“โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก ข้าไม่สามารถไปที่ใดได้งั้นหรือ?” หลัวซิววางแก้วสุราลง ร่างของเขาแผ่ซ่านความมั่นใจที่ทรงพลังและไม่มีผู้ใดเทียบได้
ผู้คนจำนวนมากที่นั่งอยู่ที่นั่นก็ยังได้รับอิทธิพลจากพลังความมั่นใจนี้ ทำให้หลายคนรู้สึกประทับใจ
“เจ้าสำนักหลัวกล่าวเช่นนี้จะมิดูเย่อหยิ่งเกินไปหรือ เทพมารในโลกพวกเขาไม่สามารถปราบปรามท่านได้หรือ? ท่านต้องรู้ไว้ ไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ผู้แข็งแกร่งกว่ามักเป็นที่เคารพนับถือ” มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดาราขมวดคิ้วกล่าวด้วยท่าทางไม่พึงพอใจ
“เหอะๆ กล่าวได้ดี!”
หลัวซิวยิ้มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาจับจ้องไปทางมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดาราแล้วกล่าวว่า: “ผู้ที่แข็งแกร่งกว่างั้นหรือ ในความคิดของท่านแล้วนั้น ระหว่างท่านกับข้าผู้ใดเป็นที่เคารพนับถือมากกว่ากันเล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่าทีการแสดงออกของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดาราก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะเป็นชายที่แข็งแกร่งในมหาจักรพรรดิยุทธ์ตอนปลาย แต่เขารู้ว่าหลัวซิวเคยต่อสู้กับจักรพรรดิหงส์ พลังการต่อสู้เกือบจะเทียบได้กับเทพมาร
เขาผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่น่าสะพรึงกลัว ผู้ที่มีความแข็งแกร่งในแดนจักรพรรดิหลายคนซึ่งฝึกฝนมานับพันปีไม่อาจเทียบได้
“เจ้าสำนักหลัว ข้ายอมรับว่าพลังของท่านนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ทุกอย่างล้วนมีขีดจำกัด หากล้ำเส้นเขตแดนไปคาดว่าคงจะไม่ดีนัก”
มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดารากล่าวด้วยเสียงที่ลึกล้ำว่า “เมื่อตอนที่ท่านสร้างความวุ่นวายขึ้นต่อเผ่าหงส์ ณ ป่าอู๋ถง เหยียบย่ำตำหนักอัคคีนภา เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ทิศเห็นว่าท่านยังเด็กไม่รู้เรื่องราว การฝึกฝนยังไม่ดีพอ ดังนั้นจึงมิมีผู้ใดถือสาท่าน บัดนี้ข้าจะขอเตือนท่านสักหนึ่งประโยคว่าทางที่ดีท่านควรหยุดแต่เพียงเท่านี้”
“หยุดเพียงเท่านี้?”
หลัวซิวถือแก้วสุราอยู่ในมือ ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ยอดเยี่ยมนัก หยุดแต่เพียงเท่านี้นะหรือ!”
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไปฉายแววเฉียบแหลม สายตาคู่นั่นจับจ้องไปที่มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดารา ยิ้มเยาะว่า: “เมื่อครั้งที่ข้ายังอ่อนแอในอดีต แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของท่านส่งผู้มีความสามารถเก่งกาจจำนวนนับไม่ถ้วนตามล่าข้า เหตุใดไม่รู้จักหยุดเล่า?”
“ท่านบอกข้าว่าในบัดนี้ผู้แข็งแกร่งล้วนเป็นผู้ที่ทุกคนนับถือ ในเมื่อบัดนี้ข้ามีความแข็งแกร่งเพียงพอ ทว่ามีพวกคนอ่อนแอที่ไม่รู้จักประมาณตนเองมักข้ามากระตุกหนวดเสือ ข้ายังจำต้องทนอยู่อีกหรือ?”
หลัวซิวแสดงท่าทางเยาะเย้ยออกมา “เรื่องของข้านั้นข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดมาชี้นิ้วสั่งข้า แม้กระทั่งตำหนักดารานภาของท่าน!”
“เจ้า……”
ใบหน้าของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดารามืดมนลง เขาลุกขึ้นทันที “หลัวซิว เจ้าหารู้ที่ต่ำที่สูงไม่ ในอาณาจักรตะวันออกนี้จะไม่ยอมให้เจ้าเอาแต่ใจตนเองแน่!”
นักยุทธ์ทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นั่นหันมาให้ความสนใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าขัดจังหวะทั้งตำหนักดารานภาและหลัวซิว เพราะทั้งสองไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาจะเข้าไปต่อกรด้วยได้
“ผู้แข็งแกร่งเป็นที่นับถือในโลกใบนี้ ท่านเป็นเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ตอนปลายผู้ด้อยความสามารถ กลับกล้าตะโกนต่อหน้าข้าหรือ?”
หลัวซิวแสดงท่าทีเฉยเมยตลอดมา และในบัดนี้เขาช่างเย็นชา ร่างของเขาปลดปล่อยจิตสังหารที่น่าเกรงขามออกมา
แม้ว่าพลังงานที่แท้จริงในร่างกายของเขาจะอยู่ในขั้นแดนเจ้ายุทธจักรเท่านั้น แต่รัศมีของเขาเต็มไปด้วยเจตจำนงทำลายล้างที่อยู่ยงคงกระพันซึ่งจะกวาดล้างทุกสิ่งได้
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลของหลัวซิว การแสดงออกของจักรพรรดิแห่งตำหนักดาราก็หยุดชะงักลง เขาตะโกนขึ้นว่า “ท่านคิดจะเป็นศัตรูกับตำหนักดารานภาของข้างั้นหรือ?”
“ท่านพูดผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าอยากเป็นศัตรูกับตำหนักดารานภา แต่ตำหนักดารานภาของท่านต่างหากที่คิดจะเป็นศัตรูของข้า”
หลัวซิวยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ในวันนี้ข้าจะสอนท่านให้รู้ว่าการเคารพผู้แข็งแกร่งหมายถึงเช่นไร”
ขณะที่กล่าว หลัวซิวได้ยกมือขึ้น พบว่ามือข้างขวาที่เขายกขึ้นมานั้นมีพลังตราประทับอยู่ กฎสองระดับความเป็นตายอยู่ระหว่างฝ่ามือและนิ้วของเขา การรวมกันของสองขั้วทำให้เกิดพลังเทพดั้งเดิม กลายเป็นตราธรรมจุติมรณะอมตะนี้
เมื่อคู่ต่อสู้เป็นผู้แข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิยุทธ์ตอนปลาย หลัวซิวจึงต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี
“ช่างเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว!”
มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดาราตะโกนอย่างโกรธจัด กฎเวลาดั้งเดิมผันผวนไปทั่วร่างกายของเขา แสงแห่งกฎเวลากลายเป็นหลุมดำจะกลืนพลังตราประทับที่ฝ่ามือของหลัวซิวเข้าไป