Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2908 ปิดด่าน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2908 ปิดด่าน

ตอนที่ 2908 ปิดด่าน

ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้ว

ช่วงนี้ที่สถานการณ์ทั่วหล้าเกิดการเปลี่ยนแปลง ล้วนเพราะศึกมรรคอมตะในแดนมารสิบทิศ!

ตนครอบครองระเบียบระดับเทพ ทำให้เผ่าเทพนิรันดร์แห่งน่านฟ้าที่เก้าเหล่านั้นไม่จำยอม

และเรื่องที่ตนมีมรรคายอดอมตะ ก็ทำให้ศัตรูเหล่านั้นจำต้องให้ความสำคัญ

รั่วซู่กล่าวเบาๆ “เมื่อก่อนแม้แต่บรรดาเผ่าเทพนิรันดร์ของน่านฟ้าที่เก้า ก็คงไม่คิดว่าโลกนี้จะปรากฏพลังแห่งยอดอมตะที่แท้จริง แต่หลังจากที่เจ้าแสดงพลังระดับนี้ออกมา ในใจพวกเขาก็เริ่มสงสัย”

“ฉะนั้นไม่ว่าจะช่วงชิงระเบียบระดับเทพกลับคืนไป หรือเพื่อทำลายภัยแฝงอย่างเจ้า บรรดาเผ่าเทพนิรันดร์แห่งน่านฟ้าที่เก้าก็ต้องเคลื่อนไหวบางอย่าง”

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินอดพูดไม่ได้ “ไม่ใช่บอกว่าเพราะเคราะห์แห่งยุคสมัยจะมาเยือนในพันปี ขุมอำนาจเผ่าเทพของน่านฟ้าที่เก้าไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นหรือ”

“ไม่ผิด”

รั่วซู่พยักหน้า “แต่ก็ต้องดูไปตามสถานการณ์ และเจ้าศิษย์น้องเป็นกรณีพิเศษ พวกเขาไม่มีทางยอมให้เจ้าผงาดขึ้นมาภายในพันปีนี้”

นางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “และการที่พวกเขาจะจัดการเจ้าในตอนนี้ คนทั่วๆ ไปสู้ไม่ไหว ส่วนร่างต้นของระดับนิรันดร์ หากออกจากน่านฟ้าที่เก้าก็จะถูกกฎระเบียบฟ้าดินสะท้อนกลับ แต่พวกเขากลับสามารถเคลื่อนไหวด้วยพลังเจตจำนงของระดับนิรันดร์ได้!”

สายตาของหลินสวินวาบประกาย เอ่ยว่า “นี่เป็นภัยคุกคามอย่างหนึ่งจริงๆ”

แน่นอนว่าก็เป็นเพียงแค่การคุกคาม

หลินสวินในตอนนี้ ในมือก็มีไพ่ตายสำหรับใช้รับมือเช่นกัน อย่างเช่นรูปจำลองเจตจำนงที่อาจารย์อาคงเจวี๋ยทิ้งเอาไว้ให้

ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงหลบอยู่ในลัทธิแรกกำเนิดตลอด ในใต้หล้านี้ใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้

ทว่าทันใดนั้นหลินสวินก็นึกถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง นัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ข้าไม่กลัวเรื่องพวกนี้ แต่ท่านกับศิษย์พี่คนอื่นๆ คงต้องถูกคุกคามไปด้วย”

รั่วซู่ยิ้มพูด “พวกเราเดาออกนานแล้ว ว่าถ้าพวกเขาจะเล่นงานศิษย์น้องก็มีไม่กี่วิธี หากไม่ใช่ฉวยโอกาสจับตัวเจ้า ก็จับผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างเราไปข่มขู่เจ้า”

นางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่ง คือพวกเขาจะสั่งให้ลัทธิพ่อมดและลัทธิฌานเคลื่อนไหว ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างสี่หอบรรพจารย์ เพื่อให้ลัทธิแรกกำเนิดส่งตัวเจ้าไป”

หลินสวินกล่าว “ลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานจะเชื่อฟังพวกเขาจริงหรือ”

รั่วซู่เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าลืมว่าผู้ที่ลัทธิพ่อมดและลัทธิฌานมองเป็นศัตรูที่สุดก็คือพวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมล สำหรับพวกเขา หากสามารถทำลายคีรีดวงกมลได้ย่อมยินดีทำเป็นอย่างยิ่ง”

พูดถึงตรงนี้ รั่วซู่สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยอย่างจริงจัง “ข้ามาคราวนี้ก็เพราะจะบอกเจ้าว่า ในช่วงเวลาหลังจากนี้ฝั่งแดนยอดจักรวาลที่พวกศิษย์พี่ใหญ่ถูกขังอยู่จะปรากฏศัตรูมากกว่าเดิม”艾琳小說

“พวกเขาทำเช่นนี้เป็นการเฝ้ารอเหยื่อ หากพวกศิษย์พี่ใหญ่หนีออกมา ต้องถูกพวกเขาโจมตีทันที ขณะเดียวกันหากพวกเราไปช่วยพวกศิษย์พี่ใหญ่ ก็จะถูกพวกเขาโจมตีเช่นกัน ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

“และขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดก็จะร่วมมือกับลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน หากไม่เกินจากที่คาดการณ์ ก่อนที่โหยวเป่ยไห่จะแจ้งมรรคนิรันดร์ ระหว่างสี่หอบรรพจารย์จะต้องเกิดการต่อสู้ขึ้น และมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในลัทธิแรกกำเนิด”

พูดถึงตรงนี้รั่วซู่ก็เอ่ยว่า “แต่ศิษย์น้องไม่ต้องเป็นห่วง ถึงตอนนั้นจริงๆ พวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่อยู่ในลัทธิวิญญาณจะเร่งมาเสริมทัพทันที”

ได้ยินเช่นนี้หลินสวินกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ศิษย์พี่ เรื่องนี้ไม่เหมาะสม”

รั่วซู่ชะงัก “เพราะเหตุใด”

ดวงตาดำของหลินสวินลุ่มลึก “ข้ากังวลว่าถึงตอนนั้นพวกเขาจะแสร้งว่าจะโจมตีลัทธิแรกกำเนิด ความจริงคือซุ่มอยู่ข้างนอก เป้าหมายที่แท้จริงคือการจับตัวพวกท่าน เช่นนี้พวกเขาก็จะสามารถเอาชีวิตของพวกท่านมาข่มขู่ข้าได้”

รอยยิ้มของรั่วซู่อ่อนโยนและนิ่งสงบ “ความเสี่ยงเหล่านี้พวกเราใคร่ครวญมาแล้ว แต่เรื่องราวบนโลกก็เช่นนี้แหละ ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ”

ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดก็คือ นางกับผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นๆ พิจารณาถึงเรื่องราวเหล่านี้มาแล้ว แต่ก็ยังตัดสินใจว่าหากเกิดการต่อสู้เช่นนี้ขึ้นก็จะมาช่วยที่ลัทธิแรกกำเนิด

หลินสวินขมวดคิ้วพูด “แต่ถ้ากำลังพลของลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน และสิบยักษ์ใหญ่อมตะไปโจมตีลัทธิวิญญาณเล่า ถึงตอนนั้นข้าจะไม่มีทางนิ่งดูดายหรอกนะ”

รั่วซู่เอ่ยเสียงเบา “ด้วยรากฐานพลังของลัทธิวิญญาณ บางทีอาจไม่สามารถทำให้ศัตรูล่าถอยได้ แต่เพียงแค่ป้องกันตัวก็ไม่ใช่ปัญหา”

หลินสวินยิ้มขึ้นมาเช่นกัน “ศิษย์พี่ ลัทธิแรกกำเนิดก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจากที่ข้าดู หากภายหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในลัทธิแรกกำเนิดหรือลัทธิวิญญาณ พวกเราตกลงกันให้ดีก่อนว่าไม่ต้องไปช่วยใครจะดีที่สุด จะได้ไม่ถูกศัตรูสกัดระหว่างทางที่ไปช่วย”

คิดๆ แล้วเขาเอ่ยต่อว่า “เช่นนี้จึงจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด ขอเพียงรักษาความนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหว ก็จะไม่ปรากฏจุดบกพร่องที่ร้ายแรงถึงชีวิต และไม่ให้โอกาสศัตรูฉกฉวยโอกาส แน่นอนว่าหากเจอการคุกคามที่อันตรายถึงชีวิตจริงๆ ถึงตอนนั้นส่งข่าวมาขอความช่วยเหลือทันทีก็พอแล้ว”

รั่วซู่ใคร่ครวญอยู่นาน

ครู่ใหญ่ดวงตางามของนางก็จับจ้องมองหลินสวิน เอ่ยพูดอย่างแฝงความปลื้มปิติ “ศิษย์น้อง ตอนนี้เจ้าสามารถเป็นเสาหลักของคีรีดวงกมลได้แล้ว”

การเปลี่ยนแปลงของหลินสวินยิ่งใหญ่เกินไป

เขาไม่ต้องการการปกป้องแล้ว และไม่ต้องการคำกำชับจากคนอื่น

ตรงกันข้าม เขาในตอนนี้ในด้านพลังปราณอาจด้อยกว่าศิษย์พี่คนอื่นๆ ไปบ้าง แต่ถ้าพูดถึงพลังต่อสู้ เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถเทียบเคียงเขาได้

และตอนนี้เขาเป็นรองหัวหน้าหอของลัทธิแรกกำเนิดแล้ว เป็นตัวตนที่เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นต้องเคารพสามส่วน นอกจากพลังของระดับนิรันดร์ปรากฏตัว ไม่เช่นนั้นบนมรรคาอมตะล้วนมีเขาเป็นนาย!

ศิษย์น้องเล็กยังคงเป็นศิษย์น้องเล็ก แต่เขาในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นพลังต่อสู้ บารมี หรือฐานะ ล้วนเรียกได้ว่าไม่เป็นรองใคร!

ดังนั้นรั่วซู่จึงทอดถอนใจเล็กน้อย

“เช่นนั้นศิษย์พี่เห็นด้วยกับความคิดของข้าหรือไม่” หลินสวินยิ้มถาม

รั่วซู่พยักหน้า “แน่นอน”

ความฮึกเหิมที่บอกไม่ถูกถาโถมขึ้นในใจหลินสวิน

นี่เป็นความดีใจจากการถูกยอมรับ

ในหลายปีที่ผ่านมาเขาเป็นผู้สืบทอดคนสุดท้ายของคีรีดวงกมล ได้รับการดูแลและปกป้องจากศิษย์พี่มากมาย

อย่างเช่นพวกศิษย์พี่จ้งชิว หลี่เสวียนเวย เก่ออวี้ผู ผู่เจิน จวินหวน… ในอดีตเคยช่วยเหลือเขามาไม่รู้เท่าไร

และตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วในใจหลินสวินก็มีความปรารถนาหนึ่ง คือสักวันจะต้องใช้พลังของตนไปปกป้องศิษย์พี่เหล่านั้น ไปปกป้องคีรีดวงกมล!

ตอนนี้ความปรารถนานี้เป็นจริงแล้ว!

สำหรับหลินสวิน นี่จึงจะเป็นเรื่องที่ควรแก่การภูมิใจและดีใจที่สุด

โบราณว่าไว้ ‘ท่านมองข้าเป็นเสาหลัก ข้าย่อมทำประโยชน์ในฐานะเสาหลักให้ท่าน’

หลินสวินไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เขารู้เพียงว่าเพื่อคีรีดวงกมลและบรรดาศิษย์พี่คีรีดวงกมล เขาสามารถใช้ชีวิตปกป้องโดยไม่ลังเล!

ในวันนั้นรั่วซู่ก็ไปจากลัทธิแรกกำเนิดเงียบๆ

ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่เหลือก็คือรอเมื่อพายุจะมาเยือน เข้าโจมตีเต็มกำลัง!

……

หลังจากหลินสวินย้อนกลับถ้ำสถิตของตนเอง ก็ย้อนคิดรายละเอียดของเรื่องที่พูดคุยกับศิษย์พี่รั่วซู่อย่างละเอียด

สุดท้ายความคิดก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา

เพราะตนช่วงชิงพลังระเบียบระดับเทพไป ทั้งมีมรรคายอดอมตะ ทำให้เผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้านั่งไม่ติด

เผ่าเทพนิรันดร์เหล่านี้แม้กังวลการมาเยือนของเคราะห์แห่งยุคสมัย ไม่ออกจากน่านฟ้าที่เก้าง่ายๆ แต่กลับสามารถออกคำสั่งให้ขุมอำนาจอย่างพวกสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ลัทธิพ่อมด ลัทธิฌานมาเล่นงานตนได้

และการที่จะเล่นงานตน ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลจะต้องถูกมองเป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างแน่นอน

การวิเคราะห์ต่างๆ ล้วนพิสูจน์ว่า ก่อนที่โหยวเป่ยไห่หัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์จะแจ้งมรรคนิรันดร์ จะต้องมีคลื่นลมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

คลื่นลมครั้งนี้เป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดขึ้นในสามพื้นที่

แบ่งเป็นลัทธิแรกกำเนิดที่ตนอยู่ ลัทธิวิญญาณที่พวกศิษย์พี่สามอยู่ รวมถึงแดนยอดจักรวาลที่พวกศิษย์พี่ใหญ่อยู่!

แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน การต่อสู้ระหว่างสี่หอบรรพจารย์ถูกกำหนดให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ถึงตอนนี้ขุมอำนาจที่เกี่ยวข้องไม่ใช่แค่สี่หอบรรพจารย์กับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ยังมีขุมอำนาจมากมายที่อยู่ใต้อาณัติขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้!

สำหรับหลินสวินในตอนนี้ เขาไม่กลัวการต่อสู้ใด

เพียงแต่หากพิบัติเคราะห์ครั้งนี้เกี่ยวโยงมาถึงลัทธิแรกกำเนิด กลับทำให้เขาไม่อาจทนได้อยู่บ้าง

ในวันนั้นหลินสวินไปหาเสวียนเฟยหลิงและเล่าเรื่องราวทั้งหมด

คำตอบของเสวียนเฟยหลิงง่ายมาก “จำไว้ว่าแม้เจ้าเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล แต่เจ้าก็เป็นรองหัวหน้าหอของลัทธิแรกกำเนิดด้วย หนึ่งร่วงล้วนร่วง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์”

ในวันเดียวกันนั้น รองหัวหน้าหอคนอื่นๆ อย่างพวกฟางเต้าผิง ตู๋กูยง อวี๋สิ่งก็ล้วนได้รู้เรื่องนี้ และแสดงจุดยืนของตนออกมาเช่นกัน

เหมือนกับเสวียนเฟยหลิง ท่าทีของพวกเขาชัดเจนมาก เคลื่อนไหวพร้อมกับหลินสวิน!

ถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็ไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว

ในวันนั้นเขาเริ่มปิดด่าน

ห่างจากเวลาที่โหยวเป่ยไห่จะแจ้งมรรคนิรันดร์อีกไม่ถึงแปดสิบปีแล้ว

สำหรับหลินสวินที่มีพลังปราณขั้นหลุดพ้นขั้นต้น พลังต่อสู้ของตนยังมีช่องว่างให้พัฒนาอีกมาก

หากสามารถยกระดับพลังปราณให้ไปถึงขั้นสัมบูรณ์ก่อนที่พิบัติเคราะห์จะมาเยือน แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด

ขณะเดียวกันในใจหลินสวินยังมีอีกความคิดหนึ่ง

เขาคาดหวังมากว่าหากสามารถหลอมระเบียบนิพพานอย่างสิ้นเชิง ถึงตอนนั้นด้วยพลังต่อสู้ของเขา จะสามารถโจมตีพลังเจตจำนงของระดับนิรันดร์ให้พินาศได้หรือไม่!

ความคิดนี้บ้าคลั่งมาก

เพราะตั้งแต่อดีตไม่มีระดับอมตะคนใดสามารถสั่นคลอนพลังของระดับนิรันดร์ได้ ต่อให้เป็นแค่พลังเจตจำนงก็ทำไม่ได้!

แต่สำหรับหลินสวิน เขาไม่เชื่อว่าหลักการเช่นนี้ไม่สามารถถูกทำลายได้!

เมื่อนานมาแล้วยามอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ ระดับอริยะราวกับปราการสวรรค์ น้อยคนมากที่จะเอาชนะ แต่หลักการนี้ก็ถูกหลินสวินทำลาย

และก็เป็นเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่อยู่ในทางเดินโบราณฟ้าดารา ระดับจักรพรรดิก็ประหนึ่งปราการสวรรค์ ไม่เคยมีคนทำลายได้ แต่หลักการนี้ยังคงถูกหลินสวินทำลาย

เรื่องในทำนองเดียวกันยังเกิดขึ้นยามอยู่ในระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ หลินสวินก็เคยโจมตีสังหารระดับอมตะ

สามารถพูดได้ว่าหลินสวินฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ทำลายกฎและหลักการที่มีมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไปไม่รู้เท่าไรแล้ว

ตอนนี้เพียงแค่จะเล่นงานรูปจำลองเจตจำนงของระดับนิรันดร์ หลินสวินไม่คิดว่าอยู่ในขั้นหลุดพ้นจะไม่สามารถโจมตีพวกเขาจนพินาศได้!

และจากวันนี้เป็นต้นไป นอกจากทำสมาธิฝึกปราณ พัฒนาพลังปราณของตน เวลาอื่นๆ หลินสวินล้วนใช้ไปกับการหลอมระเบียบนิพพานทั้งหมด

เขาไม่ขาดทรัพยากรฝึกปราณ ดังนั้นยามปิดด่านจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้

ดอกไม้บานแล้วร่วง ฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ผลิ

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

หลินสวินที่ปิดด่านอยู่ไม่สนใจเรื่องของโลกภายนอกสักนิด และไม่เคยถูกเรื่องภายในลัทธิแรกกำเนิดรบกวน

เขาจมอยู่ในการฝึกปราณของตนเอง ลืมเลือนวันเวลา

…………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท