มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1056
“ด้านหน้ามีค่ายใหญ่อยู่ค่ายหนึ่ง นามว่าค่ายอสูรฟ้าดูดจิต ดูแล้วน่าจะมียอดฝีมือทางด้านวิชาค่ายกลมาจากโลกาอสูรฟ้า” ซุ๋นซินเหลียน เอ่ยพูดเสียงขรึม
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งขรึมขั้นมา เขาเพียงแต่สามารถมองเห็นสถานที่ที่ไม่มีอยู่บางที่ได้ แต่กลับไม่พบว่าด้านหน้านั้นคือค่ายใหญ่ค่ายหนึ่ง อีกทั้งยังมองที่มาของค่ายใหญ่ไม่ออก
สิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าระดับความเชี่ยวชาญของด้านค่ายกลของซุ๋นซินเหลียนนั้น ห่างไกลจนเขาไม่สามารถเทียบชั้นได้
“ค่ายอสูรฟ้าดูดจิตคือค่ายเทพระดับสามแห่งโลกาอสูรฟ้า เจ้ามีวิธีจัดการได้หรือไม่?” ช่าจื่อเยียนเอ่ยถาม
ซุ๋นซินเหลียนยิ้มบาง ๆ “ค่ายอสูรฟ้าดูดจิตเป็นค่ายเทพระดับสามแน่นอน แต่ว่าผู้ที่จัดวางกลับไม่ใช่นักค่ายเทพระดับสาม อย่างมากก็เป็นนักค่ายเทพระดับหนึ่งเท่ากับข้า”
“เหย ๆ ข้าไม่ได้ลงไม้ลงมือมานานหลายปีแล้ว หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่อ่อนเกินไปก็พอ”
ระหว่างที่พูด หัวคิ้วของซุ๋นซินเหลียนก็มีเข็มทิศอันประณีตชิ้นหนึ่งออกมา เห็นเพียงแค่เข็มทิศนั้นค่อย ๆ ลอยขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ด้านบนมีลายค่ายและสัญลักษณ์สลักเอาไว้อย่างแน่นหนา เป็นสมบัติอันสมบูรณ์แบบชิ้นหนึ่งที่ใช้วิชาค่ายกลสังเวยออกมา
“พวกเราไปกัน!”
ซุ๋นซินเหลียนมือจับเป็นวิชาค่ายกล วิชาค่ายกลทุกวิชาต่างก็ซับซ้อนถึงที่สุด เต็มไปด้วยความลึกลับไร้ที่สิ้นสุด ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าสายตาพร่ามัว ไม่สามารถหาที่มาที่ไปได้
ตามที่นางได้สำแดงวิชาค่ายกลวิชาแล้ววิชาเล่า เข็มทิศค่ายกลมีลายค่ายและสัญลักษณ์ลอยออกมานับไม่ถ้วน พันรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นค่ายใหญ่ค่ายหนึ่ง ปกป้องทุกคนที่อยู่บนหลังของงูมรณาจิ่วหยินเอาไว้ภายในค่ายใหญ่
“ซุ๋นซินเหลียน ได้ยินมาว่าเจ้าคือนักค่ายเทพที่อายุน้อยที่สุดแห่งโลกเสวียนเทียน เจ้าสามารถทำลายค่ายอสูรฟ้าดูดจิตของข้าหรือไม่?”
อยู่ดี ๆ ก็มีน้ำเสียงเย็นยะเยือกลอยออกมา จากนั้นรอบทิศของอนัตตาก็มีอสูรฟ้าน่าสะพรึงกลัวหลายตนปรากฎตัวขึ้นมา อสูรฟ้าทุกตนต่างมีปราณปีศาจพุ่งสูงเสียดฟ้า ปากที่เต็มไปด้วยเลือดถูกอ้าออก เขี้ยวเล็บแหลมคมดุร้าย พุ่งตรงมาทางเทพมารบนหลังของงูมรณาจิ่วหยิน
“ฆ่า!”
เมื่อช่าจื่อเยียนออกคำสั่ง เทพมารกว่าสิบคนพากันลงมือ ต้านการโจมตีที่เหล่าอสูรฟ้าพวกนั้นพุ่งตรงมาหมายเอาชีวิต
อำนาจของค่ายเทพระดับสาม สามารถทำลายผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารช่วงปลายคนหนึ่งจนตายได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารขั้นสูง ภายในระยะเวลาสั้นอย่าได้หวังว่าจะหลุดพ้นออกมาจากค่ายเทพนี้ได้
อีกทั้งไม่เพียงแค่อำนาจของค่ายเทพระดับสามค่ายนี้ ภายในอนัตตายังมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพปีศาจปรากฏตัวขึ้นจำนวนหนึ่ง ร่วมกับอสูรฟ้าที่ค่ายใหญ่หลอมรวมเอาไว้ พุ่งตรงมาฆ่าช่าจื่อเยียนและคนอื่น
การต่อสู้ระดับนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่หลัวซิวจะสามารถแหย่เท้าเข้าไปได้ แม้ว่าเขาจะมีพลังที่จะสามารถป้องกันตัวเองได้ แต่กลับไม่คิดที่จะเปิดเผยพลังของตนเองอย่างง่ายดายเช่นนั้น
เขาเงยหน้าไปมองด้วยความสงสัย ปลดปล่อยตัวสำนึกของตนออกไป ในฐานะนักค่ายเทพระดับหนึ่งคนหนึ่ง ต่อให้จะมีความเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกลระดับเทพนั้นจะน้อยนิดสักเพียงใด ก็ยังคงรู้ดี ว่าเพียงแค่ค้นหาตำแหน่งของผู้ที่จัดวางค่ายได้ หากคิดจะแก้ทำลายค่ายใหญ่แห่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามค่ายใหญ่แห่งนี้ไร้ร่องรอยตามหาได้ยาก วิธีการของผู้ที่จัดวางนั้นก็ชาญฉลาดมาก ทุก ๆ ที่ต่างคุกรุ่นไปด้วยปราณปีศาจ อสูรฟ้าส่งเสียงคำราม ภายในระยะเวลาอันสั้นหลัวซิวไม่สามารถหาวิธีทำลายค่ายกลนั้นได้
ช่าจื่อเยียนไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับวิชาห้ามค่ายกล แต่พลังของนางกลับแข็งแกร่งจนหาที่เปรียบได้ยาก ไม่เช่นนั้นในตอนแรกคงจะไม่สามารถฝืนทนอยู่ภายในค่ายเทพระดับสี่ได้เป็นเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนั้น
กระโปรงผ้าโปร่งสีดำของนางหายไป กลายเป็นเกราะเทพสีดำเงาชุดหนึ่งแทน ในมือถือกระบี่ยาว ผ้าคลุมด้านหลังสยายไปตามลม ท่วงท่าองอาจ
ผู้ที่นางประมือด้วยนั้นคือเทพปีศาจตนหนึ่งที่มีผลการฝึกตนระดับเทพมารขั้นสูงเช่นเดียวกัน น่าจะเพิ่งมาจากโลกาอสูรฟ้าได้เป็นเวลาไม่นาน พลังนั้นหากเทียบกับเทพปีศาจสยบนภาแล้วยังมากกว่าถึงเท่าหนึ่ง
อีกฝั่งหนึ่ง ซุ๋นหวู่หยาก็แข็งแกร่งมาก พลังอมตะหลากหลายวิชาถูกกำไว้ในมือของเขา แต่ละชนิดมีพลังไร้ขอบเขต โจมตีเหล่าเทพมารจนกระอักเลือดและลอยออกไป