GGS:บทที่ 1130 ภยันตราย
ไอปีศาจที่อยู่โดยรอบร่างของซูจิ้ง ในตอนนี้กำลังพากันไหลบ่าเข้าไปในร่าง
ในคราวนี้ ร่างเงาได้หายไปและไปปรากฎอยู่บริเวณพื้นที่ทั่วไปของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของซูจิ้งที่อยู่อีกพื้นที่หนึ่งที่อยู่ใต้เท้าของเขา ขณะเดียวกันเงารอบๆของซูจิ้งก็หายไปในทันที
ใช่แล้ว เป็นซูจิ้งที่ลอบสั่งให้ฉิงหยุนเคลื่อนย้ายร่างเงานั้นไป ตอนแรกนั้นซูจิ้งที่เลือกจะโจมตีก่อนหน้านี้เป็นเพราะต้องการวัดฝีมือตัวเอง
นั่นก็เพราะว่าหากเขามัวแต่พึ่งพาฉิงหยุนแล้วตัวเขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้แค่ได้เผชิญหน้าเพียงชั่วครู่กับภัยอันตรายที่ลึกสุดหยั่งนี้ เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้ฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่เขาต้องเผชิญนั้นราวกับต้องไปเต้นรำบนปลายมีด ศัตรูในครั้งนี้ใช้ชีวิตของเขานำมาเล่นราวกับของเล่นฆ่าเวลา หากเขายังฝืนรั้งไว้มีโอกาสตายได้ทุกเมื่อในทันที นี่ทำให้เขาจำฝังใจอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อคิดได้จึงให้ฉิงหยุนเคลื่อนย้ายเงาดำไปอยู่ในพื้นที่ทั่วไปที่อยู่ข้างล่างเพื่อที่จะทำการศึกษาร่างเงานี้ก่อน
ในตอนนี้เขามองไปยังเงาดำที่อยู่ใต้เท้าได้อย่างถนัดถนี่ นั่นก็เพราะเขาได้ตั้งค่าเอาไว้ว่าให้สามารถมองเห็นได้ด้านเดียวแบบเดียวกับกระจกมายากล
“ก่าก่ะก่ะ ไอ้เด็กเวรเจ้าใช้อาวุธวิเศษอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นอาวุธที่ดีจริงๆ มีความสามารถด้านมิติซะด้วย น่าสนใจ น่าสนใจ”
เพียงชั่วขณะนั้น เงาดำได้ส่งเสียงแหลมสูงออกมา มันนั้นถูกขัดขวางการบ่มเพาะโดยมนุษย์อันต่ำต้อย แถมตัวมันนั้นยังพลาดที่จะจับตัวแถมยังถูกกักขังไว้ในช่องมิตินี้อีก จะไม่ให้มันโกรธได้ยังไง
ร่างเงาดำได้เปลี่ยนเป็นหมอกสีดำอีกครั้งแล้วหายวับไป ชั่วขณะถัดมา เกิดเสียงระเบิดขึ้นที่กำแพงมิติที่อยู่ใกล้ๆ
เป็นร่างเงาดำนี้ที่พยายามจะพังกำแพงมิติออกไป มันพยายามอยู่อีกหลายหน แต่ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์
“ดูเหมือนว่ามันจะไร้รูปร่างแหะถึงสามารถเปลี่ยนเป็นเงาดำตรงๆได้แบบนี้ แถมการโจมตีจากร่างเงาดำนี่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตปีศาจที่พร้อมจะกัดกินจิตใจ
ถึงแม้ว่าเจ้านี่จะไม่มีร่างเนื้อแต่ก็ยังถูกทำให้บาดเจ็บทางจิตวิญญาณได้…..ไอ้นี่มันผีไม่ใช่เหรอ” ซูจิ้งทำการวิเคราะห์ร่างเงาดำพร้อมใช้ความคิดบางอย่าง
ตอนนี้ซูจิ้งมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกปีศาจ นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้ทั้งตราประทับมังกรและบทสวดหัวใจพระสูทรูปพระพุทธล้วนแล้วแต่มีผลต่อมัน และน่าจะแกร่งพอที่จะทำลายมันได้
แต่เขาเองก็ไม่คิดว่ามันไม่เลือกที่จะต่อต้านแต่เลือกที่จะใช้ไอปีศาจมุ่งโจมตีไปที่ร่างเขาแทนทั้งๆที่ระดับนั้นห่างกันมากขนาดนี้ นี่ทำให้ซูจิ้งตัดสินใจวิธีการรับมือได้ทันทีเพราะสำหรับเขาในตอนนี้น่าจะมีวิธีการที่จัดการได้ง่ายดายอยู่
แต่ยังไม่ทันทีที่ซูจิ้งจะคิดวิธีรับมือได้เสร็จดี ร่างเงาได้เปลี่ยนเป็นเงาดำและจางหายไปอีกครั้ง
ซูจิ้งในตอนนี้เองก็ได้รอคอยให้ร่างเงาดำนี้ไปติดอยู่กับกำแพงมิติอีกครั้ง แต่หลังจากที่เงาดำหายไปประมาณสองวินาที เงาดำนี้ก็ไม่ได้ปรากฎแต่อย่างใด
ในตอนนี้ซูจิ้งเริ่มคิดว่าผิดสังเกตแล้ว อยู่ๆเงาดำก็ได้ปรากฎอยู่เหนือหัวซูจิ้งอีกครั้ง เงาดำพูดออกมาด้วยเสียงที่ยิ้มเยาะว่า “แกคิดจริงๆเหรอว่าแค่มิตินี้จะขังข้า”
เมื่อพูดจบลง เงาดำได้วางมือลงบนร่างของซูจิ้งอีกครั้ง ซูจิ้งรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขานั้นราวกับร่วงหล่นสู่นรกอันลึกสุดจะหยั่ง เขารู้สึกได้ถึงความตาย ความเจ็บปวด และความสะพรึงกลัว
“เงาดำนี่ทะลุกำแพงมิติได้…” ซูจิ้งสบถออกมา เขาในตอนนี้นั้นเกือบสิ้นสติแล้วแต่ก็ยังมีสติพอที่จะนำเหรียญตราเทวฑูตออกมา
พลังงานศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ได้ปกคลุมป้องกันร่างกายของซูจิ้งเอาไว้ หมอกดำรอบตัวของเขาได้หายไปในทันทีพร้อมกับเสียงร้องอันเย็นยะเยือกและโหยหวนของเงาดำและเสียงหมอกควันดำที่รีบถอยล่น
เงาดำในตอนนี้โกรธจัดและพยายามที่จะฝ่าแสงศักดิ์สิทธิ์เข้าไปจับตัวซูจิ้งอีกครั้ง แต่ทันที่ที่มันจับซูจิ้ง มือของมันนั้นราวกับถูกพลังงานบางอย่างให้กลับกลายไปเป็นควันอีก นี่ทำให้เงาดำถึงกับต้องร้องสะดุ้งออกมา
ในคราวนี้ซูจิ้งได้ทำการควบคุมเหรียญตราเทวฑูตแห่งส่องแสงจ้าโดยมีร่างกายของซูจิ้งเป็นศูนย์กลาง ลำแสงนั้นครอบคลุมไปทั่วและรายล้อมร่างเงาดำนั่นเอาไว้
ร่างเงาดำได้รีบเรียกสติของตัวเองออกมาจากความเจ็บปวดทางจิตใจ มันกลายเป็นเงาดำอีกครั้งและหายไปในทันที
หลังจากรอไปหนึ่งหรือสองวินาที ร่างเงานี้ก็ยังไม่โผล่มาทำให้ซูจิ้งนั้นรู้สึกได้ถึงลางร้าย คราวนี้เป็นฉิงหยุนพูดออกมาว่า “แย่แล้วค่ะท่านเจ้านาย เงาดำนั่นหลุดออกไปนอกสถานีฯแล้ว”
“ฉิบหาย” ซูจิ้งมัวแต่กังวลสถานีจนลืมนึกเรื่องนี้ไป ใครจะไปคิดว่าไปตัวที่ฆ่าเขาได้อย่างงายดายจะหนีตายเพียงเพราะเหรียญตราเทวฑูตแบบนี้ หากมันออกไปล่ะก็มีหวังต้องนองเลือดเป็นแน่
ซูจิ้งได้รีบออกจากสถานีพร้อมกับขี่อินทรีย์ทองขึ้นไปบนฟ้าเพื่อที่จะหาร่องรอยของเงาดำ แต่ไม่ว่าเขาจะมองหายังไงก็ไม่พบ
ในขณะเดียวกัน ณ บริเวณรอบนอกของหมู่บ้านตระกูลซูอันสงบสุข ชายกลุ่มหนึ่งเดินไปบนชายหาดพร้อมกับสะพายตาข่ายดักปลา
ซูดาเป่าคือหนึ่งในนั้น เขาเองเป็นเพียงคนแก่คนหนึ่ง วาระสุดท้ายของเขาเองจะมาถึงในอีกไม่ช้า ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนหาปลา ร่างกายของเขานั้นตัวดำคล้ำและเต็มไปด้วยบาดแผลน่าเกลียดหลายแห่ง แต่ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนขยัน แม้จึงใกล้ถึงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิต แต่เขาก็ยังคงทำงานของตนต่อไป
ในตอนนั้นเอง เงาดำสายหนึ่งได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว มันได้คลุมทั้งร่างของซูดาเป่าเอาไว้ชั่วพริบตาแล้วหายวับไป ร่างของซูดาเป่าพลันหยุดลง ดวงตาของเขากลายเป็นขาวโพลน
ชายร่างใหญ่ที่เห็นท่าทางแปลกๆที่เดินมาข้างๆได้รีบทักซูดาเป่าในทันที “ดาเป่า ดาเป่า เป็นอะไรไปน่ะทำมานิ่งไปแบบนี้ รีบเอาตาข่ายไปวางกันดีกว่า”
ซูดาเป่าเมื่อถูกเรียกก็ราวกับได้สติ ดวงตาของเขากลับมามีลูกตาดำอีกครั้งแต่มันน่ากลัวอย่างประหลาด เขาไม่ได้สนใจชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เพียงหันไปมองซูจิ้งที่บินอยู่บนฝากฟ้าที่กำลังขี่อินทรีย์ทองเอาไว้ ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างโกรธแค้นก่อนที่จะหันหลังไปอีกทางและเดินจากไป
“ดาเป่า ดาเป่า จะไปไหนล่ะนั่น อยู่ๆก็จะไปไหนกันล่ะ” ชายร่างใหญ่ที่ไม่รู้สถานการณ์ได้ตามซูดาเป่าพร้อมกับพยายามใช้มือจับไปที่บ่าเพื่อหมายจะรั้งเพื่อถามเหตุผล
ซูดาเป่าได้ปัดมือของชายร่างใหญ่ และนั่นทำให้ร่างของชายคนนั้นปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ ชายร่างกายตกใจและหมดลมตายในทันที ซูดาเป่าเองไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เขาทำเพียงเดินจากไปโดยเร็ว
“ไอ้เวรนั่นหายไปไหนวะ” ซูจิ้งที่อยู่บนฟากฟ้ากำลังเคร่งเครียดในทันที แน่นอนว่าในเรื่องนี้เสี่ยวจินนั้นแข็งแกร่งกว่าซูจิ้งมากนัก ในตายของมันเป็นของนักล่าแน่นอนว่าย่อมดีกว่าอย่างมากแถมตอนนี้ความสามารถในการมองเห็นของมันก็เหนือกว่าเดิมมากนัก แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่เจอร่องรอยของเงาดำนั่นเลยสักนิด
“ไม่ดีแล้ว เราไม่สามารถไปให้เงาดำนั่นหลุดออกไปได้ ไม่เช่นนั่นโลกนี้จะต้องตกอยู่อันตรายแน่ๆ”
ซูจิ้งในตอนนี้มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาได้นำเรียญตราเทวฑูตออกมาพร้อมทำการปล่อยแสงอีกครั้ง
ซูจิ้งได้ศึกษาเหรียญตราเทวฑูตนี้มาบ่อยครั้งจนรู้วิธีการใช้งานอยู่สองอย่าง หนึ่งคือการใช้ป้องกันร่างกายไม่ให้ถูกความมืดเข้าครอบงำ อีกหนึ่งคือการปล่อยแสงเพื่อชำระล้าง
ถึงแม้ในตอนนี้ ด้วยการที่มันได้ปกป้องเขาไปทำให้มันเริ่มอ่อนแรงลงก็ตาม แต่เหรียญตรานี้ก็ยังมีอำนาจพอที่จะชำระล้างความมืดได้อยู่ในวงกว้างอยู่ ถึงแม้ว่าผู้ใช้จะต้องส่งพลังวิญญาณเข้าไปกระตุ้นและผู้ใช้จะต้องเหนื่อยอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่งเพราะตั้งรับผลจากไอปีศาจนั้น
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งนั้นไม่รู้ว่าในตอนนี้เหรียญตราเทวฑูตนี้คลอบคลุมพื้นที่เท่าไหร่กันแน่ หากดูจากการที่มันสะสมพลังงานเอาไว้กว่าหนึ่งอาทิตย์ล่ะก็เขาคาดว่ามันจะครอบคลุมประมาณสิบกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย
เขาหวังได้เพียงว่าเงาดำนั่นจะยังไปได้ไม่ไกลเท่านั้น
ในตอนนี้ ซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังงานศักดิ์สิทธิ์เจิดบังเกิดแสงที่เจิดจ้าไปทั่วอย่างรวดเร็ว