“วิถียุทธ์ของข้านั้นก็คือกระบี่ และกฎที่ข้าฝึกนั้นก็มิใช่กฎธรรมดาเช่นกัน แต่เป็นกฎแห่งกระบี่!”
ชายชุดคลุมยาวสีทองเดินตรงเข้ามาทางหลัวซิว ห้วงกระบี่ที่อยู่บนตัวพรั่งพรูออกมา พลังออร่าเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วิถียุทธ์มีเป็นหมื่นเป็นพัน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงกฎทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม อัสนี หยินหยางต่าง ๆ หากนักยุทธ์สามารถฝึกวิถีของตนออกมาได้ อาจจะสามารถฝึกกฎที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมาได้เลย และเป็นกฎเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้
กฎประเภทนี้ก็มีพื้นที่ให้พัฒนาสูงมาก ๆ เช่นกัน เมื่อบรรลุถึงแดนขีดสุดแล้ว พลังจะไม่ด้อยไปกว่าสี่กฎชั้นยอดอย่างห้วงเวลาและการเวียนว่ายตายเกิดเลย
ส่วนในความเป็นจริงนั้น เมื่อผลการฝึกตนของนักยุทธ์บรรลุถึงระดับที่แน่นอน ก็จะเข้าใจเช่นกันว่าการแบ่งแยกกฎออกเป็นระดับธรรมดา ระดับกลาง ระดับสูงและชั้นยอดนั้นมันไม่ถูกต้องแต่อย่างใด
กฎที่ธรรมดามากที่สุด หากสามารถฝึกจนถึงแดนขีดสุดแล้ว มันก็จะเป็นเชกเช่นเดียวกันกับฝึกกฎชั้นยอดถึงแดนขีดสุด ต่างเป็นสัญลักษณ์กฎดั้งเดิมบริบูรณ์ใหญ่
กฎไม่มีแข็งแกร่งและอ่อนแอ มันขึ้นอยู่กับวิธีการใช้สอยกฎของตัวนักยุทธ์เท่านั้น
“รับกระบี่ข้าหนึ่งกระบี่!”
จู่ ๆ ชายชุดคลุมยาวสีทองก็เอ่ยปากพูด แสงเรืองที่อยู่ในแววตาขึ้นขึ้น ๆ ลง ๆ นิ้วชี้ฟ้า เงากระบี่ที่ใหญ่โตมหึมาผนึกรวมกันสำเร็จ ก่อนที่มันจะฟาดฟันลงมาพร้อมกับกฎแห่งกระบี่ที่แฝงซ่อนอยู่ภายใน
กระบี่ที่ดูธรรมดาเรียบง่ายนี้ กลับมีความลี้ลับของกฎและโลกกระบี่แฝงซ่อนอยู่ พลานุภาพของกระบี่นี้สามารถสังหารผู้ที่อยู่ต่ำกว่าราชาเทพได้!
รูม่านตาของหลัวซิวหดลงเล็กน้อย แววตาดูเคร่งขรึมขึ้น พูดได้เลยว่าในบรรดาผู้ที่อยู่ต่ำกว่าราชาเทพทั้งหมดที่เขาเคยพบเจอมา ชายชุดคลุมยาวสีทองตรงหน้านี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด
ยิ่งกว่านั้นคือเมื่ออยู่ในระดับกึ่งราชาเทพเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นราชาเทพอย่างซือถูเจิ้งเจี้ยนก็อาจจะถูกกระบี่ดังกล่าวสังหารได้
โลกาดาราอุดรเป็นพิภพที่บุกเบิกขึ้นมาโดยมกุฎเทพ ระดับของโลกใบนี้อยู่สูงกว่าโลกที่หลัวซิวเคยอาศัยอยู่เมื่อก่อนหน้านี้มาก ๆ และในที่สุดหลัวซิวก็พบเห็นคู่ต่อสู้ที่เพียงพอที่จะให้เขาปฏิบัติดีเป็นพิเศษด้วยสักที
ดาราชีวีเจ็ดดวง จุดลมปราณดาราสองดวง เมื่ออยู่ภายใต้การปลุกเสกของดวงดาวทั้งเก้า ผลการฝึกตนของหลัวซิวก็สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับกึ่งราชาเทพได้แล้ว
เวิง!
จุดลมปราณดาราสองดวงที่อยู่ในวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหลังศีรษะเปล่งแสง ร่างเนื้ออสุราปะทุ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ต้านรับเงากระบี่อันมโหฬารที่กำลังฟาดฟันลงมา
เสียงตู้มดังครั่นครืน ราวกับฟ้าดินถูกเงากระบี่ผ่าจนแยกออกเป็นสองส่วนยังไงอย่างนั้น มีหลัวซิวเป็นจุดศูนย์กลาง ห้วงอากาศอันว่างเปล่าในรัศมีหนึ่งพันไมล์แตกสลาย ตรีภพซัดกระหน่ำ
มีเพียงห้วงอากาศบริเวณตำแหน่งที่เขายืนที่ยังสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย และหลังจากที่ร่างกายเขาแบกรับการโจมตีจากเงากระบี่แล้ว ไม่นึกเลยว่าร่างกายเขากลับไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว สภาพจิตใจของชายชุดคลุมยาวสีทองก็สั่นเทิ้ม มีความตึงเครียดปรากฏขึ้นมาในแววตา “ช่างเป็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งเสียจริง ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของคนดังกล่าวบรรลุถึงแดนที่เหลือเชื่อมาก ๆ แทบจะสามารถเทียบทัดกับอัญเทพฟ้าได้เลย มีเพียงราชาแห่งศัสตราวุธเท่านั้นถึงจะสร้างความเสียหายให้แก่เขาได้!”
“ข้ารับกระบี่หนึ่งของเจ้าไปแล้ว เจ้าก็รับหอกหนึ่งของข้าบ้างสิ”
และในเวลานี้เอง หลัวซิวก็เอ่ยปากพูดอย่างกะทันหัน แม้เขาจะบอกว่าหนึ่งหอก ทว่าเขากลับไม่ได้ใช้หอกยุทธ์แต่อย่างใด แต่เป็นการใช้นิ้วแทนหอก และขี้นิ้วออกไป
การชี้ในครั้งนี้ดูเหมือนจะธรรมดาเรียบง่าย แต่ทว่ากลับมีกฎความตายผนึกรวมจนถึงขีดสุด ยิ่งกว่านั้นคือกฎความตายถูกยกระดับจนถึงขีดจำกัด การเวียนว่ายตายเกิดผสมรวมเข้าด้วยกัน!
กฎการเวียนว่ายตายเกิดเพียงกฏเดียวก็เป็นกฎชั้นยอดแล้ว มีพลานุภาพที่เกะกะระราน หลังจากผสมรวมทั้งสองกฎเข้าด้วยกันแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง ก่อให้เกิดพลังที่เหลือเชื่อ
กระบวนท่าใช้นิ้วแทนหอกนี้ เป็นกระบวนท่าที่ถูกยกระดับจากนัดเดียวนิพพาน ซึ่งมีนามว่านิพพานมรณา!
กฎการเวียนว่ายตายเกิดของเขาอยู่ที่แดนดั้งเดิมขั้น 2 แต่ทว่าพลังออร่าที่ปลดปล่อยออกมาหลังกฎการเวียนว่ายตายเกิดผสมรวมเข้าด้วยกันแล้ว กลับบรรลุถึงระดับที่เทียบเท่าแดนดั้งเดิมขั้น 3 ขั้นสูง ซึ่งเป็นรองเพียงแดนราชาเทพขั้น 4 เท่านั้น
การชี้นี้ทำให้ชายชุดคลุมยาวสีทองสัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์แห่งความเป็นความตาย เขาอ้าปากแล้วพ่นกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่งออกมาอย่างไม่ลังเลใจ แล้วฟันกระบี่ไปทางนิ้วที่ชี้มาของหลัวซิว
“ตั่งง!”
กระบี่ทองจามลงบนนิ้วมือของหลัวซิวจนเกิดเป็นเสียงของแข็งกระแทกกัน เสี้ยววินาทีที่สะเก็ดไฟแตกกระสานซ่านเซ็น พลังที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ม้วนซัดเข้ามา