ตอนที่ 2912 บ้าคลั่งเกินไปแล้ว
ลานมรรคใจกลาง
หลินสวินและตู๋กูยงเผชิญหน้ากันจากไกลๆ
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งกลุ่มที่ก่อนหน้านี้ยังหัวเราะเย้าแหย่ตู๋กูยง เวลานี้ต่างยืนอยู่นอกลานประลอง สีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
เย้าก็ส่วนเย้า พวกเขาก็เหมือนกับตู๋กูยง ในใจใคร่รู้ว่าพลังต่อสู้ในปัจจุบันของหลินสวินจะกร้าวแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่
ตู๋กูยงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กลิ่นอายพลันเปลี่ยนไป เงาร่างแกร่งสูงเพรียวเสมือนเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่ไร้ขอบเขตในพริบตาเดียว ไพศาลดั่งภูเขา มโหฬารดุจเทพ
วงแหวนเทพอมตะกลมมนสีม่วงสายหนึ่งควบรวมอยู่ด้านหลังเขา กฎเกณฑ์อสนีนับไม่ถ้วนวิวัฒน์เป็นลักษณ์ประหลาดน่าเหลือเชื่อมากมายลอยผลุบโผล่อยู่ในนั้น ส่องสะท้อนจนเขาดุจดั่งนายเหนือหัวมรรคอสนีผู้หนึ่ง!
“เจ้าน้องชาย เฒ่าตู๋กูฝึกปราณจนบัดนี้ก็หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นปีเศษ ดูเหมือนอายุแก่มากแล้ว แต่ปีนั้นตอนที่เขาแจ้งมรรคาอมตะอายุเพียงพันกว่าปีเท่านั้น ในตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นยอดอัจฉริยะสะท้านโลกแล้ว ระยะเวลาที่เจ้าเฒ่านี่อยู่ในระดับขั้นนี้ยาวนานมากพอ พลังที่ครอบครองก็หาใช่พวกธรรมดาจะเทียบชั้นได้ เจ้าต้องระวังด้วย”
ไกลออกไปฟางเต้าผิงเอ่ยปากเสียงดัง
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ
“โอม!”
ทันใดนั้นตู๋กูยงชูมือขวาขึ้น
ตูม!
อสนีสีม่วงที่หยาบหนาราวงูเหลือมนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากฟ้า เบียดเสียดแน่นขนัด สว่างไสวพร่างพราว พันเกี่ยวเป็นยันต์อสนีมหึมาที่กินพื้นที่พันจั้งเต็มกดกำราบลงมา
ภายในยันต์สายฟ้าราวน้ำตก กลิ่นอายทำลายล้างแผ่ครอบฟ้าดิน อานุภาพระดับนั้นอหังการถึงขีดสุด
เงาร่างหลินสวินยืนนิ่งไม่ไหวติง นิ้วมือตวัดวาดกลางห้วงอากาศคราหนึ่ง
ฟุ่บ!
ปราณกระบี่สายหนึ่งพาดขวางฟันฉับออกไป ยันต์อสนีพันจั้งนั่นขาดเป็นสองท่อนด้วยอานุภาพไม่อาจขวางกั้น ง่ายดายประหนึ่งกรีดผืนภาพวาด
นัยน์ตาของพวกเสวียนเฟยหลิงต่างหดรัดลงเล็กน้อย
การโจมตีนี้ของตู๋กูยงนามว่า ‘ยันต์อสนีใหญ่ไร้รั่ว’ หากจัดการคนระดับเดียวกันทั่วไป พริบตาเดียวก็สามารถซัดเนื้อกระดูกของอีกฝ่ายแหลกเป็นผุยผง จิตสิ้นวิญญาณสลายได้แล้ว
แต่หลินสวินกลับทำลายมันได้ในหนึ่งกระบี่!
“ผู้อาวุโส ไม่ต้องออมมือ”
หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่สนใจแพ้ชนะ แต่ขอสู้กันอย่างสำราญใจเป็นพอ”
ตู๋กูยงหัวเราะเสียงดังอย่างผ่าเผย “ดี!”
ผมเคราเขาปลิวไสว ทั่วร่างปรากฏพายุอสนีที่เจิดจ้าแสบตา ในมือรวบประสาน ระเบียบพายุอสนีขนัดแน่นกลายเป็นทวนศึกสีม่วงเล่มหนึ่ง
ตูม!
เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว ฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน ทวนศึกอสนีสีม่วงในมือดุจรุ้งวิเศษนอกฟ้า แหวกทะลวงมาเยือน เผด็จการ ดุกร้าว ฉับไว
กลิ่นอายทำลายล้างอันน่าสะพรึงนั่นราวกับทัณฑ์สวรรค์มาเยือนโลกชัดๆ!
นัยน์ตาหลินสวินวาววับน้อยๆ นี่สิถึงจะน่าสนใจ
เขากระโจนตัวไปข้างหน้า อาภรณ์โบกสะบัด ซัดหมัดเข้าสู้
เคร้ง!
ทวนศึกสีม่วงถูกขวางเอาไว้ทั้งอย่างนั้น ละอองแสงสาดกระเซ็นสามพันจั้ง
ตู๋กูยงไม่ได้แปลกใจ อานุภาพของเขายิ่งกร้าวแกร่งขึ้น โบกตวัดทวนศึกเข้าโรมรัน ทุกการโจมตีล้วนมีอานุภาพทำลายฟ้าดับปฐพี กฎเกณฑ์อสนีนับไม่ถ้วนตลบม้วนทะยาน ดุเดือดทรงพลัง
หลินสวินยังคงสงบนิ่งดังเดิม ไม่ถอยไม่หลบ เข้าต้านรับตรงๆ
ชั่วขณะหนึ่งในลานมรรคใจกลางเกิดเสียงอึงอลไม่หยุด ประกายศักดิ์สิทธิ์ม้วนตลบแผ่กว้างราวเกลียวคลื่นทะเลคลั่ง
การต่อสู้ระดับนี้เรียกได้ว่าเป็นการสู้ที่สุดยอดที่สุดใต้ระดับนิรันดร์แล้ว หากเปลี่ยนเป็นบุคคลจากระดับขั้นอื่นพรวดพราดเข้ามา อึดใจเดียวต้องถูกสังหารเป็นแน่
ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้นสีหน้าของพวกเสวียนเฟยหลิงล้วนเปลี่ยนเป็นตกใจแกมสงสัย
มรรควิถีของตู๋กูยงปลดปล่อยสุดพลังแล้ว ดึงพลังทั้งหมดออกมาใช้โดยไม่ยั้งมือแต่อย่างใด ทว่าในการต่อสู้ อย่าว่าแต่กำราบหลินสวินเลย ถึงขั้นที่ไม่สามารถได้เปรียบแม้แต่เสี้ยว
ครั้นหันไปมองหลินสวิน เห็นชัดว่ายังยั้งมืออยู่บ้าง หาไม่เกรงว่าตู๋กูยงคงแพ้ไปแล้ว!
“เจ้าหมอนี่เหตุใดถึงแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร…”
ถงเจาอวิ๋นเบิกตากว้าง
ยามนั้นหลังการชำระล้างครั้งใหญ่ของสำนัก เขาเคยสงสัยการตัดสินใจของเสวียนเฟยหลิง ที่เสนอให้หลินสวินมารับตำแหน่งรองหัวหน้าหอคนหนึ่งของหอแรกนภา
ภายหลังได้ยินเสวียนเฟยหลิงบอกว่าหลินสวินที่อยู่ในขั้นหลุดพ้นขั้นต้น สามารถกำราบสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งกลุ่มอย่างพวกจู่เหวินเหิง ฝูเหวินหลี ถงเจาอวิ๋นจึงยอมรับเรื่องที่ให้หลินสวินรับตำแหน่งรองหัวหน้าหอ
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยเห็นศักยภาพแท้จริงของหลินสวิน ฉะนั้นเวลานี้หลังจากได้เห็นอานุภาพของหลินสวินกับตาถึงได้ตกใจขนาดนี้
“เฒ่าฟาง เจ้ายังมัวเฉยอยู่ทำไม มองไม่ออกหรือว่าด้วยพลังของข้าคนเดียวไม่มีทางบีบเจ้าหนุ่มนี่ให้ใช้พลังทั้งหมดได้”
ในลานมรรค ตู๋กูยงตะโกนเสียงดัง
มุมปากของฟางเต้าผิงกระตุก มีหรือจะฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะลากเขาลงน้ำไปด้วย
“เฒ่าฟาง ไปเถอะ เฒ่าตู๋กูพูดไม่ผิด”
เสวียนเฟยหลิงและคนอื่นๆ ต่างพากันเอ่ยปาก
“ก็ดี”
ฟางเต้าผิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กระโจนตัวเคลื่อนย้ายเข้าสู่ลานมรรคแล้วบุกใส่หลินสวินทันที
ตูม!
เงาร่างเขาผอมตอบ ทั่วร่างมีแสงสีเขียวเจิดจ้าไหลเวียน ทุกท่วงท่าอิริยาบถล้วนมีวิชาอัศจรรย์นับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมา ความยิ่งใหญ่แห่งอานุภาพทำให้ผู้คนต้องเหลียวมอง
“เฒ่าฟางช่างเป็นคนรู้ความดียิ่งนัก เพิ่งเข้าลานมรรคก็ปล่อยพลังทั้งหมดแล้ว เห็นชัดว่ารู้ดีว่าการต่อสู้โรมรันกับปีศาจอย่างหลินสวินไม่สามารถออมมือได้”
หยวนอู่เทียนหัวเราะขึ้นมา
สถานการณ์ต่อสู้ในลานมรรคใจกลางยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ รองหัวหน้าหอสองคนร่วมกันโจมตีหลินสวินคนเดียว เรื่องระดับนี้สามารถทำให้คนระดับเดียวกันคนใดก็ตามอกสั่นขวัญแขวนได้ชัดๆ
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเสวียนเฟยหลิงต่างรู้สึกแปลกใจคือ แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ การรับมือของหลินสวินกลับยังคงผ่อนคลายเช่นเดิม มีระเบียบแบบแผน ไม่เห็นว่าเปลืองแรงสักนิด
ต่อให้เป็นการโจมตีกร้าวแกร่งน่าสะพรึงแค่ไหน ล้วนถูกเขาปัดสลายไปอย่างง่ายดาย
พวกเสวียนเฟยหลิงมองหน้ากันไปมา มีหรือจะมองไม่ออกว่าต่อให้ฟางเต้าผิงกับตู๋กูยงจะร่วมมือกัน ก็ยังไม่สามารถบีบหลินสวินให้เผยพลังทั้งหมดออกมาได้!
นี่น่าเหลือเชื่อเกินไป
“หยวนอู่เทียน ไม่เห็นหรือว่าเฒ่าฟางไม่ไหวแล้ว เจ้ายังมัวรออะไรอยู่”
ตู๋กูยงเริ่มตะโกนเสียงดังอีกครั้ง
ประโยคเดียวแต่พลังทำลายล้างกลับยิ่งใหญ่นัก ทำเอาฟางเต้าผิงและหยวนอู่เทียนล้วนกัดฟันระลอกหนึ่ง
“หลินสวิน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
หยวนอู่เทียนกล่าว
รองหัวหน้าหอที่อยู่มาไม่รู้กี่กาลเวลาสองคนร่วมกันจัดการรองหัวหน้าหอวัยหนุ่มอย่างหลินสวิน นี่หากกระจายออกไปย่อมน่าขายหน้ายิ่งแล้ว
หากรองหัวหน้าหอสามคนโจมตีพร้อมกัน นั่นก็รังแกกันเกินไปบ้างแล้ว
“ผู้อาวุโส แค่เข้ามาก็พอ”
ในลานมรรคหลินสวินแหงนหน้ายิ้มกล่าว
“ดี!”
หยวนอู่เทียนไม่พูดมากอีก กระโจนตัวพุ่งเขาสู่ลานมรรค
ฉับพลันสถานการณ์การต่อสู้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดอ่อน เมื่อมีหยวนอู่เทียนเพิ่มเข้ามา ยามหลินสวินรับมือก็เห็นชัดว่าไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ยังไม่ทันรอให้พวกเสวียนเฟยหลิงถอนใจโล่งอก ก็เห็นในลานมรรคเงาร่างสูงโปร่งของหลินสวินพลันเปล่งแสงออกมา อานุภาพของเขาพุ่งทะยานขึ้นอีกช่วงใหญ่
เพียงครู่เดียวการโจมตีของรองหัวหน้าหอสามคนอย่างตู๋กูยง ฟางเต้าผิง หยวนอู่เทียนถูกสกัด ถึงขั้นมีสัญญาณว่าจะถูกหลินสวินกำราบอยู่รางๆ
นี่ทำเอาพวกเสวียนเฟยหลิงมองจนตาลายระลอกหนึ่ง นี่ถึงจะเป็นฝีมือแท้จริงของหลินสวินหรือ
ไม่ต้องสงสัยสักนิด ก่อนหน้านี้แม้หลินสวินจะเผชิญหน้ากับรองหัวหน้าหอสองคนอย่างตู๋กูยงกับฟางเต้าผิงก็ยังออมมืออยู่บ้าง ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด
เพราะมีหยวนอู่เทียนเพิ่มเข้ามา ถึงบีบให้เขาไม่กล้าออมมืออีก!
“น้องอวี๋สิ่ง เจ้าก็ไปด้วย”
เสวียนเฟยหลิงนัยน์ตาลุกพราว “ข้ายากเห็นนักว่าหลินสวินจะยืนหยัดได้ถึงเมื่อไหร่”
“ดี”
อวี๋สิ่งรวดเร็วยิ่ง ไม่พูดพล่ามสักนิดก็พุ่งเข้าไปในลานมรรคทันที
ตูม!
ลานมรรคใจกลางกว้างใหญ่ไพศาลปานใด แต่เวลานี้กลับถูกแสงมรรคประกายศักดิ์สิทธิ์กลบท่วม มีลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงมากมาย เสียงอึงอลจากการต่อสู้ดังก้องกลางฟ้าดิน
คนทั่วไปหากอยู่ที่นี่ย่อมไม่สามารถมองสถานการณ์ต่อสู้ได้ชัดเจนสักนิด
ก็มีเพียงพวกเสวียนเฟยหลิง ถึงสามารถมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในลานมรรคขณะนี้ได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่หว่างคิ้วของพวกเขาค่อยๆ เผยแววเคร่งขรึมขึ้นมาแล้ว
รองหัวหน้าหอสี่คนบุกพร้อมกัน ถึงกับยังกำราบหลินสวินไม่ได้!
แต่ละคนล้วนใช้พลังทั้งหมด สามารถสังหารคนระดับขั้นเดียวกันในโลกภายนอกพวกนั้นได้อย่างง่ายดายแล้ว ทว่าพวกเขาร่วมมือกันกลับยังไม่สามารถข่มประกายคมของหลินสวินได้!
นี่น่าเหลือเชื่อเกินไป
พวกเขาสังเกตโดยละเอียด เมื่อมีรองหัวหน้าหอเพิ่มเจ้าไป อานุภาพบนตัวหลินสวินก็จะไต่ทะยานตามไปด้วยช่วงหนึ่ง และทุกครั้งล้วนสามารถรับการโจมตีทั้งหมดได้อย่างพอดิบพอดี
พวกเสวียนเฟยหลิงอายุมากพรั่งพร้อมประสบการณ์ มีหรือจะมองไม่ออก เกรงว่าหลินสวินคงไม่อยากชนะเร็วเกินไปจนหักหน้าเจ้าเฒ่าพวกนั้นกระมัง
แน่นอน มองจากข้างๆ ก็พิสูจน์ได้ ว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินกร้าวแกร่งจนถึงขั้นทำให้ผู้คนไม่อาจมองตื้นลึกออกแล้ว!
ทุกครั้งยามคิดว่าเขาจะถูกบีบจนต้องใช้พลังทั้งหมก อานุภาพบนตัวเขาก็จะพุ่งขึ้นอีกช่วงหนึ่ง นี่ทำให้พวกเสวียนเฟยหลิงล้วนรู้สึกมึนงง
“เฒ่าถง เจ้ากับเฒ่าจางก็เข้าไปด้วยกัน”
เสวียนเฟยหลิงเอ่ยสั่ง
ถงเจาอวิ๋นและจางเชียนซีสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนเคลื่อนไหวแล้ว
พวกเขาไม่สนหน้าอะไรแล้ว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ทำให้จิตต่อสู้ของพวกเขาถูกจุดติดขึ้นมาเช่นกัน สงสัยใคร่รู้ว่าต้องมีพลังแข็งแกร่งแค่ไหนจึงจะสามารถบีบหลินสวินให้สำแดงพลังทั้งหมดออกมาได้
การเข้าร่วมของถงเจาอวิ๋นและจางเชียนซี ทำให้สถานการณ์การต่อสู้ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นรองหัวหน้าหอหกคนร่วมกันจัดการหลินสวินคนเดียว
เทียบกับเมื่อครู่ สถานการณ์เปลี่ยนเป็นดุเดือดขึ้น
และก็เป็นตอนนี้ที่หลินสวินรู้สึกถึงแรงกดดันขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ก็ยังห่างไกลไม่พออยู่ดี!
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปลดปล่อยมรรควิถีแห่งตนสุดกำลังโดยสมบูรณ์ ทุกการเคลื่อนไหวเปี่ยมด้วยท่วงทำนองไร้ศัตรูที่สยบกำราบทุกสิ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ทลายการล้อมโจมตีของสัตว์ประหลาดเฒ่าหกคนออกมาได้!
นี่เรียกเสียงอุทานระลอกหนึ่งขึ้นในลาน พวกตู๋กูยงเบิกตากว้าง ล้วนไม่กล้าเชื่อ
ควรรู้ว่าพวกเขาเป็นถึงรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด ผ่านประสบการณ์โชกโชนมานานปี มองดูการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลกมามาก ต่อให้เป็นคนระดับเดียวกันในสิบยักษ์ใหญ่อมตะก็ยังไม่อยู่ในสายตาพวกเขา
อีกทั้งด้วยพลังต่อสู้ของพวกเขา ก็หาใช่สิ่งที่คนระดับเดียวกันทั่วไปจะเทียบได้
แต่ตอนนี้ภายใต้สถานการณ์หกรุมหนึ่ง พวกเขายังคงไม่สามารถกำราบหลินสวินได้ ตรงข้ามกลับถูกเขาพลิกสถานการณ์ เป็นฝ่ายโจมตีกลับ!
“เฒ่าเสวียน เหลือเจ้าคนเดียวแล้ว เจ้าตั้งใจจะชมเรื่องสนุกไปถึงเมื่อไหร่กัน”
ตู๋กูยงตะโกนเสียงดัง
เสวียนเฟยหลิงทอดถอนใจในใจ ภายหน้าเกรงว่าคงต้องถูกลื่อคนนั้นของตนเอาเรื่องนี้มาล้อไปอีกนานแน่
เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว
ฟุ่บ!
เงาร่างของเขาพริบวาบเข้าสู่ลานมรรค
รองหัวหน้าหอเจ็ดคนโจมตีพร้อมกัน จิตต่อสู้ทั่วร่างหลินสวินถูกกระตุ้น ยิ่งสู้ยิ่งหาญกล้า
พวกตู๋กูยง เสวียนเฟยหลิงแต่ละคนก็กัดฟันกรอด ปลดปล่อยความสามารถทั้งหมดออกมา ความแข็งแกร่งของหลินสวินกระตุ้นเพลิงโทสะของเฒ่าชราเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
เวลาเคลื่อนคล้อย
ขณะที่พวกตู๋กูยงแทบจะโจมตีจนตาแดงก่ำแล้ว จู่ๆ หลินสวินก็ล่าถอยออกมา กล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ยุติเพียงเท่านี้แล้วถือว่าเสมอกันเป็นอย่างไร”
พวกตู๋กูยงต่างอึ้งไป มองดูหลินสวินที่ไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด ยืนอมยิ้มอยู่ไกลๆ ในใจพลันเกิดอารมณ์ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา รู้สึกว่าอึดอัดบริเวณอกยิ่งนัก
สุดท้ายก็ยังเอาเจ้าหมอนี่ไม่ลง!!
เมื่อฝุ่นควันจางหาย นอกลานมรรคใจกลางไม่รู้มีเงาร่างมากมายยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งในลัทธิแรกกำเนิด เวลานี้ต่างเบิกตากว้าง มองดูทุกเหตุการณ์นี้ด้วยความสะท้านสะเทือน สีหน้าอึ้งค้าง
ก่อนหน้านี้ด้วยมรรควิถีของพวกเขามองไม่เห็นการต่อสู้ในลานมรรคใจกลางได้ถนัดตาสักนิด แต่ตอนนี้พวกเขาล้วนมองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง นั่นคือ…
รองหัวหน้าหอเจ็ดคนร่วมกันโจมตีหลินสวิน!?
สวรรค์!
นี่บ้าคลั่งเกินไปแล้วกระมัง
——