มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1068
“เจ้าหนูคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เพียงผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักร ก็สามารถทำให้เทพมารอสูรตนหนึ่งเป็นข้ารับใช้ได้” ซุ๋นหวู่หยามองแผ่นหลังของหลัวซิวที่ค่อย ๆ จางหายไป
“เช่นนั้นข้าจึงได้ให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ในระหว่างเส้นทางการเติบโตของเขา เมื่อใดที่เขาเติบโตขึ้นมา ครอบครองพลังเทพฟ้า จึงจะสามารถช่วยเหลือข้าได้” ช่าจื่อเยียนกล่าว
“จื่อเยียน ปัญหาครั้งนี้ของเจ้าใหญ่หลวงนัก เกรงว่าต่อให้เจ้าหนุ่มคนนี้ฝึกตนถึงแดนเทพมาร ก็คงจะช่วยเจ้าไม่ได้” ซุ๋นหวู่หยาขมวดคิ้วพูด
สมบัติภายในพระราชวังของเทพสงครามเอกภพหายไป เผ่าปีศาจมารทั้งสองเผ่าพันธุ์ยืนยันหนักแน่นว่านางเอาสมบัติชิ้นนั้นไป ตั้งใจเก็บไว้ครอบครอง หากเรื่องนี้ลอยไปเข้าหูผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเข้า ผลลัพธ์นั้นไม่อาจคาดคิด
อย่าว่าแต่เทพมาร ต่อให้เป็นเทพฟ้า เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น ก็ยังทำได้เพียงแค่คุกเข่าเท่านั้น
“สิ่งที่ข้าทำได้ ข้าก็ทำไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ทำได้เพียงแล้วแต่โชคชะตาเท่านั้น” ช่าจื่อเยียนถอนหายใจ
……
โลกแสงดาวเกณฑ์กฎ ในสมัยโบราณเทพฟ้าได้เปิดโลกพิภพขึ้นมาแล้วใช้พลังเทพส่วนหนึ่งสร้างขึ้นเป็นเป็นพื้นที่พิเศษ
พื้นที่นี้ตั้งอยู่ที่อนัตตาของโลกแสงดาว พลังแห่งกฎแต่ละชนิดหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นเนบิวลา เหมือนเช่นแดนดารา จึงได้เป็นที่มาของชื่อเรียก
จากคำพูดของช่าจื่อเยียน หลัวซิวได้รับรู้ถึงข้อมูลลับบางอย่าง ภายในโลกแสงดาวเป็นดั่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ไม่เพียงแต่มีเหล่าเทพมารจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น วันเวลาเนิ่นนานที่ผ่านพ้นไปก็ยังเคยให้กำเนิดเทพมาร เพื่อที่จะก้าวเดินขึ้นไปยังแดนที่สูงขึ้น เวลาที่ยาวนาน พวกเขาต่างก็หลบภัยอยู่ภายในโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ หวังว่าจะได้พบกับโอกาสที่มาขึ้น
ในท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ ภายในพลังฟ้าดินจิตแฝงไปด้วยความลึกลับของพลังแห่งกฎ เมื่อใช้เวลาอย่างเนิ่นนานฝึกตนอยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ จะมีผลดีต่อการสัมผัสรู้ของแดนกฎ
ยืนอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมองไกลออกไป สามารถมองเห็นโลกแสงดาวที่ดูเหมือนพสุธาขนาดใหญ่ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่
ทันใดนั้น หลัวซิวก็มองเห็นเรือบินขนาดมหึมาลำหนึ่ง เรือบินลำนี้มีความยาวหลายร้อยฟุต สูงหลายสิบฟุต ตระหง่านราวกับภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง
เรือบินลำนี้หล่อหลอมขึ้นด้วยโลหะสีดำชนิดหนึ่ง ด้านบนสลักลายเส้นและสัญลักษณ์ค่ายกลนับไม่ถ้วน มีอุกกาบาตขนาดมหึมาบางส่วนชนเข้าที่ด้านบน วินาทีนั้นก็ถูกแสงค่ายทำลายเป็นผุยผง ไม่มีสิ่งใดสามารถขวางกั้นได้
“สหายผู้นี้ จะขึ้นหรือด้วยหรือไม่?”
บนดาดฟ้าของเรือบิน ชายหัวโล้นคนหนึ่งมองเห็นหลัวซิวยืนอยู่จากที่ไกล ๆ ก็พลันตะโกนเรียกเสียงดัง
หลัวซิวมาที่โลกแสงดาวเกณฑ์กฎเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่นี่ ถึงแม้ช่าจื่อเยียนจะอธิบายโดยย่อมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับสามารถเข้าใจได้ทั้งหมด
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งตัวออกไปยังเรือบินลำนั้น
เมื่อระยะทางยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แสงค่ายที่เปล่งประกายอยู่รอบ ๆ เรือบินก็จางหายไป เปิดเป็นรอยแยกออกมา เพื่อให้หลัวซิวสามารถทะลุเข้าไปได้
เมื่อหลัวซิวทิ้งตัวลงบนดาดฟ้าแล้ว ก็ไม่ได้ใช้ตัวสำนึกสำรวจเรือบินลำนี้ แต่ใช้การสัมผัสรู้ผ่านลูกแก้วความเป็นตาย และพบว่าบนเรือบินลำนี้มีออร่านักยุทธ์อยู่ราว ๆ ไม่น้อยกว่าสองร้อย
นักยุทธ์แต่ละคนบนเรือบินลำนี้ มีผลการฝึกตนอย่างต่ำที่สุดคือแดนเจ้ายุทธจักร เจ้ายุทธจักรสองร้อยคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน นี่คือกำลังจะไปทำอะไรกันแน่?
ชายหัวโล้นคนนั้นที่เป็นคนตะโกนเรียกให้หลัวซิวก็เดินเข้ามา พูดพร้อมรอยยิ้ม “สหายท่านนี้ก็มาเพื่อค้นหาแดนปริศนาเทพมารหรือ?”
“แดนปริศนาที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารทิ้งเอาไว้หลังเสียชีวิตนั้นไม่ได้พบเจอได้ง่ายนัก ต่อให้เป็นแดนปริศนาที่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทิ้งเอาไว้ก็ยังเป็นขุมสมบัติขนาดใหญ่ ครั้งนี้แก๊งรอบรู้จะไปสำรวจแดนปริศนาเทพมารแห่งหนึ่งที่ยังไม่เคยถูกเปิดมาก่อน สหายก็คงจะเคยได้ยินข่าว ดังนั้นจึงได้มายังที่แห่งนี้เพื่อรอขึ้นเรือใช่หรือไม่?”