เงาร่างที่ดูทรงพลังที่เดินออกมาจากตรงกลางระหว่างคิ้วของเขาก็คือร่างปีศาจเทพนั่นเอง เป็นผันร่างที่กลั่นมากจากซากศพของผู้แข็งแกร่งเทพมาร ศักยภาพแข็งแกร่งยิ่งใหญ่มาก!
พูดได้เลยว่าร่างปีศาจเทพร่างนี้ของจูเฟยเฉียว นอกจากไม่ได้ผนึกรวมช่องจิตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลการฝึกตนหรือร่างเนื้อ ล้วนอยู่ในระดับเทพมาร
“ศิษย์น้องหลัว ไม่ว่าใครก็ตามที่ทราบความลับของท่านจูล้วนต้องตาย และพวกเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน”หลังจากที่จูเฟยเฉียวหัวเราะจบ เขาก็ได้หยีตาลงพลางกวาดตามองถังหยุนตั้งแต่หัวจรดเท้า“สตรีนางนี้ถือว่าไม่เลวเลย เก็บไว้สนุกให้เต็มที่ก่อนค่อยฆ่าทิ้งก็ไม่สาย”
“เจ้าอ้วนจูเจ้าดีใจเร็วเกินไปหรือเปล่า?”
หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้“ตอนนั้นครั้นเมื่อยังอยู่ในสำนักเขา เจ้าคิดว่ามีอัญมณีแห่งเทพมารอยู่ในมือแล้วจะสามารถเอาชนะข้าได้ แต่ผลสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”มีรังสีความชั่วร้ายผุดขึ้นมาในแววตาจูเฟยเฉียว
“ความหมายของข้านั้นง่ายมาก เจ้าคิดเองเออเองว่ามีร่างปีศาจเทพเป็นอุบายสุดท้ายอยู่ในมือ จึงต้องเป็นฝ่ายชนะแน่นอน แต่ตอนนี้ข้าคงต้องบอกกับเจ้าอย่างน่าเสียดายว่า เจ้าคิดผิดไปแล้ว!”
หลัวซิวเดินอยู่กลางอากาศ เตาเทพที่อยู่ในมือลอยขึ้นเหนือหัว มีแสงอาทิตย์สาดส่องออกมาจากเตาเทพ อัคคีเทพที่ดิ่งลงมากลายเป็นเกราะแสงป้องร่าง
สาเหตุที่เขาพูดคุยกับจูเฟยเฉียวมานานขนาดนี้นั้น แท้จริงแล้วเขากำลังถ่วงเวลา เพื่อใช้เตาเทพกลั่นแปรกำจัดตราสำนึกบนค้อนยักษ์ทองทิ้ง
ณ ตอนนี้ ค้อนยักษ์ทองนั่นกลายเป็นวัตถุไร้เจ้าของแล้ว มันอยู่ภายในเตาเทพแต่โดยดี เมื่อเป็นแบบนี้เขาถึงสามารถควบคุมอนุภาคของเตาเทพต่อได้
หลัวซิวไม่เคยเอาจูเฟยเฉียวเอาไว้ในสายตาอย่างจริง ๆ จัง ๆ มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าไปตายซะ!”
จูเฟยเฉียวตะคอกเสียงดังลั่น ภายใต้การควบคุมของเขา ร่างปีศาจเทพกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงเข้ามาสังหารเขา
หลัวซิวเข้มขรึมไม่รู้สึกกลัวเลย ใช้เตาเทพมาคุ้มกันตนพลางก้าวเท้ายาวไปข้างหน้า
“โครม!”
ร่างปีศาจเทพปล่อยหมัดออกมา ปะทะกับเกราะแสงป้องร่างก่อนจะพบว่าอัคคีเทพเกราะแสงค่อย ๆ แตกกระจายออกเป็นชิ้น ๆ เตาเทพที่อยู่เหนือหัวเขาก็สั่นสะเทือนรุนแรงมากเช่นกัน ราวกับสามารถแตกกระเด็นออกไปได้ตลอดเวลายังไงอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น เขาจิ้มนิ้วลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า จากนั้นนิ้วมือของเขาก็ได้ร่วงลงตรงกลางระหว่างคิ้วของร่างปีศาจเทพร่างนั้นอย่างฉับพลัน
ตัวสำนึกมหาศาลที่เทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารพรั่งพรูออกมา พุ่งเข้าไปในห้วงจักรหยั่งรู้ของร่างปีศาจเทพร่างนี้
ฝึกเซ่นของร่างปีศาจเทพร่างนี้ ใช้วิธีเดียวกันกับการฝึกเซ่นหุ่นเชิดของนักค่ายกล ภายในร่างเทพมารมีลายเส้นค่ายกลและสัญลักษณ์สลักอยู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนห้วงจักรหยั่งรู้นั้นคือค่ายกลสำคัญที่ใช้โคจรหุ่นเชิด
“ทลายซะ!”
หลัวซิวคำรามเบา ๆ ตัวสำนึกพุ่งกระเพื่อมออกไปทั้งสี่ทิศ ทำให้ลายเส้นค่ายกลและสัญลักษณ์ในห้วงจักรหยั่งรู้ของร่างปีศาจเทพร่างนี้แตกกระเจิง
ไม่มีการประคองและการโคจรจากค่ายกลหุ่นเชิด ทำให้ออร่าของร่างปีศาจเทพร่างนี้ลดลงไปดั่งกระแสน้ำในทันที ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน
“ว่าไงนะ?”
จูเฟยเฉียวเบิกตากว้างจนดวงตากลมโต พอจะพูดได้ว่าเขาตกตะลึงพรึงเพริดไปเลย เดิมทีเขาคิดว่าการเรียกร่างปีศาจเทพออกมานั้น ต้องสามารถกำจัดพวกหลัวซิวได้แน่นอน แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าแค่ปะทะหน้ากันแค่ครั้งเดียว ร่างปีศาจเทพก็ถูกควบคุมแล้วอย่างนั้นหรือ?
“แม่งเอ๊ย หนี!”
เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาของหลัวซิวกำลังจ้องมองมาทางตน ร่างกายของจูเฟยเฉียวก็สะดุ้งอย่างควบคุมไม่ได้ เขาจะยังมีเวลาไปนึกถึงอัญมณีแห่งเทพมารและร่างปีศาจเทพของตัวเองได้อย่างไร วินาทีนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตอันน้อยนิดของตัวเองเอาไว้ให้ได้ก่อน
หลัวซิวหัวเราะอย่างเยือกเย็น เตาเทพที่อยู่เหนือหัวลอยขึ้นจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น พุ่งตรงออกไปกลางอากาศ ก่อนจะปรากฏอยู่เหนือหัวจูเฟยเฉียวภายในชั่วพริบตาเดียว ดูดร่างเขาเข้าไปในเตาจนได้ยินเสียงดังชิ่ว
ปัจจุบันการตระหนักรู้และการควบคุมวิถีแห่งกฎของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่กฎการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น ความสามารถในการใช้กฎปริภูมิก็ค่อย ๆ ขึ้นไปในระดับที่เชี่ยวชาญชำนาญแล้วเช่นกัน แม้กระทั่งการตระหนักรู้ในกฎเวลาก็ยกระดับขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน