Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2916 พบหน้า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2916 พบหน้า

ตอนที่ 2916 พบหน้า

น่านฟ้าที่หกมีทั้งหมดสามสิบหกแคว้นเทพ

แต่ละแคว้นเทพล้วนกว้างขวางและยิ่งใหญ่เหมือนโลกแห่งหนึ่ง

เผ่าจักรพรรดิอมตะที่กระจายตัวอยู่ในน่านฟ้าที่หกแทบจะปกครองพื้นที่แคว้นเทพแห่งหนึ่ง เผ่าจักพรรดิอมตะที่มีอิทธิพลยิ่งยวดบางแห่งถึงขั้นปกครองแคว้นเทพสองแห่งขึ้นไป!

สองวันให้หลัง

ทะเลประหัตมาร เกาะกาฬทักษิณ

หลินสวินปรากฏตัวกลางอากาศ เพียงแต่ยามมาถึงทางเข้าถ้ำสวรรค์ปรกอุดม กลับพบว่าทางเข้าถูกทำลายหนักหน่วง

หรือว่าศัตรูหาที่นี่เจอแล้ว

ในใจเขาพลันบีบรัด เรือนกายพริบไหวพุ่งเข้าไปในนั้น

ในถ้ำสวรรค์ปรกอุดมราวกับเศษซากโลกใบหนึ่ง ทุกที่ล้วนมีสภาพย่อยยับพังทลาย

เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่ที่เก็บตัวของท่านลู่ เขาเคยก่อตั้งสำนักถ้ำสวรรค์ปรกอุดมที่นี่ ภายหลังตระกูลลั่วก็ย้ายที่ตั้งมาอยู่ที่นี่เช่นกัน

ทว่าตอนนี้ที่นี่กลับถูกทำลายแล้ว!

นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก แผ่จิตรับรู้ออกไป

หลังจากนั้นพักใหญ่หลินสวินถึงถอนหายใจโล่งอก แม้ถ้ำสวรรค์ปรกอุดมจะถูกทำลาย แต่ที่นี่กลับไร้ซึ่งคราบเลือด ซ้ำยังไม่มีร่องรอยการต่อสู้รุนแรง และแน่นอนว่าไม่มีซากศพด้วยเช่นกัน

นี่ทำให้หลินสวินตัดสินได้ทันทีว่ายามศัตรูมาถึงที่นี่ คนตระกูลลั่วและท่านลู่ที่เคยอยู่ที่นี่คงจากไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว!

‘พวกท่านพ่อท่านแม่กับท่านลู่น่าจะมุ่งหน้าไปถ้ำเทพแสงเหนือแล้ว…’

หลินสวินนึกได้ว่าตอนนั้นท่านลู่เคยบอกว่าหากมีอันตรายเกิดขึ้น พวกเขาจะอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมุ่งหน้าไปถ้ำเทพแสงเหนือ หนึ่งในสามเขตผนึกของทะเลประหัตมาร

ในถ้ำเทพแสงเหนือมีแดนลับแห่งหนึ่ง ขอแค่หลบเข้าไปได้ ต่อให้เป็นขั้นหลุดพ้นก็ยากจะเข้าไปได้

ไม่กี่ชั่วยามต่อมา

หลินสวินมาถึงบริเวณใกล้ถ้ำเทพแสงเหนือ

เหนือผิวทะเลสีดำกว้างใหญ่ไพศาล ลำแสงตัดสลับงดงามพร่างพราว แน่นขนัดนับไม่ถ้ว ปกคลุมห้วงอากาศที่อยู่ภายในอย่างสมบูรณ์

พวกนั้นคือ ‘แสงเหนือมหามรรค’ เต็มไปด้วยอานุภาพคุกคามถึงชีวิต

ผู้ฝึกปราณที่มีปราณต่ำกว่าระดับอมตะบุ่มบ่ามเข้าไปในนั้นย่อมมีแต่ตายไม่มีทางรอด

ต่อให้เป็นขั้นอายุขัยเทียมฟ้าและขั้นดับเทพ เข้าไปในนั้นก็ยังต้องระวังอย่างมากเช่นกัน

แต่ทั้งหมดนี้ย่อมไม่ยากสำหรับหลินสวิน ร่างเขากะพริบวาบ พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในนั้น

ตลอดทางลำแสงร่ายระบำ แวววับแพราวพราว บ้างดั่งเส้นโค้งแคบยาว บ้างคดเคี้ยวดั่งไหม บ้างกลับคล้ายทวนศึกคมกริบ ลำแสงทุกชนิดเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันตรายแปลกประหลาดยากอธิบาย แตกต่างกับทั้งหมด

แต่ในสายตาคนระดับหลินสวิน ลำแสงที่อันตรายหาใดเปรียบนี้กลับเป็นเจตวัตถุหลอมอาวุธที่ล้ำค่าหายากอย่างหนึ่ง สามารถนำมาหลอมศาสตรามรรคอมตะได้

ตลอดทางนี้หลินสวินเก็บลำแสงติดมือมาไม่น้อย บ้างเต็มไปด้วยกลิ่นอายกัดกร่อนน่าตกใจ บ้างคมกล้าดุดัน แหลมคมยิ่งกว่ากระบี่เทพ บ้างเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแผดเผาน่าพรั่นพรึง…

แน่นอนว่าหลินสวินเองก็เจออันตรายตามทางไม่น้อย หลายครั้งทำเอาเขาต้องลงมือสุดกำลังถึงจะสลายอันตรายที่จู่โจมมากะทันหันได้

กระทั่งเขายังเป็นเช่นนี้ แค่คิดดูก็รู้ว่าถ้าเป็นขั้นหลุดพ้นคนอื่นเข้ามา ย่อมเจอกับปัญหาและอันตรายยิ่งใหญ่เช่นกัน

หลังจากท่องทะยานมาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ

จู่ๆ เค้าโครงโลกเทาขุ่นแถบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในจิตรับรู้ของหลินสวิน

รอบๆ โลกใบนั้นรายล้อมด้วยแสงเหนือมหามรรคแน่นขนัดเหมือนแถบแสง กลายเป็นโลกที่เรียกได้ว่าอันตรายหาใดเปรียบชั้นหนึ่ง

หลินสวินหยุดเท้าจ้องมองตรงนั้นครู่หนึ่ง ในใจอดตะลึงไม่ได้เช่นกัน ตอนนั้นท่านลู่พบโลกเช่นนี้ได้อย่างไร

เขากล้ามั่นใจว่าท่านพ่อท่านแม่และคนตระกูลลั่วอยู่ในนั้นทั้งหมด

ใคร่ครวญครู่หนึ่งหลินสวินก็ก้าวเดินไปทางโลกใบนั้น

ฮู้ม…

พลังระเบียบโลกที่ประหนึ่งกระแสน้ำกดอัดเข้ามา ทว่ายังไม่ทันสัมผัสถูกหลินสวินก็ถูกกฎเกณฑ์อมตะทั่วร่างขจัดไป

เข้าใกล้เขาไม่ได้สักนิด!

นี่คือพลังที่ครอบครองจากการหลอมระเบียบนิพพานได้หกส่วน อานุภาพอัศจรรย์ พลังระเบียบที่โคจรอยู่ในโลกนี้จึงทำอะไรหลินสวินไม่ได้

ไม่นานนักโลกที่กว้างใหญ่ดั้งเดิมปรากฏขึ้นในสายตาหลินสวิน

เขาสูดหายใจ เก็บงำกลิ่นอายทั้งร่างลงไป จากนั้นสองมือไพล่หลังเดินเข้าไปในนั้น

เขาค่อยๆ เห็นสิ่งก่อสร้างเรียงรายสลับซับซ้อน สร้างขึ้นบนที่ราบเขียวมรกต มีแม่น้ำสายใหญ่รินไหลผ่านด้านหนึ่ง

ปักษาเซียนร่ายรำ ส่งเสียงร้องกังวานติดต่อกัน สัตว์ป่าเดินเอ้อระเหยกลางป่าโบราณ ดอกไม้ประหลาดและพืชมงคลหลากชนิดแต่งทิวทัศน์ราวภาพวาด

“บุก!”

“บุก!”

“บุก!”

เสียงตะโกนดังทะยานฟ้าระลอกหนึ่ง ในลานฝึกยุทธ์แห่งหนึ่ง คนหนุ่มสาวหลายคนกำลังฝึกยุทธ์ แต่ละคนกำลังวังชาเต็มเปี่ยม ทั่วร่างแผ่คลื่นพลังแข็งแกร่ง

อีกด้านของลานฝึกยุทธ์มีเงาร่างสูงใหญ่ยืนนิ่ง หนวดเคราดุจง้าว ใบหน้าหล่อเหลากร้าวแกร่ง เป็นลั่วชิงเหิงนั่นเอง!

เห็นชัดว่าเขากำลังสอนพวกคนรุ่นหลังฝึกปราณอยู่

หลินสวินหยุดเท้ามองจากไกลๆ ครู่หนึ่งแล้วเดินหน้าต่อ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นตัวตนของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ

ยามผ่านลานเรือนแห่งหนึ่ง หลินสวินเห็นใต้ต้นไม้ใหญ่โบราณต้นหนึ่งในลานเรือน หัวหน้าตระกูลลั่วเซียวกำลังร่ำสุราพูดคุยกับผู้อาวุโสส่วนหนึ่ง เรื่องที่คุยกันล้วนเป็นเรื่องผ่อนคลายจิปาถะ สีหน้าสบายใจ ส่งเสียงหัวเราะเบิกบานออกมาไม่หยุด

หลินสวินยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินไปเงียบๆ

เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมายตลอดทางหลังจากนั้น บ้างนั่งสมาธิ บ้างหลอมโอสถ บ้างประลองหมาก บ้างกำลังหลับลึก…

บนสีหน้าแต่ละคนฉายแววผ่อนคลาย สงบและอิ่มเอิบ

ไม่ทันไรหลินสวินก็หยุดเท้า

ริมทะเลสาบไกลออกไป ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าพุ่มดอกไม้ กำลังเย็บชุดใหม่ บนใบหน้าขาวกระจ่างงดงามจดจ่อและสงบนิ่งยิ่งยวด

ลมสะเลสาบพัดมาเป็นระลอก ทำให้แขนเสื้อนางพลิ้วสะบัด

ข้างกายนางมีชายคนหนึ่งกำลังก่อไฟย่างปลา บางครั้งหยิบน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอึกหนึ่ง จากนั้นก็หยีตาผิวปากสบายใจ

“หยุดทำแล้วมาชิมปลาตัวนี้ที่ข้าย่างเร็ว สดใหม่ยิ่ง กินตอนร้อนๆ ถึงจะอร่อยที่สุด” ไม่นานนักชายคนนั้นก็หยิบปลาที่ย่างสุกกำลังดีส่งถึงข้างริมฝีปากหญิงผู้นั้น ยิ้่มระรื่นพลางกล่าว

ฝ่ายหญิงไม่แม้แต่จะเงยหน้า กล่าวว่า “รอข้าทำชุดนี้เสร็จก่อน”

นางจดจ่อมากจนไม่มองปลาย่างหอมฉุย

ฝ่ายชายกล่าวอย่างจนใจ “ชิงสวิน ด้วยความสามารถของสวินเอ๋อร์ ตอนนี้ยังจะขาดเสื้อผ้าอีกหรือ ยิ่งกว่านั้นในหลายปีนี้เจ้าช่วยทำชุดใหม่ให้เขาไปร้อยกว่าชุดแล้ว ไม่มีทางใส่ครบสักนิด”

ฝ่ายหญิงกล่าว “เจ้าไม่เข้าใจ”

ชายผู้นั้นกลอกตา “ถ้าเจ้าไม่กิน ข้าก็จะเอาปลาย่างนี่ไปทิ้งแล้ว”

พูดพลางทำท่าจะโยนทิ้ง

มือของลั่วชิงสวินหยุดลง กลอกตาใส่เขาอย่างฉุนๆ “อายุตั้งเท่าไรแล้วยังจะทำเป็นเด็กอีก ถ้าถูกคนเห็นเข้าต้องหัวเราะเจ้าแน่ๆ”

ขณะพูดนางก็กินปลาย่างไปคำหนึ่ง นัยน์ตางามหยีลงทันที “อร่อย! คิดไม่ถึงว่าฝีมือของเจ้าหลินเหวินจิ้งนับวันจะยิ่งไม่ธรรมดา”

หลินเหวินจิ้งกล่าวอย่างเบิกบาน “ถ้าเจ้าชอบกิน ข้าก็จะทำให้เจ้าไปตลอดชีวิต”

“นี่เจ้าพูดเองนะ ห้ามเสียใจภายหลัง” ดวงหน้าของนางเต็มไปด้วยความรักใคร่

หลินเหวินจิ้งหัวเราะลั่น “ข้าหลินเหวินจิ้งเคยเสียใจภายหลังเมื่อไรกัน”

มองเห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ มุมปากหลินสวินก็เผยรอยยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ในใจรู้สึกอิ่มเอิบและสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

หลังจากครู่ใหญ่เขาก็หมุนตัวจากไปเงียบๆ

ในถ้ำสถิตแห่งหนึ่ง ลู่ป๋อหยากำลังศึกษามรรคอักขระ ไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อยว่ามีสายตาหนึ่งจ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน

“อู๋ซวง ในช่วงไม่กี่ปีหลังจากนี้ เจ้าช่วยเฝ้าที่นี่ให้ข้าด้วย”

หลินสวินยืนอยู่นอกปราการโลก เอ่ยปากเสียงเบา

อู๋ซวงในชุดขาวยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างเชื่อฟังประหนึ่งสาวน้อยงดงามบริสุทธิ์ เมื่อได้ยินดังนี้ในดวงตาโตใสกระจ่างเต็มไปด้วยน้ำตา กล่าวว่า “นายท่าน ซวงเอ๋อร์ไม่อยากแยกกับท่าน”

หลินสวินยิ้มพลางเขกหน้าผากอู๋ซวงคราหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าเป็นวิญญาณระเบียบ จะมาร้องไห้สะอึกสะอื้นได้อย่างไร อย่าออดอ้อนหน่อยเลย”

อู๋ซวงกล่าวอึกอัก “อู๋ซวง… ก็แค่ไม่อยากจากนายท่าน”

หลินสวินกล่าว “วางใจเถอะ รอจัดการศัตรูพวกนั้นแล้วข้าจะกลับมารับเจ้าจากไป”

นัยน์ตาอู๋ซวงวาววาบ กล่าวอย่างเร่งเร้า “จริงหรือ”

“แน่นอน” หลินสวินพยักหน้า

ตอนนี้อู๋ซวงฟื้นพลังได้ถึงเก้าส่วนของพลังในสมัยก่อนแล้ว แข็งแกร่งยิ่งกว่าระเบียบขั้นเก้าที่หายากเหล่านั้น ทำให้หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ว่ายามอู๋ซวงฟื้นสภาพสมบูรณ์ เกรงว่าจะเทียบได้กับพลังระเบียบระดับเทพ

มีนางคุ้มครองดูแลที่นี่ ในใจหลินสวินก็จะวางใจลงได้มาก

“ยันต์หยกนี้เจ้ารับเอาไว้ ในนี้มีรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่งของข้าอยู่ หากพบเจออันตรายก็นำสิ่งนี้มอบให้ท่านลู่” หลินสวินส่งยันต์หยกที่เตรียมไว้ชิ้นหนึ่งให้อู๋ซวง

“นายท่าน ซวงเออร์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน” อู๋ซวงเอ่ยเสียงชัดเจน สีหน้ามาดมั่น

หลินสวินขยี้ศีรษะน้อยๆ ของนาง หมุนตัวจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

เขาได้พบหน้าหน้าญาติมิตรเหล่านั้นแล้ว ต่อให้ไม่ได้ทักทาย ไม่ได้พูดคุย แต่เขาก็พอใจมาก

มองส่งร่างของหลินสวินที่ค่อยๆ จากไป เงาร่างของอู๋ซวงพริบวาบคราหนึ่ง กลายเป็นพลังระเบียบไร้รูปแถบหนึ่งและหายไปใกล้ๆ โลกแสงเหนือใบนี้เช่นกัน

เจ็ดวันให้หลัง

น่านฟ้าที่หก แคว้นเทพวารีนภา

หลายปีก่อนมีเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลตั้งรกรากในอาณาเขตแคว้นเทพวารีนภา

แบ่งเป็นตระกูลลั่ว ตระกูลเหยา ตระกูลหลิง

เขาเทพหลังมังกร แดนมงคงชั้นยอดในแคว้นเทพวารีนภา

เดิมทีที่นี่เป็นที่อยู่ของตระกูลลั่ว ทว่าหลังจากตระกูลลั่วย้ายถิ่นฐานออกไปในปีนั้น เขาเทพหลังมังกรก็ถูกเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหยายึดครอง

ปัจจุบันตระกูลสายรองของตระกูลเหยาตั้งรกรากอยู่ที่เขาเทพหลังมังกร

ผู้นำตระกูลของตระกูลเหยาสายรองชื่อเหยาฉางฉง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลเหยาสายหลัก มีมรรควิถีระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ

น่านฟ้าที่หก อย่างไรก็สู้น่านฟ้าที่เจ็ดไม่ได้ ทั้งห่างชั้นกับน่านฟ้าที่แปดอย่างเทียบไม่ติด

และในน่านฟ้าที่หก ตระกูลเหยาก็ทำได้แค่วางตัวเป็นใหญ่ในแคว้นเทพวารีนภาเท่านั้น ไม่อาจเทียบขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลเฮ่อ

อิทธิพลที่ตระกูลเหยามีในตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าช่วงที่ตระกูลลั่วตกต่ำถึงขีดสุดอยู่เล็กน้อย

เดิมที่ตระกูลเหยามีผู้อาวุโสสูงสุดสี่คนที่เหยียบย่างมรรคาอมตะ

แต่เมื่อหลายปีก่อน ตระกูลเหยาและตระกูลหลิงต่างส่งระดับอมตะสองคนและระดับบรรพจารย์จักรพรรดิร้อยกว่าคนออกเคลื่อนไหว ยามเข้าโจมตีตระกูลลั่ว ระดับอมตะสองคนนั้นล้วนร่วงหล่น

ถึงตอนนี้ตระกูลเหยาเหลือระดับอมตะเพียงสองคนเท่านั้น

ตระกูลหลิงเองก็เช่นเดียวกัน

ศึกใหญ่ครั้งนั้นหลินสวินกับลู่ป๋อหยาร่วมมือกัน โจมตีทัพพันธมิตรของพวกเขาจนยับเยิน รากฐานพลังเสียหายอย่างหนัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจฟื้นตัวได้

และก็เป็นวันนี้ที่เงาร่างของหลินสวินปรากฏตัวหน้าเขาเทพหลังมังกร

………………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท