มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1462
จี้ซิวกำลังใช้นิ้วเคาะที่เท้าแขนของเก้าอี้เบา ๆ การเดินทางมาเหมืองแก้วเทวในครั้งนี้ เขาพาเจ้านภาที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของเขามาด้วย 16 คน เทพฟ้า 380 คน เมื่อรวบรวมกำลังความสามารถของทุกคนเข้าด้วยกัน บวกกับพลานุภาพของเรือรบดารา ก็เพียงพอที่จะสามารถทำทุกอย่างในห้วงอากาศได้ตามอำเภอใจแล้ว
แต่ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถเข้าไปในดาราเรืองแสงดวงนี้ได้เลยด้วยซ้ำ จึงไม่สามารถยืนยันได้เช่นกันว่าภายในมีการถ่ายทอดสืบสานของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานอยู่จริงหรือไม่
“ในเมื่อไม่สามารถทำลายมันได้ เช่นนั้นก็ใช้กำลังอำนาจระเบิดมันเลย!”มีรังสีความดุดันกระพริบในแววตาจี้ซิว
“เจ้าเมืองน้อยทำเช่นนี้มิได้นะขอรับ!”
เหอเฟิงรีบเอ่ยปากยับยั้ง“ค่ายกลบนดาราเรืองแสงนี่แข็งแกร่งอย่างมาก ช่วงแรกเริ่มข้าก็เคยมีความคิดเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน แต่ทว่าสุดท้ายกลับถูกพลังแว้งทำร้าย ทำให้เจ้านภาสองคนเสียชีวิตคาที่!”
อย่างไรก็ตามจี้ซิวกลับไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ“เจ้านภาแล้วอย่างไร? จะเทียบทัดกับเรือรบดาราของข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
เหอเฟิงกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่ทว่ามันกลับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจี้ซิว เขาออกคำสั่งโดยตรง
ระยะห่างระหว่างเรือรบดาราทั้งสองลำและดาราเรืองแสงค่อย ๆ ห่างไกลกัน หลังจากห่างกันในระดับที่แน่นอนแล้ว เรือรบก็หยุดเคลื่อนที่ ดุจป้อมปราการที่ใหญ่โตมโหฬารล่องลอยอยู่บนห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล
เรือรบดาราเป็นอาวุธอันทรงพลังที่อยู่ในกำมือของตำหนักหลักเมือง นอกเหนือจากความเร็วและเกราะคุ้มกันแล้ว บนเรือรบดารายังมีค่ายกลโจมตีระดับ 7 สลักอยู่ด้วย ขอเพียงเติมแก้วเทวจำนวนมากเข้าไป ก็จะสามารถผนึกรวมพลังที่แฝงซ่อนอยู่ภายในแก้วเทวออกมา ปลดปล่อยพลังการโจมตีที่เทียบทัดกับผู้แข็งแกร่งราชาเทพออกมา
“เติมแก้วเทวเข้าไป!”
จี้ซิวตะคอกเสียงดังลั่น นักค่ายเทพที่เป็นผู้ดูแลเรือรบทั้งสองลำไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบนำแก้วเทวจำนวนมากเติมเข้าไปในจุดศูนย์กลางของเรือรบ
โครมคราม……
วินาทีนี้มีรังสีที่แวววาวจับตาถึงขั้นสุดเปล่งประกายออกมาจากตัวเรือรบทั้งสองลำ เหมือนกลายเป็นดวงดาวขนาดเล็กสองดวงที่กำลังขานรับประสานร่วมมือกับดาราเรืองแสงในระยะไกลยังไงอย่างนั้น
พลังจากแก้วเทวกำลังผนึกรวมกัน มีป้อมปืนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนชั้นดาดฟ้าของเรือรบ ตัวป้อมปืนยาวถึงสามร้อยกว่าเมตร ปากป้อมปืนดุจห้วงลึก
“ตู้มม!”
แสงเทวสองแสงพุ่งออกมาจากป้อมปืนใหญ่ ฉีกแยกออกเป็นร่องรอยสีขาวดำสองรอยอยู่ในส่วนลึกของห้วงดาราที่มืดมน พุ่งตรงเข้าไปทางดาราเรืองแสงอย่างรวดเร็วและรุนแรงโดยหาที่เปรียบไม่ได้
สีหน้าท่าทางของเหอเฟิงดูประหม่าเล็กน้อย ครั้นเมื่อเขาและจ้าวสำนักปีศาจดำค้นพบดวงดาวดวงนี้ช่วงแรก ๆ พวกเขาไม่มีทางปล่อยพลังโจมตีที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้อยู่แล้ว แต่ทว่าค่ายกลที่อยู่บนตัวดาราเรืองแสงกลับแปลกประหลาดมาก ๆ ยิ่งพลังโจมตีรุนแรงมากเท่าไหร่ พลังที่สะท้อนกลับมาก็จะยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
จี้ซิวมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของเหอเฟิงแล้ว เขาจึงยิ้มอย่างเรียบนิ่งพลางพูด: “เหตุใดท่านหัวหน้าแก๊งถึงต้องประหม่าเช่นนี้ด้วยเล่า? ค่ายกลบนดาราเรืองแสงนี้คงอยู่มายาวนานอย่างไม่รู้จบ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพยังมีชีวิตคงอยู่ชั่วนิรันดร์มิได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับค่ายกลที่จัดวางโดยมนุษย์เล่า?”
“จากพลังโจมตีของเรือรบดารา ต้องสามารถระเบิดค่ายกลให้แตกสลายได้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะสามารถบุกทะลวงเข้าไปได้ และค้นหาความลับของดวงดาวดวงนี้”
และในตอนนี้เอง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เสี้ยววินาทีที่แสงเทวสองแสงนั่นร่วงลงบนดาราเรืองแสง มันก็เหมือนดังลำแสงที่ส่องกระทบลงบนกระจกยังไงอย่างนั้น พลังถูกหักเหกลับมาภายในชั่วพริบตาเดียว
“ว่าอย่างไรนะ?”
จี้ซิวลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้อย่างตะลึง สีหน้าอารมณ์ของเหอเฟิงเปลี่ยนไปอย่างมาก นักยุทธ์ทุกคนที่อยู่บนเรือรบทั้งสองลำก็หวาดผวามากถึงมากที่สุดเช่นกัน
พลังโจมตีที่เทียบทัดกับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพ ถูกหักเหกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ นี่มันเป็นค่ายกลที่น่าสยดสยองเพียงใดกันนะ?
“เร็ว! ถ่ายทอดคำสั่งของข้า เปิดค่ายคุ้มกันให้ถึงขีดสุด!”
จี้ซิวออกคำสั่งด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าแสงป้อมปืนที่กระตุ้นออกมาจากเรือรบนั้นมันน่าสยดสยองมากเพียงใด ทันทีที่ถูกโจมตีเข้าละก็ บางทีเรือรบดาราอาจจะอยู่รอดต่อไปได้ แต่เกรงว่านักยุทธ์ที่อยู่บนเรือรบอาจตายหมดทั้งสองลำเลย
ความเร็วในการออกคำสั่งของเขารวดเร็วมาก ๆ แต่ทว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของแสงป้อมปืนกลับรวดเร็วยิ่งกว่า เกราะป้องกันม่านแสงของเรือรบเพิ่งกระพริบออกมา ยังคงอยู่ในสภาวะที่ขมุกขมัว แสงป้อมปืนก็มาถึงตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ตู้มม!”
ในเสี้ยววินาทีเดียว ราวกับทั่วทั้งห้วงดารากลายเป็นห้วงอันขาวโพลนที่ร้อนและรุนแรง ไม่สามารถมองรังสีที่แวววาวจับตาถึงขั้นสุดเช่นนี้ได้ด้วยเนื้อตาเปล่า ทุกคนต่างหลับตาลงโดยสัญชาตญาณ มากกว่านั้นคือไม่สามารถแผ่ตัวสำนึกออกไปสำรวจรอบกายตนเลยด้วยซ้ำ