“นักยุทธ์ทั่วไปหลังจากที่บรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว นักยุทธ์เหล่านั้นก็จะฝึกเซ่นสมบัติพิเศษของตัวเอง ทำให้มันเป็นอัญแห่งบรรลุ จากการยกระดับของผลการฝึกตนและแดนของตัวนักยุทธ์ จะทำให้สมบัติวิเศษวิวัฒนาการกลายเป็นศัสตราวุธ”
หลัวซิวลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากสถานที่ที่ฝึกตนปิดขัง พลางพูดพึมพำคนเดียว: “หลังจากที่ข้าบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็เคยฝึกเซ่นวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหนึ่งด้านเช่นกัน แต่ทว่ามันกลับพังทลายไปในสงครามใหญ่ครั้งหนึ่ง ต้องฝึกเซ่นใหม่อีกด้านแล้วล่ะ”
สำหรับหลัวซิวแล้ว กฎการเวียนว่ายตายเกิดต่างหากที่เป็นรากฐานของเขา ถึงแม้ต่อมาเขาจะมีโอกาสได้ตระหนักรู้ในกฎห้วงเวลา แต่ทว่ากฎที่เขาให้ความสำคัญในการยกระดับมากที่สุดก็ยังคงเป็นการตระหนักรู้ในแดนกฎการเวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นเคย
เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้รับมานั้น ล้วนเกิดจากลูกแก้วความเป็นตาย
และรากฐานของพลังจุติมรณะนั้นขึ้นอยู่กับวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ที่ซึ่งเป็นต้นแบบของวัฏสงสาร ด้วยพลังอมตะหนึ่งพลัง สามารถฝึกเซ่นให้กลายเป็นศัตราวุธกลับชาติได้
ตั้งแต่ที่วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพถูกทำลายไปเมื่อครั้งก่อน หลัวซิวก็ไม่เคยฝึกเซ่นมันอีกเลย หากเขาจะฝึกเซ่น ก็ต้องใช้วัตถุดิบขั้นสูงมาฝึกเซ่น เช่นนี้ถึงจะไม่ถูกทำลายได้ง่าย ๆ เมื่ออยู่ในสงครามใหญ่ สามารถเจริญเติบโตไปพร้อมกับเขา
“ได้ยินมาว่าในโลกเสวียนเทียนมีคูเมืองหนึ่ง ซึ่งมีนามว่าเมืองแก้วเทว ทุกส่วนของคูเมืองดังกล่าวล้วนสร้างมาจากแก้วเทว เจ้าเมืองคือเจ้านภาท่านหนึ่ง ผู้ซึ่งสร้างตัวด้วยการทำธุรกิจ”
“ทรัพย์สินที่ข้าได้มาจากการไปโลกเซียนเสวียนเทียนในครั้งนี้ได้มาไม่น้อย จะว่าไปข้าสามารถไปเที่ยวดูที่คูเมืองนั่นสักรอบก่อนได้ บางทีอาจจะเจอวัตถุดิบที่เหมาะกับการฝึกเซ่นวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพก็ได้”
เดินออกมาจากถ้ำที่เป็นสถานที่ฝึกตนปิดขัง เมื่อได้ยินว่าหลัวซิวจะไปทำธุระข้างนอก เสี่ยวเจียงหมิงก็งอแงบอกจะตามไปด้วยในทันที
ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่ ตั้งแต่เช้ายันค่ำก็มีเพียงฝึกตนอยู่ในเขาทิพย์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ๆ เขากำลังทำตาแป๋วอย่างน่าสงสารพลางปากเบะ
“เอาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”หลังจากที่คิดไปคิดมา หลัวซิวก็ตอบตกลง
จากศักยภาพในปัจจุบันของเขา ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงกลัวเทพมารอีกต่อไป ถึงแม้ผู้แข็งแกร่งเทพมารขั้นสูงจะย่างกรายมาถึง เขาก็มีความสามารถในการคุ้มกันตนอยู่ สำนักเซียนไร้เจตสิกนั่นก็ไม่มีความจำเป็นต้องส่งผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าลงมือเพียงเพราะเด็กน้อยคนหนึ่ง
หลัวซิวไม่ยี่หระ แต่เขาไม่วางใจที่จะปล่อยให้เสี่ยวเจียงหมิงอยู่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงพาเสี่ยวเจียงหมิงไปด้วย
ถังหยุนยังคงฝึกตนปิดขังอยู่ ผลการฝึกตนของนางใกล้จะบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6 แล้ว ตั้งแต่ที่ติดตามหลัวซิวมา ก็มีทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกตนจัดเสนอให้อย่างไม่ขาดสาย ผลการฝึกตนของนางจึงเพิ่มขึ้นเร็วมาก ๆ
จินเฟยเทียนกลายร่างกลับไปเป็นร่างเดิม มังกรทองที่มีความยาวสามร้อยกว่าเมตรลอยอยู่กลางนภา เสี่ยวเจียงหมิงยืนอยู่บนศีรษะมังกร ตื่นเต้นดีใจจนใบหน้าแดงก่ำ
……
“ศิษย์พี่ ช่วงนี้มีคนจากกองกำลังต่าง ๆ วนเวียนอยู่บริเวณสำนักศักดิ์สิทธิ์ของเราอยู่ไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
ภายในสำนักเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ซุ๋นซินเหลียนขมวดคิ้วที่งดงามลงเล็กน้อย
“ไม่เป็นกระไร หากพวกเขายินดีที่จะจับตามอง ก็ปล่อยพวกเขาไปเถิด”เฟิ่งหวูซินไม่นำเรื่องนี้มาใส่ใจ ยิ้มอย่างเรียบนิ่ง
เขารู้อยู่ว่าสาเหตุที่กองกำลังทั้งหลายต่างจับตามองทุกการกระทำของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินนั้น ก็เป็นเพราะอยากทราบว่าเขาเป็นผู้ยึดครองสำนักเต๋าเสวียนเทียนไปหรือไม่
อย่างไรก็ตามผู้ที่ยึดครองสำนักเต๋าเสวียนเทียนไปมิใช่เขาด้วยซ้ำ เขาจึงไม่มีทางใส่ใจเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว
“ประเด็นคือทันทีที่ข้าเห็นหน้าคนในสำนักเซียนไร้เจตสิก ข้าก็อยากสับพวกมันออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
บนใบหน้าอันสวยสดงดงามของซุ๋นซินเหลียนมีความอาฆาตแค้นที่ดุดันปรากฏเล็กน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างนางและช่าจื่อเยียนเหมือนดั่งพี่น้อง และสำนักเซียนไร้เจตสิกก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของสำนักเทียนช่าด้วย นี่จึงทำให้นางมองคนในสำนักเซียนไร้เจตสิกเป็นศัตรู
หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง ซุ๋นซินเหลียนออกจากสำนักเจ้าศักดิ์สิทธิ์พลางพูดคนเดียว: “ไม่ได้ไปเยี่ยมเสี่ยวเจียงหมิงนานมากแล้ว ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ นางจึงหกระเหินลอยขึ้นฟ้า ไม่นานนักก็ไปถึงเขาสุดหล้า
แต่ทว่าเมื่อนางตามหาถ้ำของหลัวซิวเจอแล้ว กลับพบว่าภายในถ้ำว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย มีเพียงถังหยุนผู้เดียวเท่านั้นที่กำลังฝึกตนปิดขังอยู่ด้านใน