Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2870 ระเบียบเก้ากระบี่

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2870 ระเบียบเก้ากระบี่

ตอนที่ 2870 ระเบียบเก้ากระบี่

ตูม! ตูม! ตูม!

ศรเทพเจิดจ้าแสบตาดอกแล้วดอกเล่ากรีดผ่านห้วงอากาศประหนึ่งรุ้งเทพเก้าชั้นฟ้า เทตัวลงมาที่หุบเขาแน่นขนัด แสงเทพน่าครั่นคร้ามไม่อาจประมาณได้พวยพุ่งดังสนั่น สว่างไสวสะดุดตา ปกคลุมฟ้าดินแห่งนั้น

จิ่งจงเยวี่ยง้างคันธนูดุจสายฟ้า ยิงศรดุจสายลม สำแดงความเชี่ยวชาญในมรรคธนูถึงขีดสุด

ไม่ยั้งมือแต่อย่างใด!

ชั่วขณะเดียวก็เกิดเสียงดังสนั่นดุจอสนีบาตต่อเนื่อง พื้นที่ในบริเวณพันลี้ล้วนปรากฏภาพพังพินาศทำลายล้าง

และโดยรอบหุบเขานั้น ผนึกเทพที่เรียกได้ว่าเลิศล้ำชั้นแล้วชั้นเล่าถูกทำลายลงทีละชั้นด้วยการโจมตีดุจพายุฝนบ้าคลั่งเช่นนี้ แผ่กระจายไม่ว่างเว้น

กระทั่งครึ่งเค่อผ่านไป

หั่วเซียวที่อยู่ในหุบเขามีไอสังหารเต็มหน้าแล้ว เขาสังเกตเห็นว่าถ้ารูปการณ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป กระบวนผนึกรอบๆ หุบเขาจะต้องถูกทำลายสิ้นแน่

“พลังของมรรคธนูอยู่ที่การสังหารในหนึ่งการโจมตี แต่เขากลับกระทำการมุทะลุโง่เขลาเช่นนี้ ถ้าข้ามองไม่ผิด ถึงตอนนี้พลังกายของเขาคงผลาญไปมากยิ่งแล้ว ยืนหยัดไว้ได้อีกไม่นานหรอก”

บนแท่นมรรคเก้ายอด ชางฝูเฟิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่เอ่ยปากอย่างเย็นชา

“ใต้เท้า ข้าฉวยโอกาสนี้ออกไปฆ่าเขาดีกว่า!”

หั่วเซียวไอสังหารพลุ่งพล่าน

เดิมทีลัทธิพ่อมดก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตของคีรีดวงกมล ตอนนี้ถูกจิ่งจงเยวี่ยมาก่อกวนเสียงดังลั่นถึงที่ ทำให้หั่วเซียวรู้สึกอัดอั้นไปหมดแล้ว

“รออีกหน่อย”

ในใจชางฝูเฟิงก็มีความขุ่นเคืองอยู่เช่นกัน ยามแจ้งมรรค ข้อห้ามร้ายแรงที่สุดก็คือมีคนรบกวน

แม้เขาสามารถตัดการรับรู้ทั้งหมด จดจ่อฝึกปราณได้ แต่นอกหุบเขานี้มีจิ่งจงเยวี่ยอยู่ก็ทำให้เขาไม่วางใจอยู่ดี ทั้งยังไม่อาจจดจ่อกับการแจ้งมรรคได้ด้วย หาไม่แล้วทันทีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันจะเกิดวิกฤตได้ง่ายดายยิ่งนัก

“ใต้เท้า ยังต้องรอถึงเมื่อไร” หั่วเซียวถาม

“แม้จิ่งจงเยวี่ยจะเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล แต่ตอนนี้ก็เป็นเจ้าวิญญาณคนหนึ่งของลัทธิวิญญาณ ครั้งนี้ดูท่าเขาจะเคลื่อนไหวเพียงลำพัง แต่ยังไม่อาจรับรองว่าใกล้ๆ นี้ยังมีผู้ช่วยคนอื่นอยู่อีกหรือไม่”

ชางฝูเฟิงแววตาไหววูบ

ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาหลบอยู่ในหุบเขามาตลอด ก็เพราะกังวลว่าคนที่จะมารบกวนการทะลวงขั้นของเขาจะไม่ได้มีแต่จิ่งจงเยวี่ย

ตูม!

ขณะสนทนา จิ่งจงเยวี่ยยังลงมือเช่นเดิม ศรแต่ละดอกพวยพุ่ง ซัดกระบวนผนึกรอบๆ หุบเขาจนปั่นป่วนรุนแรงไม่ว่างเว้น

ไม่นานนักก็เหลือม่านแสงสีทองอยู่เพียงชั้นเดียว

นี่ทำให้ในใจหั่วเซียวเริ่มร้อนรนขึ้นมา เอ่ยว่า “ใต้เท้า รอต่อไปไม่ได้แล้ว!”

ก็ในตอนนี้เองในครรลองสายตาของชางฝูเฟิง จู่ๆ จิ่งจงเยวี่ยที่อยู่นอกหุบเขาก็เก็บคันธนูแล้วหมนุตัวจากไป

“เจ้าไปเถอะ เอาหัวเขากลับมาให้ข้า”

ชางฝูเฟิงเอ่ยชัดเจนเด็ดขาด

“ขอรับ!”

ขณะรับปาก หั่วเซียวก็แปลงเป็นแสงเคลื่อนไหวสายหนึ่งพุ่งออกไปนอกหุบเขาทันที

“จิ่งจงเยวี่ย จะไปไหน”

หั่วเซียวตะคอกลั่น เขาเงาร่างบึกบึน ดุร้ายหาใดเทียบ ทันทีที่กระโจนมาก็ถือทวนยาวกระดูขาวเล่มหนึ่ง พุ่งไปหาจิ่งจงเยวี่ยด้วยท่าทางอหังการไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้

จิ่งจงเยวี่ยหมุนตัวกลับมาทันใด ในมือมีมีดสั้นสีเขียวเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาแล้ว เข้าประจันหน้ากับอีกฝ่าย

เคร้ง!!

มีดสั้นกับทวนยาวปะทะกัน พลังอันบ้าคลั่งกระจายออกมาทันที

เงาร่างจิ่งจงเยวี่ยถอยหลังไปสองสามก้าว แต่กลับฉีกยิ้มออกมา “เจ้าโง่ รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงหันหลังจากมา”

หั่วเซียวกวัดแกว่งทวนศึกกระดูกขาวในมือ แสยะยิ้มเอ่ยว่า “แน่นอนว่าเป็นเพราะเจ้าใช้พลังหมดสิ้น ยืนหยัดไม่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น…”

เพิ่งพูดถึงตรงนี้เขาก็เสียวสันหลังวาบ พลันตระหนักได้ถึงความไม่เข้าที

ตูม!

เงาร่างเขาพุ่งขวางหลบหนีทันที แต่มาได้ครึ่งทางก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งตบร่างอย่างจัง ทั้งตัวลอยกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง ชุดเกราะทั้งร่างระเบิดออก กระดูกหักไม่รู้ที่ท่อน

เขาสีหน้าตกตะลึง เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในครรลองสายตา

เป็นหลินสวินนั่นเอง!

“เจ้า…”

หั่วเซียวยากจะเชื่อ

หลินสวินซ่อนอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไร

ในหุบเขา เมื่อเห็นภาพนี้ชางฝูเฟิงก็สีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน ซุ่มอยู่ตามคาด!

นี่ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเขา แต่คิดไม่ถึงเพียงอย่างเดียวว่าคนที่มาซุ่มอยู่ใกล้ๆ จะเป็นหลินสวิน

“ตอนพบกันครั้งแรก เจ้าไม่ใช่โวยวายว่าอยากท้าสู้กับข้าหรือ มิหนำซ้ำยังพูดว่าอะไรนะ รับรองว่าจะไม่ทำให้ข้าถึงตายใช่ไหม”

หลินสวินมองหั่วเซียวด้วยสายตาเย็นชา

เขามาถึงตั้งแต่ครึ่งเค่อก่อน ได้เห็นจิ่งจงเยวี่ยที่กำลังถล่มโจมตีผนึกหุบเขา ด้วยการสื่อจิตจึงได้รู้ว่าจิ่งจงเยวี่ยมาคราวนี้ก็เพื่อขัดขวางไม่ให้ชางฝูเฟิงแจ้งมรรคทะลวงขั้น

สิ่งนี้ตรงกับความคิดของหลินสวินโดยมิได้นัดหมายพอดี

ดังนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องจึงแอบร่วมมือกัน ตอนนี้ล่อหั่วเซียวออกมาได้สำเร็จแล้ว

“คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลจะต่ำช้าเช่นนี้!”

หั่วเซียวคำรามลั่น เงาร่างกระโจนขึ้น เขาไม่ได้เลือกต่อสู้ แต่เป็นหนีไปที่หุบเขา

หลินสวินพลันยิ้มออกมา

ก็พบว่าค่ายกลกระบี่ที่รวมตัวขึ้นจากปราณกระบี่แถบหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ปกคลุมลงมาจากเวิ้งฟ้า

“ใต้เท้า ช่วยข้าด้วย!”

หั่วเซียวหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ร้องลั่นขอความช่วยเหลือ

เขาย่อมไม่อาจนั่งรอความตาย กวัดแกว่งทวนศึกเข้าต้านทานด้วยพลังทั้งหมดที่มี

ตูม!

ห่ากระบี่เต็มฟ้ากระแทกลงมากลบฟ้าดินแถบนั้นมิด การต่อต้านของหั่วเซียวเหมือนตั๊กแตนห้ามรถ เงาร่างถูกห่ากระบี่ขาวโพลนนั้นฟันกระจุยในชั่วพริบตา ละอองเลือดอบอวล

และตั้งแต่เริ่มจนจบ ชางฝูเฟิงที่หลบอยู่ในหุบเขาไกลออกไปไม่ได้คิดจะยื่นมือไปช่วยแต่อย่างใด

เพียงแต่เขาสีหน้าอึมครึมถึงที่สุดแล้ว

ชางฝูเฟิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “หลินสวิน เจ้าน่าจะรู้ชัดว่าตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นศัตรูสักนิด แต่เหตุใดเจ้ากลับบีบคั้นกันเช่นนี้”

“ถ้าให้เจ้าแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้น เกรงว่าเจ้าก็จะบีบคั้นข้าด้วยกระมัง”

ขณะที่หลินสวินพูดก็เดินไปทางหุบเขาแล้ว “ศิษย์พี่ ท่านพักก่อน ที่นี่ให้ข้ามาจัดการเองแล้วกัน”

“ดี”

จิ่งจงเยวี่ยนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูกำลังอย่างเบิกบานใจ

เห็นดังนี้ชางฝูเฟิงก็หนังตากระตุก เอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ เรื่องวันนี้ไม่มีที่ให้หันหลังกลับแล้วใช่ไหม”

ที่ตอบเขากลับก็คือเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่หลินสวินเรียกมา

โครม!

เตากระบี่ก็เหมือนคีรีเทพดึกดำบรรพ์ลูกหนึ่ง เหนี่ยวนำแสงมรรคไพศาลบดขยี้ห้วงอากาศ กระแทกลงไปอย่างแรง

พลังผนึกที่ตรึงอยู่รอบหุบเขาเหมือนชามใหญ่ทองอร่ามนั้นพลันเกิดเสียงระเบิดดังลั่นจนหูแทบหนวก สั่นโคลงอย่างรุนแรงไม่หยุด

ชางฝูเฟิงลุกขึ้นจากแท่นบัวเก้ายอด แขนเสื้อพัดโบก ดวงตามีประกายเทพน่าครั่นคร้ามไหวเคลื่อน เขาตระหนักได้ว่าศึกใหญ่ไม่อาจหลีกเลี่ยงแล้ว

ตูม โครม!

เตากระบี่กระแทกลงมาอีกครั้ง กระบวนผนึกสีทองที่ปกคลุมหุบเขานั้นระเบิดกระจุยดังลั่น ธงเล็กเหลืองอ่อนสามพันหกร้อยผืนที่กระจายอยู่ตามหุบเขาก็ระเบิดเป็นผุยผงไปด้วย

ก็ในตอนนี้เอง แท่นมรรคเก้ายอดที่อยู่ใต้เท้าชางฝูเฟิงเปลี่ยนเป็นกระบี่ยักษ์ลายพร้อยสีสันสดใสเล่มหนึ่งอย่างฉับไว ถูกเขาถือไว้ในมือ

อานุภาพของเขาเปลี่ยนไปทันที เผยความสง่างามเชื่อมั่นว่าไร้ศัตรูใดเทียม ยิ่งใหญ่เด่นตระหง่าน กลิ่นอายทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

“หลินสวิน ศักยภาพของเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ไม่แปลกที่จะแข็งกร้าวและมั่นใจในตัวเองขนาดนี้ แต่ถ้าอยากเอาชนะข้า เกรงว่ายังไม่พอ”

ชางฝูเฟิงสีหน้าเรียบเฉย กฎเกณฑ์เปลวเพลิงแวววาวเป็นริ้วๆ ไหลเวียนรอบตัวเขา ดุจอมราชัน มีอานุภาพกลืนกินภูผาธารา

นี่แตกต่างกับเหวินเฉียวสุ่ย ยามเผชิญหน้ากับหลินสวิน ชางฝูเฟิงโอหังและมั่นใจ เผยบุคลิกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“เช่นนั้นหรือ”艾琳小說

หลินสวินแววตาเย็นชา เก็บเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกลับไป หยัดตัวตรงแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ลองดูสักหน่อย”

“ไม่ใช้สมบัติหรือ เจ้าช่างบ้าระห่ำจริงๆ”

ชางฝูเฟิงนิ่วหน้าเล็กน้อย ไอสังหารฉายวาบในดวงตา “เช่นนั้นก็ลองดู!”

พูดจบระลอกคลื่นที่แกร่งกล้ากว่าเมื่อครู่หลายเท่าก็ถาโถมออกจากร่างเขาอย่างบ้าคลั่งทันที เขายืนอยู่กลางอากาศเช่นนั้นก็เหมือนเสาเทพค้ำฟ้า

ทะเลเมฆรัศมีพันลี้กลายเป็นวังวนไอเมฆมหึมาโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง

เขายืนอยู่ใจกลางวังวนดุจทวยเทพ

ชิ้งๆๆ!

เสียงครวญกระบี่แน่นขนัดระลอกหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นว่ากระบี่ยักษ์ลายพร้อยสีสันงดงามในมือชางฝูเฟิงพลันกลายเป็นกระบี่บินเก้าเล่ม แต่ละเล่มเผยอานุภาพและท่วงทำนองเทพแตกต่างกันไป

“แท่นมรรคเก้ายอดเป็นสมบัติเทพในตระกูลชางของข้า ผู้คนบนโลกรู้แค่ว่ามันมีประโยชน์ต่อการฝึกปราณอย่างไม่อาจประเมินได้ แต่ไม่รู้ว่าอานุภาพที่แท้จริงของมันคือเอาไว้ใช้ในการต่อสู้”

วู้ม!

ชางฝูเฟิงดีดนิ้วเบาๆ

กระบี่เก้าเล่มสะเทือนไหวแรงกล้าพร้อมกัน ปราณกระบี่คับฟ้าทั้งเก้าสายพุ่งทะลุเมฆา ทะลวงทั่วทั้งฟ้าดินแห่งนี้

ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า หยิน หยาง!

พลังมรรคกระบี่ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงเก้าสายกลายเป็นกฎเกณฑ์อมตะ เข้าโอบล้อมรอบตัวชางฝูเฟิง

ในดวงตาหลินสวินปรากฏแววประหลาด แท่นมรรคเก้ายอดนี้ถึงกับสร้างขึ้นจากพลังระเบียบที่แตกต่างกันเก้าสาย พวกมันเคลื่อนผ่านห้วงอากาศ กลิ่นอายระเบียบรัดพัน ส่งเสริมคมประกายให้แก่กัน

ระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าเก้าชนิดแปลงเป็นกระบี่บินเก้าเล่มนี้ทั้งหมด!

ไม่ต้องสงสัย นี่ก็คือที่มาในความมั่นใจของชางฝูเหิง

“ไป!”

ชางฝูเฟิงเอ่ยคำหนึ่งออกมาจากปากเบาๆ

เมื่อนิ้วดีดออกไปคราหนึ่ง

กระบี่บินเก้าเล่มที่อยู่เบื้องหน้าเขาพลันส่งเสียงกึกก้อง พุ่งทะยานออกไปเฉกเช่นรุ้งเทพเก้าสาย

ลำนำกระบี่ดุจกระแสน้ำ

แสงกระบี่จรัสเก้าชั้นฟ้า!

พลังเช่นนี้น่าตกตะลึง เมื่อกระบี่เก้าเล่มฟันออกไปก็พลิกคว่ำจักรวาล ปั่นป่วนวัฏจักร

ชั่วพริบตาทั้งตัวหลินสวินรวมถึงพื้นที่รัศมีพันจั้งที่เขาอยู่ก็ถูกคุมขัง

พลังของระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าเก้าชนิดกดดันเข้ามาพร้อมกัน ผสานลงไปในกระบี่มรรคสังหารนี้ พลังเช่นนั้นน่าสะพรึงถึงขีดสุด

จิ่งจงเยวี่ยที่นั่งสมาธิอยู่ไกลออกไปยังเงยหน้าขวับอย่างอดไม่ได้ เผยสีหน้าตกตะลึง

พลังสังหารเช่นนี้ถึงขั้นคุกคามขั้นหลุดพ้นได้แล้ว! ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นการควบคุมพลังระเบียบเก้าชนิดให้สังหารศัตรู วิปริตถึงที่สุด!

แต่ครู่ต่อมาเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น

ยามกระบี่บินเก้าเล่มที่โฉบอยู่เต็มฟ้านั้นกำลังจะชนร่างหลินสวิน ก็เหมือนชนเข้ากับแผ่นเหล็ก ส่งเสียบดังเคร้งๆ ออกมา

พื้นผิวร่างกายหลินสวินมีแสงมรรคพร่าเลือนไหลเวียน แปลงเป็นหุบเหวลึกแห่งหนึ่งเข้าปกคลุมรอบตัวเขาช้าๆ ลุ่มลึกเงียบเชียบ ลึกลับไม่อาจคาดเดา รูปร่างคล้ายโลกขุ่นมัวยามแรกกำเนิด มีนัยเร้นลับมหามรรคมากมายเคลื่อนอยู่ในนั้น

นี่คือกฎเกณฑ์อมตะของเขา เป็นสิ่งที่ควบรวมขึ้นจากการหยั่งรู้ระเบียบนิพพาน ถึงตอนนี้พร้อมๆ กับที่เขาหลอมพลังระเบียบมากมาย กฎเกณฑ์อมตะของเขาก็แปรสถาพจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อไปนานแล้ว

แม้ว่ากระบี่บินเก้าเล่มนั้นจะน่ากลัว แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินสกัดต้านไว้ด้วยร่างกายทั้งหมด!

“นี่เป็นไปได้อย่างไร”

เมื่อเห็นภาพนี้ ไม่เพียงแต่จิ่งจงเยวี่ย กระทั่งชางฝูเฟิงก็แววตาตกตะลึง หน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน เกือบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

การโจมตีที่สามารถคุกคามขั้นหลุดพ้นได้นั่น ถึงกับไม่สามารถทำให้หลินสวินบาดเจ็ดได้แม้แต่ปลายขน นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

พลังอันน่ากลัวเช่นนี้ชางฝูเฟิงไม่เคยพบเห็นมาก่อน ทั้งยังไม่อาจจินตนาการได้ว่าในขั้นดับเทพมีอานุภาพน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร

เหมือนดั่งไม่อาจสั่นคลอน ไม่อาจก้าวล้ำ!

หรือนี่ก็คืออานุภาพของยอดอมตะ

ชางฝูเฟิงหวาดหวั่นใจ

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท