ในโลกการฝึกยุทธ์ นอกเหนือจากทรัพยากรแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการถ่ายทอดสืบสาน มากกว่านั้นคือการถ่ายทอดสืบสานสำคัญกว่าทรัพยากรด้วยซ้ำ เนื่องจากมีเพียงการถ่ายทอดสืบสานของผู้แข็งแกร่ง ถึงจะสามารถบ่มเพาะอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ดีเลิศให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้ เมื่อเป็นผู้แข็งแกร่งแล้วถึงจะสามารถค้นและรีดไถทรัพยากรจำนวนมาก ตลอดจนสร้างภูมิฐานและกองกำลังที่แข็งแกร่งของตนขึ้นมา
คนคนหนึ่งที่แค่ฝึกตนปิดขังก็สามารถทำให้ภูมิศาสตร์ภายในดวงดาวเกิดการเปลี่ยนแปลง และกลายเป็นเหมืองแก้วเทวชั้นกลาง ผู้แข็งแกร่งระดับนี้อยู่เหนือการจินตนาการของจี้ซิวและเหอเฟิงแล้ว หากได้รับการถ่ายทอดสืบสานจากผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ละก็ มูลค่าของเหมืองแก้วเทวชั้นกลางนับร้อยแห่งก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับการถ่ายทอดสืบสานนั้นได้
บทสนทนาของทั้งสองคนสื่อสารกันผ่านตัวสำนึกส่งเสียง ถึงอย่างไรความลับดังกล่าวไม่สามารถเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกได้ง่าย ๆ
สังเกตเห็นได้ลาง ๆ ว่าลมหายใจของจี้ซิวเริ่มถี่ขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว พรสวรรค์ของเขาสูงมาก ๆ มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่ถูกจี้เฟิงรับเป็นศิษย์ จี้เฟิงยิ่งรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม ประทานแซ่จี้ให้แก่เขา
เขาฝึกตนมาไม่ถึงหนึ่งแสนปี ผลการฝึกตนก็อยู่ในระดับกึ่งราชาเทพ อนาคตการบรรลุเป็นราชาเทพนั้นเป็นผลลัพธ์ที่แทบจะเป็นไปได้อย่างแน่นอนแล้ว
อย่างไรก็ตามการบรรลุเป็นเพียงราชาเทพยังไม่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้ ชีวิตของเขาไม่อยากถูกจำกัดอยู่ในดาราฟ้าเยือกเล็ก ๆ เขาใฝ่หาฟ้าดินที่กว้างใหญ่กว่า เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความทะเยอทะยานอันร้อนแรงที่จะบรรลุเป็นมกุฎเทพ ตลอดจนจ้าวมหาเทพให้สำเร็จ!
ทันทีที่สามารถบรรลุเป็นผู้ที่ยืนอยู่ระดับนั้น เขาก็จะสามารถมุ่งหน้าไปยังพิภพที่กว้างใหญ่มากกว่า ยืนอย่างสูงตระหง่านและมั่นคงดั่งขุนเขาอยู่ในระดับที่สูงกว่า
ทุกคนที่เดินบนเส้นทางการฝึกยุทธ์ล้วนมีความทะเยอทะยานอันร้อนแรง
การถ่ายทอดสืบสานของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานทำให้จี้ซิวมีจิตใจที่จะฆ่า เขาต้องการสังหารเหอเฟิงให้ตาย เช่นนั้นเขาก็จะเป็นผู้เดียวที่ทราบความลับบนดวงดาวดวงนี้
มากกว่านั้นคือเขายังอยากสังหารศิษย์น้องของตัวเอง รวมไปถึงทุกคนที่เขาพามาด้วย เขาจะเพลิดเพลินกับการถ่ายทอดสืบสานของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานแต่เพียงผู้เดียว!
แต่ทว่าจี้ซิวก็ใจเย็นลงไปได้อย่างรวดเร็ว อย่าว่าแต่การถ่ายทอดสืบสานของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเป็นเพียงข้อสันนิษฐานหนึ่งเท่านั้น จากศักยภาพของเขาคนเดียว ก็ไม่สามารถฆ่าทุกคนที่อยู่ในนี้ให้ตายได้อย่างแน่นอน ทันทีที่มีคนหลบหนีไปได้ พ่อบุญธรรมของเขาเจ้าเมืองจี้เฟิงก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
และในขณะที่เหอเฟิงกำลังพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับจี้ซิวอยู่นั้น เขาก็ใช้ตัวสำนึกส่งเสียงไปยังหลัวซิว เพื่อให้เขาเตรียมตัวลงมือตลอดเวลา
หลัวซิวไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองสื่อสารเรื่องอะไรกันแน่ แต่ทว่าเขากลับสามารถสัมผัสได้ว่าสมาคมจรัสนภาต้องปิดบังความลับบางอย่างต่อตัวเองอยู่แน่นอน
เรือรบดาราเหมือนดั่งอสูรโบราณตัวหนึ่ง เริ่มเข้าใกล้ตำแหน่งที่ตั้งของดาราเรืองแสง สุดท้ายมันก็หยุดอยู่ตรงหน้าแสงสว่างที่แผ่กระจายออกมาจากชั้นบรรยากาศของดวงดาวดังกล่าว ไม่สามารถขยับเข้าไปใกล้ได้อีก
เหมือนมีพลังงานลึกลับที่ไม่อาจคาดคะเนได้ตัดขาดทุกอย่างกับโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือตัวสำนึก ก็ไม่สามารถทะลุข้ามผ่านม่านแสงตรงหน้าและมองเห็นภาพเหตุการณ์ในดาราเรืองแสงได้เลย
ภายใต้คำสั่งของจี้ซิว นักค่ายเทพทุกคนก็ต่างหกระเหินลอยฟ้า เริ่มศึกษาวิจัยม่านแสงต้องห้ามนี้ เพื่อเสาะหาวิธีการทำลายมัน
หนึ่งในนั้นก็ต้องรวมไปถึงร่างกลวัฏสงสารที่สองของหลัวซิวอยู่แล้ว
นักค่ายเทพจำนวนมากต่างลองไปหลายวิธีแล้ว การศึกษาวิจัยนี้ดำเนินต่อเนื่องมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว แต่ทว่าก็เสาะหาวิธีการทำลายค่ายกลนี้ไม่ได้เลย
“แปลกประหลาด ช่างแปลกประหลาดเสียจริง! ภายในม่านแสงนี้ไม่มีร่องรอยค่ายกลคงอยู่เลยด้วยซ้ำ ระดับของวิชาห้ามค่ายกลดังกล่าวสูงมาก ๆ ซึ่งอยู่สูงกว่าค่ายกลทั้งหมดที่ข้าเคยพบเห็นในชั่วชีวิตนี้เสียอีก!”
นักค่ายเทพระดับ 6 คนหนึ่งขมวดคิ้วแน่น สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า ก่อนจะย้อนกลับไปยังเรือรบแล้วบอกกับจี้ซิวว่า“เจ้าเมืองน้อย ศักยภาพข้ามีขีดจำกัด ข้ามิอาจทำลายค่ายกลบนดวงดาวดวงนี้ได้ขอรับ”
จี้ซิวขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นนักค่ายกลที่มีระดับความสามารถสูงที่สุดในเมืองฟ้าเยือกแล้ว แม้แต่เขายังหมดซึ่งหนทางปัญญา หรือว่าไม่มีวิธีการบุกประชิดเข้าไปในดวงดาวลึกลับดวงนี้ได้อย่างราบรื่นเลย?
ระดับความสามารถทางด้านค่ายกลเทพของหลัวซิวก็บรรลุถึงระดับ 6 แล้วเช่นกัน ร่างกลวัฏสงสารที่สองศึกษาวิจัยมานานกว่าครึ่งเดือน แต่ก็ไม่สามารถอนุมานค่ายกลดังกล่าวได้เลยแม้แต่น้อย ไม่พบร่องรอยของค่ายกลเลย แล้วจะนับประสาอะไรกับการอนุมานวิธีการทำลายค่ายกล?