ระยะเวลาสามวันไม่ถือว่ายาวนานแต่อย่างใด ทางตระกูลสวีจัดแจงสถานที่พักที่มีปราณทิพย์เข้มข้นมากที่สุดในหุบเขาทิพย์ให้เรียบร้อย เพื่อให้หลัวซิวเข้าไปพักอาศัยอยู่ภายใน เดิมทีสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ฝึกตนปิดขังของนายท่านตระกูลสวี
อย่างไรก็ตามสำหรับหลัวซิวแล้ว ปราณทิพย์ระดับนี้ก็ยังพอไปวัดไปวาได้ ยากที่จะเห็นผลในด้านผลการฝึกตน
หลัวซิวได้จัดวางค่ายใหญ่ไว้ทั่วทั้งสี่ทิศของห้องอย่างแน่นหนา แม้ว่านักยุทธ์ระดับเทพฟ้าในที่แห่งนี้จะมีน้อยมาก ๆ ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ เขาก็ไม่เคยกล้าชะล่าใจเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้ลาง ๆ ว่ามีวิกฤตการณ์หนึ่งซ่อนอยู่ ซึ่งมีโอกาสสูงมาก ๆ ที่เจ้าเมืองเมืองฟ้าเยือก จี้เฟิงจะอาศัยค่ายวาร์ฟล่องหนมาไล่ล่าตัวเองในโลกาดาราอุดร
มีการอำพรางจากค่ายกล ทำให้คนนอกรับรู้ไม่ได้ถึงลมปราณของเขา หลัวซิวที่อยู่ในห้องหยิบแก้วเทวจำนวนมากออกมา
การเปิดจุดลมปราณในร่างเนื้อมนุษย์ต้องอาศัยการช่วยเสริมจากกมลโลกา โดยการอาศัยกฎที่แฝงซ่อนอยู่ในกมลโลกามาเป็นรากฐาน และบุกเบิกโลกาดาราขึ้นมา ทำให้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อมีพละกำลังมหาศาลอย่างไร้ขอบเขต
แต่ทว่าการฝึกเคล็ดแสงดาวเทียนเต้ากลับไม่มีข้อจำกัดและข้อเรียกร้องที่มากมายเช่นนั้น ขอเพียงมีพลังและผลการฝึกตนที่มหาศาลมากพอ ก็จะสามารถผนึกรวมดวงดาวขึ้นมาในจุดตันเถียนชี่ไห่ได้มากยิ่งขึ้น
บทแรกของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าสอดคล้องกับแดนเทพมาร สามารถผนึกรวมดวงดาวขึ้นมาได้ทั้งหมด 18 ดวง เทพมารขั้นปฐมภูมิผนึกรวมได้ 6 ดวง เทพมารช่วงกลางและช่วงปลายต่างสามารถผนึกรวมได้ 6 ดวง
ปัจจุบันผลการฝึกตนของเขาอยู่ที่เทพมารขั้น 3 กลับสามารถผนึกรวมดาราชีวีขึ้นมาได้เพียงดวงเดียวเท่านั้น หากจะบรรลุสู่เทพมารขั้น 4 ก็จำเป็นต้องผนึกรวมดาราชีวีขึ้นมาในร่างกายให้ได้ 6 ดวง
ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการฝึกร่างเนื้อ หรือผลการฝึกตนและกฎของหลัวซิวล้วนฝึกโดยพลังจุติมรณะ
แต่ปัจจุบันวรยุทธ์ที่เขาฝึกกลับเป็นเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า ร่างยุทธ์ร่างเนื้อฝึกเคล็ดวิชาจุดลมปราณ มีเพียงกฎเท่านั้นที่เน้นฝึกพลังจุติมรณะ พร้อมกับฝึกห้วงเวลาควบคู่ไปด้วย
วรยุทธ์อย่างเคล็ดแสงดาวเทียนเต้ามุ่งเป้าไปที่การยกระดับผลการฝึกตนของตัวนักยุทธ์ ในระหว่างการโคจรเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า พลานุภาพของมันจะทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พลังที่ซ่อนอยู่ในแก้วเทวจำนวนมากถูกดูดกลืนกลั่นแปรอย่างต่อเนื่อง จนผนึกรวมแบบจำลองดวงดาวดวงที่ 2 ออกมาในจุดตันเถียนชี่ไห่ของหลัวซิว
“โครมปัง……”
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นสนั่นหูดังออกมาจากสถานที่ฝึกตนของเขาอย่างต่อเนื่อง และนี่เป็นสิ่งที่เกิดจากการโหมซัดของพลัง ดุจแม่น้ำใหญ่ซัดเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรงยังไงอย่างนั้น
เวลาค่อย ๆ ผ่านพ้นไป มาตรแม้นว่ามีเวลาเพียงสามวัน แต่ภายใต้การเปิดโลกาศุภร หลัวซิวกลับฝึกตนไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ
หลังจากผ่านไปสามวัน เขาก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น มีเงาดวงดาวปรากฏในลูกตาดำของเขา ดวงตาทั้งสองข้างลึกซึ้งดุจห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล
จากการสำรวจภายในร่างกายตน เขาก็กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงดาวดวงที่ 2 ของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าผนึกรวมสำเร็จแล้ว
ผลการฝึกตนของเขายังคงเป็นเทพมารขั้น 3 เช่นเคย ทว่าความมั่นคงของผลการฝึกตนกลับเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่าตัว ก่อนหน้านี้ผลการฝึกตนและอิทธิฤทธิ์ของเขาสามารถเทียบทัดกับเทพมารช่วงปลาย และปัจจุบันหลังจากผนึกรวมดวงดาวที่ 2 ขึ้นมาได้แล้ว ความลึกซึ้งของผลการฝึกตนและอิทธิฤทธิ์ของเขาสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับเทพมารขั้นสูงได้เลย
แม้เทพมารขั้นสูงและเทพฟ้าจะห่างกันเพียงหนึ่งแดนเล็ก แต่การจะก้าวข้ามผ่านความแตกต่างระหว่างทั้งสองแดนนี้ให้ได้นั้น ก็ยากและเปี่ยมล้นไปด้วยอุปสรรคเช่นกัน หลัวซิวประเมินการคร่าว ๆ ดูว่าอย่างน้อยก็ต้องคอยผนึกรวมดวงดาวที่ 12 ดวงขึ้นมาได้แล้ว ด้านผลการฝึกตนเขาถึงจะบรรลุถึงระดับเทพฟ้า
“เมื่อเปรียบเทียบกับนักยุทธ์ในแดนเดียวกัน ข้าไม่มีจุดอ่อนใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นร่างเนื้อ ผลการฝึกตน กฎหรือตัวสำนึก ล้วนเรียกว่าสมบูรณ์แบบถึงขั้นสุด”
“แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับผู้แข็งแกร่งระดับเทพฟ้าแล้วละก็ ผลการฝึกตนคือจุดอ่อนของข้า!”