GGS:บทที่ 1109 เหตุผล
หลังจากเสร็จจากการโจมตีอเมริกาแล้ว ซูจิ้งได้จากไปโดยเขาได้กับวัตถุบินลึกลับและชุดเกราะไอร่อนแมนเอาไว้ในกระเป๋ามิติ ส่วนหลัวฉือหลินเองในตอนนี้อยู่สถานะที่ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนพบเห็นได้อยู่แล้วจึงสามารถหลบที่ไหนก็ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต่อให้อเมริกาจะควานหาคนที่ใส่ชุดเกราะไอร่อนแมนมากมายขนาดไหนก็ไม่เจออะไรเลยแม้แต่ปลายขน
เหตุการณ์นี้ทำให้เป็นครั้งแรกนับแต่ก่อตั้งประเทศเลยก็ว่าได้ที่ทำให้อเมริกาต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ตื่นตระหนกกันไปทั้งประเทศ
ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลลับของซีไอเอนั้น อเมริกายังถือตัวว่าเป็นสุดยอดผู้มีอำนาจของโลกใบนี้และก็พอที่จะใช้อำนาจของตนทำเรื่องต่างๆอย่างตามใจ
มาถึงตอนนี้ ไม่เพียงจะถูกเพ่งเล็งจากประชาคมโลกในสิ่งที่อเมริกาได้กระทำลงไป แถมกองทัพที่ตนภูมิใจกลับถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือท่า ทำให้ตอนนี้ไม่เหลือเค้าโครงของสุดยอดประเทศที่มีอำนาจที่สุดของโลกอีกต่อไป และอยู่ในสภาพที่จะล่มสลายได้ทุกเวลา
ต่อมา ประเทศจีน ได้เริ่มกดดันประเทศอเมริกาอย่างเต็มเรื่องแบบในเรื่องที่อเมริกาได้ทำการข่มเหงกลุ่มทุนห้วงเวลาฯเมื่อก่อนหน้านี้
ประเทศจีนได้ป่าวประกาศให้ประชาคมโลกได้รับรู้ว่าเหตุผลอเมริกากดดันกลุ่มทุนห้วงเวลาฯนั้นเป็นเพราะว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯได้กลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของประเทศจีนและยังคงมีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเรียกได้ว่าจะกลายเป็นบริษัทที่นำพาประเทศจีนไปสู่ยุคสมัยใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย
นี่จึงเป็นเหตุผลที่อเมริกาคิดจะหาเรื่องอย่างไม่ลดละและไม่มีเหตุผลที่ดีพอ
หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ อเมริกา ไม่มีทางเลยที่จะยอมรับท่าทีของจีนที่แสดงออกมา อย่างไรก็ตาม อเมริกาในตอนนี้แทบจะไม่ได้ต่างจากผู้ป่วยติดเตียงที่รอวันตายเท่านั้น อเมริกาถือว่านี่เป็นทางลงที่ดีที่สุดแล้วจึงรีบคว้าเอาไว้ในทันที โดยการส่งฑูตเข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากเจรจากันแล้ว ในที่สุดอเมริกาก็ได้ทำการประนีประนอมเรื่องดังกล่าว และคนที่ชนะในครั้งนี้ก็คือประเทศจีนและซูจิ้ง
ด้วยการที่อเมริกาในตอนนี้ไม่เพียงยากที่จะกดขี่ประเทศใดได้เหมือนดังแต่ก่อน ไม่สิต้องบอกว่าแค่ป้องกันตัวเองก็ยังจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำจึงไม่สามารถทำตัวกร่างได้แบบเมื่อก่อนอีกต่อไป
ที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดก็คือหลังจากอเมริกาประกาศที่จะไม่กีดกันทางการค้ากับกลุ่มทุนห้วงเวลาฯอีกต่อไป ในวันถัดๆมานั้นการโจมตีฐานทัพอเมริกันก็ได้หยุดลงอย่างไม่เห็นวี่แววแต่อย่างใด
เรื่องราวเหล่านี้ทำให้แม้แต่ประชาคมโลกเองก็ยังสังเกตได้ ก่อนหน้านี้อเมริกาส่งสายลับเข้าไปจับคนองสถาบันวิจัยของอเมริกา ถึงแม้จะสำเร็จ แต่ก็จบลงด้วยการทรยศหักหลังประเทศ
กองพบเรืออเมริกาเองที่ไปกักกั้นเรือสินค้าของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯเอง ไม่เพียงจะหายไปเพียงหนึ่งกอง แต่เรียกได้ว่าหายไปยันฐานทัพของอเมริกาเลยก็ว่าได้ จึงไม่แปลกที่จะทำให้ประชาคมโลกจะสงสัยจนจับมาเป็นประเด็นพูดคุย
“ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าประเทศจีนนี่จะรอจังหวะให้เกิดเรื่องแบบนี้ถึงกล้าออกมาแสดงท่าทีหรอกเหรอ พวกนั้นจะเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว”
“ก็จริง แต่นี่ก็หมายความว่าประเทศจีนได้คาดการไว้อยู่แล้วว่าอเมริกาต้องเกิดเรื่องอย่างข้อมูลลับถูกเผยแพร่และกองทัพอเมริกาแตกพ่ายด้วยนา คงไม่ใช่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทั้งหมดมีจีนอยู่เบื้องหลังหรอกนะ”
ความเห็นของชาวเน็ตประเทศจีน
“นี่ไม่ใช่ว่าประเทศเราจะมีกองกำลังลึกลับอยู่หรอกเหรอ”
“ทำไมฉันถึงไม่กล้าเถียงเรื่องนี้เลยนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ คนเดียวที่ฉันนึกออกก็คือท่านเทพฯซูจิ้งของพวกเรานั่นแหล่ะ เรียกได้เลยว่าใครก็ตามที่หาเรื่องเขานี่ศพไม่สวยเลยสักราย”
“ไม่มีทางหรอกน่า ต่อให้ซูจิ้งจะเทพขนาดไหนแต่เรื่องที่เกิดขี้นนี่มันราวกับท้าทายสวรรค์จริงๆนะ”
“ไม่มีโอกาสเหรอ เอ็งลองคิดดีๆสักนิดสิว่าเขานั้นทำอะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นขี่อินทรีย์ทอง ช่วยคนจากกองเพลิง เป็นเจ้าของระบบปัญาประดิษฐ์ รักษาคนจากอาการALS สร้างไฟที่ไม่มีวันดับมอด และเรื่องราวมหัศจรรย์อีกมากมาย เอาจริงๆเลยนะในความคิดของฉันแล้วถ้าอยู่ๆจะมีข่าวออกมาว่าเขานั้นไปตบกะโหลกผู้นำหน่วยงานรัฐบาลอเมริกาสักทีฉันเองก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด
ใครจะไปรู้ล่ะ เจ้าวัตถุบินลึกลับนั่นกับชุดเกราะไอร่อนแมนเองก็อาจจะเป็นหนึ่งในงานวิจัยของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯก็ได้นะ”
“นี่นายจะบอกว่าเป็นเพราะอเมริกาเข้ามากดดันให้กลุ่มทุนห้วงเวลาฯอยู่แต่ในประเทศ เขาเลยออกมาเคลื่อนไหวจนทำให้อเมริการต้องยอมประนีประนอมเนี่ยนะ ไม่มีทาง ถ้าทำได้จริงเขาก็บ้าเกินไปแล้ว”
“ไม่มีทางหรอกน่า นายก็คิดไปซะเวอร์วังเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ว่านั่นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม แต่นี่แสดงให้เห็นว่าต่อให้เป็นโชคร้ายแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่จิ้งก็ต้องหายวับไปในทันที”
ถึงแม้ผู้คนจะพูดกันไปอย่างหลากหลายแต่ไม่มีใครเลยที่จะรู้ความจริงที่เกิดขึ้น ร่องรอยของวัตถุบินลึกลึบและชุดเกราะไอร่อนแมนนั้นไม่ว่าจะสืบยังไงก็สืบไม่เจอ
หากมองจากผลลัพท์ที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าต้องมีจีนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน แต่ประเด็นคือตอนนี้อำนาจของจีนที่แสดงออกมานั้นไม่ได้แสดงออกมาเลยสักนิดว่าตัวเองอยู่เบื้องหลัง และแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าตัวเองเป็นผู้เสียหายแต่แรกเริ่มและยากจะแก้ไขสถานการณ์ด้วยตัวเอง
นี่จึงทำให้ประชาคมโลกเองอดจะทำการสืบสวนถึงขุมพลังที่แท้จริงให้แน่ชัดอีกครั้งไม่ได้ เพราะหากว่าประเทศจีนนั้นมีความแข็งแกร่งพอที่จะทำเรื่องแบบนี้จริงล่ะก็ พวกเขาจะได้ไม่ไปหาเรื่องกลับจีนอีกต่อไป
ในห้องประชุมของเหล่าผู้นำหน่วยงานรัฐบาลอเมริกา ประธานาธิบดีอดไม่ได้ที่จะนำจดหมายขู่ออกมาอ่านอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดใส่ใจกับจดหมายนี้แม้แต่น้อย แต่พอมาในตอนนี้ เขาได้หยิบมันออกมาอ่านอย่างนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“ถ้ายังไม่เลิกกีดกันกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาสล่ะก็ สิ่งที่เกิดกับซีไอเอจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น….”
ประธานาธิบดีได้อ่านข้อความนี้ซ้ำๆจนหน้าเขาในตอนนี้แสดงออกมาอย่างบูดบึ้ง ในฐานะที่เขาเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาคิดแต่เพียงจะหาวิธีการพัฒนาประเทศและควบคุมโลกใบนี้ให้ได้ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าความคิดของตัวเองจะทำให้ประเทศมาอยู่ในจุดนี้ได้
คนอื่นๆที่เห็นท่าทางของประธานาธิบดีก็อดไม่ได้จนเริ่มการพูดคุยออกมา
“จะเป็นไปได้รึเปล่าว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นประเทศจีนทำการแก้แค้นพวกเรา”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็มันก็ควรจะประกาศสงครามกับพวกเราตั้งแต่ตอนขอเข้าไปตรวจสอบแล้วนะ”
“เพียงความคิดนั้นไม่ได้ช่วยอะไรได้หรอก อย่าว่าแต่หลักฐานเลย พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวัตถุบินกับชุดเกราะไอร่อนแมนนั่นมากจากไหน แม้แต่จดหมายนั่นเรายังไม่รู้เลยว่ามาอยู่ในห้องประธานาธิบดีได้ยังไง แล้วเราจะเอาอะไรไปบอกได้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีจีนอยู่เบื้องหลัง”
“เหนือสิ่งอื่นใดเลยนะ หากว่านี่เป็นฝีมือประเทศจีนจริงล่ะก็ แสดงว่าพวกมันมีอำนาจทางการทหารที่เหนือล้ำกว่าใครในโลกแล้ว แล้วพวกเราจะไปทำอะไรได้”
“ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับจีนหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้มีกองกำลังที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ในโลกนี้แล้ว และเหนือล้ำกว่าพวกเรามากนัก”
ในระหว่างที่มีการพูดคุยอยู่นั้นเอง อยู่ๆประตูก็ได้เปิดออกมาและได้มีชายหนุ่มชายยุโรปไม่ก็อเมริกาที่ไม่คุ้นหน้า หลังจากปิดประตูแล้ว ชายคนคนนี้ได้เข้ามานั่งยังที่นั่งที่วางอยู่อย่างไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวอะไรราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเอง
ประธานาธิบดีและผู้นำหน่วยงานรัฐบาลคนอื่นๆเองได้มองหน้าชายคนนี้ด้วยความโง่งมพักใหญ่ จนในที่สุด ชายวัยกลางคนตัวสูงได้ถามออกมาอย่างดุร้ยว่า “แก…เป็น…ใคร”
ตอนนี้ทุกคนต่างก็มองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีใครมีท่าทีแสดงท่าจะรู้จักแต่อย่างใด ชายตัวสูงที่ดูหน้าเกรงขามคนนี้ก็ได้แสดงหน้าตาทีดุร้ายแล้วพูดออกมาต่อว่า “ใครให้มันเข้ามาที่นี่ ใครก็ได้ลากตัวมันออกไปเดี๋ยวนี้”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการตอบสนองจากบอดี้การ์ดที่อยู่นอกห้องประชุมแต่อย่างใด ชายตัวสูงที่ดูหน้าเกรงขามจึงได้หยิบโทรศัพท์เพื่อเรียกคนให้มาลากคนๆนี้ออกไป ถึงแม้ว่าเขาเองยังคงสงสัยอยู่ว่าชายแปลกหน้าคนนี้จะผ่านบอดี้การ์ดที่เข้มงวดและแข็งแกร่งที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยังไงก็ตาม
ไม่นานหลังจากอีกฝั่งของโทรศัพท์รับสายและที่ปลายสายได้รับคำสั่งแล้ว ไม่นาน ก็ได้มีกองกำลังติดอาวุธเต็มอัตราศึกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
ตอนแรกทุกคนในห้องต่างก็คิดว่าการที่ใช้กองกำลังที่เต็มอาวุธแบบนี้มาจับคนๆเดียวค่อนข้างจะเกินไปหน่อย แต่ไม่ทันที่จะคิดต่อ กองกำลังเหล่านั้นกลับมารุมล้อมเหล่าผู้นำหน่วยงานรัฐบาลและใช้อาวุธชี้มาที่พวกเขาในทันที
ประธานาธิบดีและผู้นำหน่วยงานรัฐบาลคนอื่นๆเองได้มองกันด้วยสายตาที่โง่งมอยู่นานก่อนที่จะเริ่มโวยวายออกมา ตอนนี้พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“แก…แกเป็นใครกันวะ” ชายที่ดูอาวุโสคนหนึ่งถามออกมาอย่างโกรธเคือง
“แกเป็นคนเขียนจดหมายข่มขู่นั่นงั้นเหรอ” ประธานาธิบดีรีบถามออกมาก่อนที่จะหยิบจดหมายขึ้นมาแสดงให้ดูอย่างสั่นเทาด้วยความโกรธเคือง
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ฉันให้คนของฉันเขียนแล้วไปวางบนโต๊ะของแก รวมถึง เรื่องข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการณ์ลับต่างๆของซีไอเอ วัตถุบินลึกลับที่ช่องแคบมะละกา และเกราะไอร่อนแมนนั่น ทุกอย่าง มีฉันอยู่เบื้องหลัง” ชายหนุ่มชาวยุโรปไม่ก็อเมริกาได้พูดออกมาอย่างช้าด้วยท่าทีที่ไม่หวั่นเกรง ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างก็มีอาการตกตะลึงจนดวงตาแถบจะทะลักออมาจากเบ้า
“อ้อ แต่อย่าเข้าใจผิดซะว่าฉันทำไปนั้นไม่ได้ต้องการให้พวกแกยอมรับการประนีประนอมอะไรนั่นแต่อย่างใด ที่ฉันออกมาทำแบบนี้เพราะว่าต้องการส่งสัญญาณเตือนพวกแกให้พวกแกเป็นคนเสนอการประนีประนอมเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง เอาเถอะ ยังไงซะกับคนภายนอกแล้วก็คงไม่เห็นถึงความต่างของมันล่ะนะ”
สิ่งที่ชายคนนี้พูดออกมาทำให้ประธานนาธิบดีและผู้นำหน่วยงานรัฐบาลคนอื่นๆสับสนในทันที ไม่ได้ข่มขู่ให้ยอมรับการประนีประนอม แต่ข่มขู่เพื่อให้เสนอการประนีประนอมอย่างนั้นเหรอ หมายความว่ายังไงกัน นี่มันราวกับว่าเรื่องการประนีประนอมจะเกิดขึ้นต่อให้ไม่ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ตามงั้นเหรอ
แต่ยังไม่ทันทีคนเหล่านี้จะทำความเข้าใจอะไรได้ ประธานาธิบดีและผู้นำหน่วยงานของรัฐบาลทุกคนต่างก็รู้สึกหัวหมุนวิงเวียนและสิ้นสติสัมปชัญญะไปในที่สุด