจินที่กำลังเดินทางอยู่กลางฟ้าดินพลันสัมผัสได้ถึงคลื่นการต่อสู้รุนแรงระลอกหนึ่ง

จากนั้นในจิตรับรู้ของพวกเขาก็เห็นว่ากลางฟ้าดินไกลโพ้นมีทะเลสาบสีดำมหึมาหาใดเทียบอยู่แห่งหนึ่ง

ท้องฟ้าเหนือทะเลสาบมีคนกำลังต่อสู้

นั่นเป็นพวกชางฝูเฟิงจากลัทธิพ่อมด คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือสัตว์ปีศาจขนาดเท่าภูเขาตัวหนึ่ง รูปร่างคล้ายเต่าดำ หลังมีกระดองสีเขียวหมึกรัศมีประมาณพันจั้ง ขาทั้งสี่ดุจเสาเหล็ก ศีรษะขนาดเท่าบ้าน ดวงตาทั้งสองวาวโรจน์ดุจดวงอาทิตย์สีทอง

นี่เป็นราชันสัตว์ระเบียบตัวหนึ่ง!

เพราะครอบครองพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้า บนเงาร่างใหญ่โตจึงมีแสงมรรครัศมีเทพคับฟ้าพวยพุ่งออกมา อานุภาพน่ากลัวถึงขีดสุด

แต่บัดนี้ราชันสัตว์ระเบียบตัวนี้กลับถูกขังไว้มั่น ทั้งยังมีบาดแผลเต็มตัว

ชางฝูเฟิงมือถือกระบองสำริดที่มีเปลวเพลิงโชติช่วงคู่หนึ่ง ทุกครั้งที่โจมตีเหมือนเพลิงสวรรค์โปรยปราย เกิดเสียงดังสนั่นดุจทำลายล้าง

ข้างๆ เขาผู้เข้าร่วมศึกลัทธิพ่อมดสี่คนต่างเรียกสมบัติออกมาลงมือพร้อมกับชางฝูเฟิง ตรึงราชันสัตว์ระเบียบตัวนั้นไว้

ทะเลสาบปั่นป่วน ประกายน้ำและเปลวเพลิงพวยพุ่งตัดสลับ ฟ้าดินยังจมสู่ความยุ่งเหยิง

พลังของขั้นดับเทพแข็งแกร่งยิ่ง ไม่ทันไรก็เผาฟ้าผลาญทะเล หากไม่ใช่ว่าแดนมารปฐพีแห่งนี้มั่นคงเป็นที่สุด เกรงว่าทะเลสาบยักษ์แห่งนี้คงถูกซัดจมลงไปนานแล้ว

“ผู้อาวุโส ยังจำเรื่องเมื่อไม่กี่ปีก่อนนั้นได้ไหม”

แววเย็นชาไหววูบในตาดำของหลินสวิน

“จำได้อยู่แล้ว”

ไอสังหารฉายวาบในดวงตาหลีเจิน

ไม่กี่ปีก่อน สมัยอยู่แดนมารทักษิณ เขากับหลินสวินถูกผู้เข้าร่วมศึกที่มาจากลัทธิพ่อมดซุ่มโจมตีครั้งหนึ่ง

ตอนนั้นผู้เข้าร่วมศึกลัทธิพ่อมดที่มีชางฝูเฟิงเป็นผู้นำ จู่ๆ ก็ทำให้เขากับหลินสวินตกที่นั่งลำบากขณะล่าสัตว์ปีศาจระดับสวรรค์ตัวหนึ่งอยู่ สถานการณ์เรียกได้ว่าอันตรายถึงขีดสุด

ในช่วงคับคันยิ่งยวดนั้น หลินสวินต้องสำแดงประทับผนึกเวลามาสกัดกั้น ถึงสลายเคราะห์สังหารที่มาเยือนกะทันหันครั้งนั้นไปได้

เรื่องนี้หลีเจินจะลืมได้อย่างไร

‘ผู้อาวุโส อีกเดี๋ยวให้ข้าไปรับมือพวกเขา ส่วนท่านถือโอกาสไปฆ่าราชันสัตว์ระเบียบตัวนั้น ขอเพียงชิงระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้ามาได้ พวกเราก็จะถอยทันที’

หลินสวินสื่อจิตเอ่ย

ชางฝูเฟิงเป็นบุตรเทพที่มาจากเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลชางแห่งน่านฟ้าที่เก้า พลังต่อสู้ไม่อาจดูเบา ทั้งยังมีไพ่ตายไม่น้อย ในบรรดาคู่ต่อสู้ที่หลินสวินให้ความสำคัญในแดนมารปฐพีตอนนี้ ชางฝูเฟิงก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น

การต่อกรกับคนเช่นนี้ หลินสวินย่อมไม่ชะล่าใจ

“ได้”

หลีเจินตกลงอย่างยินดี

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท