มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1385
เจ้าสำนักเทียนช่าเก็บมือได้ทัน ช่าจื่อเยียนจึงได้รอดชีวิตมาครั้งหนึ่ง แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้จึงเจ้าสำนักเทียนช่าถูกพลังตีกลับ ถูกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินฉวยโอกาสนี้ลอบโจมตี ได้รับบาดเจ็บสาหัส
นี้เป็นความแค้นที่พัวพันกันในวันเก่า และหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ ช่าจื่อเยียนถูกลงโทษลดขั้นไปอยู่ที่โลกแสงดาว นอกเสียจากว่าจะมีวันใดที่นางสามารถฝึกตนจนเป็นเทพฟ้าได้ ไม่เช่นนั้นนางก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปยังโลกเสวียนเทียนอีกตลอดไป
วันเวลาไร้ความปราณี เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกนับหมื่นปี
สำนักเทียนช่าถูกค้น ช่าจื่อเยียนผลการฝึกตนตกต่ำ แต่เฟิ่งหวูซินกลับได้เป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินแล้ว เป็นจ้าวนภาที่เยาว์วัยที่สุดแห่งยุค เป็นคนเดียวที่ถูกยกย่องว่ามีความหวังจะไปสู่แดนราชาเทพได้ ไม่มีใครอื่นอีก!
“ในตอนนั้นเพื่อสำนักศักดิ์สิทธิ์ ข้าละทิ้งสัญญาที่เคยสาบานเอาไว้ แต่ในวันนี้ข้าได้เป็นเจ้าสำนักศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังจะปล่อยให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้อีกงั้นหรือ?”
ถึงแม้ว่าเฟิ่งหวูซินขะเป็นผู้ชายที่มีความทะเยอทะยานคนหนึ่ง เขาก็รู้ดีว่า ในเวลาเช่นนี้วิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดนั่นคือส่งมอบช่าจื่อเยียน เสี่ยวเจียงหมิง และคนของสำนักไท่เสวียน
“ข้าไม่ยอมทรยศต่อรากฐานของตนเองอีกครั้ง……” เฟิ่งหวูซินในเวลานี้ก็อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ด้านนอกของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน เรือรบขนาดมหึมามากมายลอยอยู่กลางอากาศ บนเรือรบทุกลำต่างก็เต็มไปด้วยเงาคน ทั้งหมดคือศิษย์ของสำนักเซียนไร้เจตสิก
ครั้งนี้สำนักเซียนไร้เจตสิกเป็นการรวบรวมพลมาเพื่อโจมตีจริง ๆ ศิษย์ในสำนักไม่ว่าผลการฝึกตนจะสูงหรือต่ำ ต่างก็พากันมาจนหมด
ค่ายใหญ่อลวนไร้ผลทั้งเก้าแปรเปลี่ยนเป็นจ้าวนภายักษ์ แต่ละตนสูงหมื่นฟุต ปิดตายอนัตตาของเขตสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินแห่งนี้ ทรงพลังยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา รากฐานถูกแสดงออกมาอย่างสมบูรณ์
จ้าวนภาไร้เจตสิกยืนอยู่กลางอากาศ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่คิดว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินยังจะมีโอกาสอื่นใดอีก ในเมื่อโจมตีค่ายใหญ่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์จะต้องแลกมาด้วยบางสิ่ง เทียบกับสิ่งที่ได้รับหลังจากทำลายล้างสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินแล้ว เขาถือว่ายังสามารถรับได้
“เฟิ่งหวูซิน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ส่งตัวกบฏสำนักเทียนช่าและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับหลัวซิวออกมา ไม่เช่นนั้นสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินก็จะต้องถูกลบชื่อไปตลอดกาล!”
จ้าวนภาไร้เจตสิกพูดเสียงก้องกังวาน เสียงนั้นทะลุเข้าไปยังค่ายใหญ่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ดังก้องเข้าไปในหูของศิษย์ทุกคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์
ศิษย์หลายคนภายในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินก็พลันวุ่นวายกันขึ้นมาทันที ไม่มีใครที่จะยินยอมตายแทนผู้อื่น หากการละทิ้งบางคนไปจะสามารถรักษาการสืบทอดของสำนักศักดิ์สิทธิ์ให้คงอยู่ต่อไปได้ ย่อมเป็นสิ่งที่คุ้มค่า ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อีกฝ่ายต้องการให้ส่งตัวไป ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด
ทันใดนั้น ทั่วทั้งสำนักเขาของสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็เต็มไปด้วยเสียงเรียกร้อง ทั้งหมดต่างพากันขอร้องให้เฟิ่งหวูซินตอบรับเงื่อนไขของสำนักเซียนไร้เจตสิก
ถึงอย่างไร รากฐานของสำนักเซียนไร้เจตสิกก็แข็งแกร่งมากเกินไป หากสำนักศักดิ์สิทธิ์ต้องต่อกรกับเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับเอาไข่ไปกะเทาะกับหิน มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าสำนักจะล่มสลายด้วยเหตุนี้
รวมถึงเหล่าผู้อาวุโสและผู้อาวุโสไท่ซ่างของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็พากันเข้ามากดดันเฟิ่งหวูซิน เพราะว่าในเวลานี้ มันได้ถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นตายของสำนักศักดิ์สิทธิ์แล้ว
กระทั่งมีผู้คุมกฎได้พาศิษย์มุ่งตรงไปยังสำนักไท่เสวียน หมายจะจับทุกคนในสำนักไท่เสวียนออกมาและส่งตัวไป
พวกเขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดราชาเทพซือถูถึงต้องการให้สำนักศักดิ์สิทธิ์ส่งตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับหลัวซิว มีเพียงแค่เฟิ่งหวูซินคนเดียวเท่านั้นที่พอจะรู้คร่าว ๆ
เพราะในตอนนั้นได้ต่อสู้กับหลัวซิว ก็สามารถเดาได้คร่าว ๆ ว่าสมบัติของเทพสงครามเอกภพที่อยู่ที่โลกแสงดาวนั้น น่าจะตกไปอยู่ในมือของเขาแล้ว
และสมบัติชิ้นนั้น ก็คือสิ่งที่ซือถูเจิ้งเจี้ยนทุ่มเทกายใจตามหามันมาโดยตลอด บางทีซือถูเจิ้งเจี้ยนอาจจะรู้เรื่องนี้ผ่านทางใดทางหนึ่ง เขามาสามารถตามหาร่องรอยของหลัวซิวได้ จึงต้องการควบคุมคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลัวซิว ใช้สิ่งนี้เป็นตัวต่อรอง
ภายในสำนักเขาของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินเป็นไปด้วยความโกลาหล มีผู้คุมกฎและศิษย์บางคนได้เริ่มโจมตีค่ายใหญ่ของสำนักไท่เสวียนแล้ว
บรรดาค่ายใหญ่เหล่านี้ต่างเป็นค่ายที่หลัวซิวทิ้งเอาไว้ในตอนแรก ถึงแม้ค่ายกลจะมีความซับซ้อนและแยบยล แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ค่ายเทพระดับหนึ่งเท่านั้น ภายใต้การโจมตีจากยอดฝีมือของสำนักศักดิ์สิทธิ์นับร้อยนับพัน มันไม่สามารถที่จะต้านเอาไว้ได้นานอยู่แล้ว