แต่ทว่าความยากในการกลั่นยามังกรเทพอเวจีก็มีมากกว่ายาเอี๊ยงอัมภรทองเช่นกัน หลัวซิวเพิ่งบรรลุถึงนักยาเซียนระดับ 1 เขาก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าตนจะสามารถกลั่นมันออกมาได้อย่างแน่นอนหรือเปล่า อย่างไรเสียวิชาร่ายทิพย์ที่เขาอนุมานขึ้นมายังไม่สมบูรณ์แบบมากนัก ยังมีโอกาสที่จะกลั่นล้มเหลวอยู่ไม่น้อย
“หื้ม?”
และในตอนนี้ หลัวซิวขมวดคิ้วลงไปอย่างกะทันหัน หัวใจเขาสัมผัสได้และเหมือนจะมองทะลุโลกาศุภรได้ด้วย มองเห็นทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก
ณ ตอนนี้ มีนักยุทธ์ในชุดสีขาวคนหนึ่งกำลังยืนเอามือกอดอก ทำท่าทะนงองอาจอยู่นอกประตูหินห้องที่หลัวซิวปิดขังฝึกตนด้วยคิ้วปลายงอนที่เยือกเย็นและเฉียบคม
“หลัวซิว ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
หนุ่มชุดขาวตะคอกอย่างเยือกเย็น เสียงที่เปล่งออกมาเหมือนดั่งแก่นแท้ ทำให้วิชาห้ามค่ายกลที่จัดวางอยู่บริเวณรอบถ้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็ก ๆ
“โครมม……”
ประตูหินถ้ำเปิดออก จินเฟยเทียนก้าวเท้ายาวออกมา เมื่อเห็นหนุ่มชุดขาวนั่น เขาจึงตวาดด้วยความโกรธ: “ที่แห่งนี้เป็นถ้ำฝึกตนของท่านนายข้า เหตุใดเจ้าถึงมาโวยวายเสียงดังที่นี่?”
“หึ แค่เดรัจฉานกระจก ๆ ตัวหนึ่งก็กล้ามาเอะอะโวยวายต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ?”
หนุ่มชุดขาวทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น ออร่าดุร้ายที่ยิ่งใหญ่ดุดันพรั่งพรูออกมาราวกับภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง กระแทกเข้ากับตัวจินเฟยเทียนอย่างโหดเหี้ยม ทำให้ร่างของเขากระเด็นออกไปในทันที ชนเข้ากับประตูหินที่อยู่ด้านหลังอีกจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
หนุ่มชุดขาวไม่ได้ลงมือเลยด้วยซ้ำ แค่พลังออร่าบนตัวก็ทำเอาจินเฟยเทียนต้านทานไม่ไหวแล้ว พูดได้เลยว่าศักยภาพความสามารถน่าสยดสยองมาก
ถ้ำสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง ถังหยุนที่ฝึกตนอยู่ภายในห้องลับก็ตกใจเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน จิตใจหลัวซิวก็รับรู้ได้แล้ว ตัวสำนึกแพร่กระจายออกมาจากโลกาศุภร ก่อนจะพบหนุ่มชุดขาวที่อยู่ข้างนอกถ้ำ รวมไปถึงจินเฟยเทียนที่ได้รับบาดเจ็บจนเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
หลัวซิวขมวดคิ้วไตร่ตรอง แม้ระยะเวลาที่เขามาถึงสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินไม่ถือว่าสั้นมากนัก แต่ผู้คนที่เขาคบค้าสมาคมมีน้อยมาก ถ้าพูดถึงเรื่องรุกรานผู้อื่น ก็คงจะมีแค่ไอ้อ้วนจูเฟยเฉียวนั่นคนเดียว
“จูเฟยเฉียวถูกข้ากำจัดไปแล้ว……หรือว่า?”
จู่ ๆ หลัวซิวก็นึกถึงหญิงสาวที่เขาเคยพบเจอตอนไปเยี่ยมเยียนเสี่ยวเจียงหมิง
หนุ่มชุดขาวคนนี้ดูยโสโอหังมาก เผด็จการและใช้อำนาจบาตรใหญ่ อากัปกิริยาคล้ายคลึงกับหญิงสาวนั่นมากแค่ไหน?
“หลังจากที่ข้าหลัวซิวเดินลงบนเส้นทางฝึกยุทธ์ ก็มิเคยอ่อนข้อให้ผู้ใดมาก่อน ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าหมอนี่จะมีปัญญาเท่าใด!”
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวแค่นึกคิดในใจ เขาก็ออกจากโลกาศุภรมาถึงโลกภายนอก เศษใจแห่งศุภรก็กลายเป็นลำแสง หายเข้าไปตรงกลางระหว่างคิ้วเขาเช่นกัน
ครั้งนี้เขาฝึกตนปิดขังอยู่ในโลกาศุภรมาห้าปีแล้ว แต่เวลาของโลกภายนอกกลับผ่านไปแค่ครึ่งปีเท่านั้น
“ไอ้แซ่หลัว หากเจ้ายังไม่ไสหัวออกมาอีก ข้าก็จะถล่มถ้ำของเจ้าให้ยับ!”
หนุ่มชุดขาวตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น เห็นเพียงเขาดีดนิ้วลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า ปราณกระบี่หนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับสายลม กลายเป็นเขากระบี่ พุ่งตรงไปยังถ้ำของหลัวซิวพร้อมกับแรงกดดัน เขาจะใช้อำนาจพลังทำลายให้ที่แห่งนี้กลายเป็นพื้นเรียบ
ประตูหินถ้ำเปิดออก หลัวซิวเดินออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก จ้องมองไปทางหนุ่มชุดขาว“เจ้าคือผู้ใด?”
หนุ่มชุดขาวกวาดตามองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นเยือก“เจ้ามีความสามารถเก่งพอตัวจริง ๆ มีสิทธิ์รู้ชื่อของข้าอยู่ และเจ้าก็จำไว้ด้วยว่าผู้ที่จะมาโค่นล้มเจ้าในวันนี้ มีนามว่าหลิงเฟิง!”
“หลิงเฟิง?”
เมื่อได้ยินชื่อดังกล่าว ใบหน้าที่เรียวบางของถังหยุนก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน พูดเสียงต่ำข้างหูหลัวซิว: “หลิงเฟิงผู้นี้คือศิษย์ใจกลาง เป็นลูกศิษย์คนโตของผู้อาวุโสหวู่หยา เล่ากันว่าผลการฝึกตนของเขาอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8 อีกทั้งเขายังเคยสังหารเทพมารอสูรด้วย!”